* ✨👇✨ กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกที่นี่เลยจ้าา ✨👇✨ *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

Tuesday, December 24, 2024

[มี EBook] สามีแดนเถื่อน: ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

 

[มี EBook] สามีแดนเถื่อน: ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

Series: สามีแดนเถื่อน

โปรย

 

“สวัสดีตอนเย็น คุณคาเมรอน” เธอพูดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในสภาพจิตใจที่วุ่นวายของเขา โอเวนก็ยังรู้สึกสั่นอยู่ในน้ำเสียงของเธอ “มันค่อนข้างดึกสักหน่อยสำหรับร้องเรียก แต่..” เธอหยุดและกลั้นหายใจอย่างประหม่า ราวกับว่าเธอพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วและสบายใจ “ฉันกำลังขี่ม้าอยู่ตอนกลับจากการทำธุระให้พ่อในเมือง บังเอิญม้าของฉันลื่นล้มบาดเจ็บจนขี่มันอีกไม่ได้ และฉันเห็นกระท่อมหลังนี้จากบนเนินเขาตรงนั้น ฉันจึงมาที่นี่เพราะคุณก็รู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ไกลจากบ้านมาก และฉันคิดว่า .. บางที”

เธอมองด้วยดวงตาสีฟ้าเข้มลึกราวก้นของทะเลสาบกลางฤดูร้อนคู่โตที่น่าดึงดูดใจที่สุด จนโอเวนซึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นสัตว์ร้ายเดรัจฉานโดยไม่รู้ว่าทำไม 

“ผมดีใจมากที่ได้พบคุณ เลดี้อเล็กซานเดอร์” 

โอเวน คาเมรอนเองก็พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักกับอาคันตุกะที่เขาคาดไม่ถึงที่มาในคืนนี้ 

“ไม่นั่งก่อนหรือ?” 

เขาเตะขาเก้าอี้ ใช้เท้าผลักมันไปข้างหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าฐานะเธอคือเลดี้ เขาดึงมันกลับแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ กระท่อมแล้วขมวดคิ้ว เพราะแม้แต่สำหรับไลน์แคมป์ที่สมบุกสมบันอย่างเขา คาวบอยหนุ่มก็ยังบอกตัวเองอย่างสะพรึงในใจว่า .. 'แซ่บมาก'

………. .⋆。♞˚

“แกจะต้องเข้ากับคนง่าย ไม่งั้นแกจะหยุดอยู่ไม่ได้ในเมืองนี้” 

คนเลี้ยงแกะเปล่งเสียงยืนกราน จับคนตัวเล็กราวเด็กชายไว้อย่างรุนแรงและพยายามดึงไปที่บาร์

“ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะแยกชิ้นส่วนแกทิ้งทั้งหมด” เขาเร่งเร้าอย่างเหนื่อยหน่าย เสียใจกับเบียร์ดีๆ ที่เสียไปอย่างไม่สมเหตุสมผล “เลิกโวยวายได้แล้ว ฉันไม่อยากฟังอยู่ตรงนี้”

"มาดื่มกันเถอะ!" เจ้าคนทึ่มพูด

“ท่านสุภาพบุรุษ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก!” เนลทักท้วง มองไปรอบๆ ตัวอย่างเศร้าสร้อย “ฉันไม่ดื่มสุรา ฉันต้องยืนกรานให้คุณหยุดทันที!” หนุ่มน้อยกำมะลอยืนกรานยืนยันอย่างมืดมน “ฉันหมายความว่าอย่างนั้น สาบาน”

และเมื่อมาถึงจุดนี้โอเวน คาเมรอนก็ตัดสินใจที่จะพูด 

“นี่ หลบไปทางนั้น!” เขาตะโกนก่อนจะผลักคนเลี้ยงแกะคู่ต่อสู้ไปข้างหนึ่ง “ปล่อยเจ้าตัวเล็กนั่น! นั่นคือคนของฉัน!”

“ไอ้เชี่ย! เมียแกสั่งว่าอย่ายิงไงวะ”

ขี้เมาคนหนึ่งโวยวายหยาบคาย เมื่อมีเสียงปืนดังปังซึ่งก็ไม่รู้ว่าจากปืนของใคร

………. .⋆。♞˚

เรื่องราวการใช้ชีวิตแบบคาวบอยและการทำธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์และการวิวาห์สายฟ้าแลบแสนชุลมุน งุนงงปนอลเวง และความรักในแบบพ่อแง่แม่งอน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20

พวกเขาพบกันในรูปแบบที่แบ่งปันเรื่องราวของความรักที่แท้จริง แต่ส่วนที่ขมและเข้มกว่าของเรื่องคือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงดินแดนที่เปิดกว้าง .. อารยธรรมกำลังถาโถม ทั้งรั้ว คันไถ ชาวนา .. แล้วหนุ่มคาวบอยที่ใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตควรจะทำอย่างไรกับตัวเองเมื่อเขาตระหนักว่าโลกของเขากำลังถูกคุกคามจากเงามืดอันยาวไกลของอารยธรรมที่คืบคลาน?

ไม่ใช่แค่การสูญเสียเงินดอลลาร์หรือวัวควายหรือแม้แต่ความหวัง มันคือความโศกเศร้า การฉีกขาดจากชีวิตที่เขารัก เป็นการยึดครองพื้นที่—ดินแดน—ผืนดินที่กว้าง สวยงาม และผุพังจากสภาพอากาศ -- ใหญ่โตโอ่อ่าในอิสรภาพจากทุกสิ่งที่คับแคบและโสมม และมันกำลังฉีกขาดและทำให้เกิดรอยแผลเป็น

………. .⋆。♞˚

 

คำเตือน

นิยายเรื่องนี้เป็นสำนวนแปลโดยการหยิบยกนำเอานิยายรุ่นเก่าหลายเรื่องที่ปัจจุบันนิยายเหล่านั้นมีฐานะลิขสิทธิ์เป็นสาธารณะ มาดัดแปลง ปรับปรุง และผสมผสานคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อหาใหม่ในผลงานชิ้นเดียวกัน ดังนั้น เพื่อให้สถานที่เชื่อมต่อกัน ทั้งหมดจึงมีการสมมติชื่อขึ้นใหม่ รวมถึงทั้งนิยายเรื่องนี้ยังมีบางส่วนที่เป็นไปในแนวฮ็อตโรมานซ์ที่อาจจะเกินมาตรฐานที่หลายคนคุ้นเคย แต่ก็ยังคงเป็นงานวรรณกรรม ในหมวดหมู่นิยาย จึงไม่มีอันตรายต่อสัตว์หรือคน สำหรับชื่อ บุคลิกของตัวละคร สถานที่ เหตุการณ์ล้วนเกิดจากจินตนาการ การสมมุติ การเติมต่อของผู้แปลและปรับปรุงผลงานล้วนๆ ดังนั้น ความคล้ายคลึงใดๆ กับชื่อ สถานที่ วันที่ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง .. นั่นคือเรื่องบังเอิญ ..

ขอบคุณชั้นเชิงและความรุ่มรวยของปรัชญาชีวิตและองค์ความรู้ทั้งหลายทั้งมวลที่ซุกซ่อนอยู่ในนิยายทุกเรื่อง ที่ถูกแปลและดัดแปลงมาจาก:

The Long Shadow, by Bower, B. M., 1871-1940

The Lure of the Dim Trails, by Bower, B. M., 1871-1940

The Man of the Forest by Grey, Zane, 1872-1939

The Virginian: A Horseman of the Plains by Wister, Owen, 1860-1938

ติดตามกันบนโซเชียลมีเดียเพื่อรับข่าวสารล่าสุด!

Instagram: @niyayzap

Facebook: @NiyayZAP

🍁 ⍣⍣⍣ ราคาบน Apple อาจจะแตกต่างกันมาก แนะนำให้คุณนักอ่านเลือกโหลดผ่านทาง web 'MEBmarket' ที่นั่นคุณจะได้ราคาที่น่ารักน่าคบหากันมากกว่าและสามารถอ่านนิยายผ่าน Application ได้ตามปกติเหมือนเดิมนะคะ ⍣⍣⍣ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกโหลดค่ะ 🍁



ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค I

1. พายุหิมะ..และอาคันตุกะที่น่าทึ่ง

 

สายลมพัดแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ส่งเสียงคร่ำครวญอย่างโดดเดี่ยวที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของกระท่อมไม้ซุง ราวกับว่ามันรู้สึกถึงความรกร้างของความแห้งแล้ง เนินเขาที่เย็นยะเยือก และโพรงเงาสีดำที่แต้มอยู่ระหว่างนั้น และท้องฟ้าสีแดงก่ำที่มีเงาสีม่วงที่ลดต่ำลง เหนือดินแดนที่ไม่มีความสุข และจะสร้างมิตรภาพที่ไม่แน่นอนกับบางสิ่งสำหรับมนุษย์ 

โอเวน คาเมรอน กำลังซ่อมแซมเสื้อโค้ตของเขาในตอนที่ได้ยินเสียงคร่ำครวญของมัน รู้ดีถึงความหมายและเขาก็ถอนหายใจ .. ในบางทีเขาเองก็รู้สึกได้ถึงความอ้างว้างบางอย่างที่ไม่มีอยู่ ท่ามกลางกระท่อมไม้ที่แยกตัวเป็นสัดส่วนและสันโดษออกมาไกลจนสุดริมชายป่าของค่ายคนงานของผู้เฒ่าอัล ออชินโคลส

“ฉันไม่เห็นว่าสภาพอากาศเป็นอย่างไรบ้าง” 

เขาพึมพำในตอนที่ลมรวบรวมลมหายใจของมันและพากันพัดลงมาบนหลังคาของกระท่อมของเขา เพื่อทำให้โอเวนรู้สึกถึงพลังของมัน 

“พายุหิมะกำลังจะมา..ถ้าฉันจะรู้ดีจากสัญญาณ และถ้าแฟรงก์ไม่ปรากฏตัวพร้อมกับเสบียงอาหารที่เขาจะรวบรวมได้จากทุกร้านค้าในไพน์แชโดว์ และทั้งที่เขาควรจะกลับมาที่ค่ายนี้แล้วเมื่อสองวันก่อน” โอเวนขมวดคิ้ว

มันอาจจะเกิดอุบัติเหตุกับผู้ช่วยของเขาซึ่งน่าจะมีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากในดินแดนของภูมิภาคที่ถูกสาปแห่งนี้

แต่ถึงอย่างไรที่ข้างนอก สุนัขที่ถูกเลี้ยงไว้เฝ้าค่ายก็พากันเห่าเป็นพักๆ และเมื่อมีเสียงคนพูดรัวๆ เบาๆ เขาก็ดีดตัว รีบลุกขึ้น .. ที่ถึงแม้ว่าโอเวน คาเมรอนจะไม่ใช่ผู้ชายที่มีอาการหวั่นกังวล วิตกเก่งกว่าคนอื่น แต่ครั้งนี้มันก็ดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะการแตะเบาๆ ที่ประตูด้านหน้าของกระท่อมซึ่งเมื่อหากมีใครสักคนต้องการจะเดินเข้ามา เขาก็มักจะเปิดประตูออกโดยไม่ต้องทำพิธีรีตองใดๆ เพิ่มเติม 

“แต่เอาล่ะ ฉันคิดว่าเจ้าตัวเล็กข้างนอกโน่นอาจได้กลิ่นว่าเขากำลังมา”

ถึงกระนั้น โอเวนก็ร้องออกมาอย่างไม่อดทน: “เข้ามาสิ! อย่าโง่น่า" 

และโดยไม่ได้ย้ายก้นจากที่ที่เขาเคยยืน

ประตูเปิดออกอย่างแปลกประหลาด..ช้าๆ และด้วยความขลาดกลัวซึ่งไม่เคยสอดคล้องกับความแน่วแน่ไร้พิธีการของคาวบอยหนุ่มห่ามๆ อย่าง..แฟรงก์ แต่เมื่อเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งแสดงท่าทีต่อต้านแสงสลัวชั่วขณะหนึ่งแล้วก้าวเข้ามาข้างใน โอเวนก็จับมือของเขาไว้ที่ขอบโต๊ะเพื่อรองรับร่างกายที่สูงแกร่งไม่ให้ล้มหงายหลัง และเสื้อคลุมที่เขาถืออยู่ก็หล่นลงกับพื้น 

คนตัวใหญ่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ: ทำได้แค่จ้องมอง

เด็กสาววัยแรกรุ่นที่ดวงตาสีฟ้ากลมโต ปิดประตูข้างหลังของเธอด้วยบางสิ่งที่ท้าทาย

“สวัสดีตอนเย็นค่ะ คุณคาเมรอน” 

เธอพูดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในสภาพจิตใจที่วุ่นวายของเขา โอเวนก็ยังรู้สึกถึงการสั่นอยู่ในน้ำเสียงของเธอ 

“มันค่อนข้างดึกสักหน่อยสำหรับการส่งเสียงร้องเรียก แต่..” 

เธอหยุดและกลั้นหายใจอย่างประหม่า ราวกับว่าเธอพบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วและสบายใจ 

“ฉันกำลังขี่ม้าอยู่ตอนกลับจากการทำธุระให้พ่อในเมือง และบังเอิญม้าของฉันลื่นล้มบาดเจ็บจนฉันคิดว่ามันจะรับน้ำหนักของฉันบนหลังของมันไม่ได้ และฉันเห็นกระท่อมหลังนี้จากบนเนินเขาตรงนั้น ฉันจึงมาที่นี่เพราะคุณก็รู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ไกลจากบ้านมาก และฉันคิดว่า .. บางที”

เธอมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าเข้มลึกราวก้นของทะเลสาบกลางฤดูร้อนคู่โตที่น่าดึงดูดใจที่สุด จนโอเวนซึ่งรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยไม่รู้ว่าทำไม 

“ผมดีใจมากที่ได้พบคุณ เลดี้อเล็กซานเดอร์” 

โอเวน คาเมรอนพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักประหลาดใจกับภาพของอาคันตุกะที่เขาคาดไม่ถึงที่มาเยือนในคืนนี้

“ไม่นั่งก่อนหรือ?”

เขาเตะขาเก้าอี้ ใช้เท้าผลักมันไปข้างหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าฐานะเธอคือเลดี้ เขาดึงมันกลับแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ กระท่อมแล้วขมวดคิ้ว เพราะแม้แต่สำหรับหนุ่มชาวแคมป์ที่สมบุกสมบันอย่างเขา คาวบอยหนุ่มก็ยังบอกตัวเองอย่างสะพรึงในใจว่า .. 'แซ่บมาก'

“คุณคงจะหนาว” เขาเสริม เมื่อเห็นเด็กสาวที่สวยงามสง่าเหลือบสายตาคู่สีฟ้ามองไปทางเตา

“ผมจะจุดไฟให้ทันที ..เอ่อ.. ผมอยู่คนเดียวเลยค่อนข้างยุ่งและปล่อยให้สิ่งต่างๆ ลื่นไหลไปตามธรรมชาติของมัน” 

เขาโยนบุหรี่ที่ครึ่งหนึ่งยังไม่ได้สูบลงในเถ้าถ่านและไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย

โอเวน คาเมรอนแนะนำตัวเองอย่างเข้มงวดเพื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี เขากวาดแขนกำยำที่ได้มันทั้งคู่นี้มาจากการทำงานกลางแจ้งของเขาไปบนม้านั่ง เพื่อล้างเสื้อผ้าของต่างๆ ผู้ชายและขอให้เธอนั่งลงอีกครั้ง 

และเมื่อเธอทำเช่นนั้น เด็กสาวก็กล่าว … “ขอบคุณ” 

เธอพึมพำและเขาก็เห็นแล้วว่านิ้วมือของเธอถูกกำแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเธอสั่นด้วยความหนาว และเขาก็โวยวายภายในใจกับความไม่ขยับเขยื้อนของเขาขณะที่รีบจุดเตาไฟ

“เป็นเรื่องที่แย่ที่ม้าของคุณลื่นตกลงมา” เขาพูดอย่างงุนงง รวบรวมขี้เลื่อยจำนวนหนึ่งหยิบมือขึ้นมาจากแผ่นไม้สน “ผมเองก็เกลียดที่จะเห็นม้าสักตัวได้รับบาดเจ็บเสมอ” 

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะพูด แต่ดูเหมือนเขาจะพูดสิ่งที่ถูกต้องออกมาเป็นคำพูดอื่นที่ดีกว่าไม่ได้ สิ่งที่หนุ่มคาวบอยตัวใหญ่ต้องการคือการทำให้เลดี้ตัวน้อยรู้สึกสบายอกสบายใจว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติในตัวเธอ ที่เธอต้องไปพบเจอปัญหาแบบนั้น และเขาก็อยากช่วยเหลือและเห็นอกเห็นใจเธอโดยไม่แปลกใจแม้แต่น้อย แต่ตลอดชีวิตของผู้ชายที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนสนามแข่งขัน โยนบ่วงเชือกจับม้าป่า รับจ้างเป็นผู้คุ้มกัน ชีวิตมีการดวลปืน จนกระทั่งได้กลายมาเป็นหัวหน้าคนงานในไร่ให้คุณตาของเธอ เขายังไม่เคยเจอว่าจะมีเด็กสาวที่งดงามน่ารักคนหนึ่งจะเดินหลงทางเข้ามาในค่ายพักรกร้างในยามพลบค่ำ แถมเธอยังจะเป็นเด็กผู้หญิงที่สัญญาว่าเติบโตมาเธอจะกลายเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ งดงาม และสง่างามมากคนหนึ่ง ที่พยายามทำตัวให้สบายใจอย่างน่าสงสารและสายตาของเขาก็อาจจะเผลอไปดูถูกท่าทางของเธอเข้า และเขาก็งุ่มง่ามคลำหาเพียงวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างสับสนในการรับมือกับสถานการณ์

“ผมรู้จักคุณพ่อของคุณมานาน ท่านเคานต์ไรอัน อเล็กซานเดอร์ .. เขาไม่ควรจะให้คุณขี่ม้าเดินทางเข้าเมืองในช่วงที่สามารถจะเกิดพายุได้ทุกวินาทีแบบนี้” 

เขาพูดเหมือนบ่น พลางเป่ากองไฟเล็กๆ ท่ามกลางขี้เถ้าด้วยหมวกคาวบอยที่เคยอยู่บนหัวของเขาจนกระทั่งเขาจำได้ว่าต้องถอดมันออกเพื่อแสดงความเคารพต่อการปรากฏตัวของเธอ .. นับว่าเขายังจำได้อยู่แหละน่า..ว่าบุตรสาวของสหายเป็นเลดี้ตามศักดินาขุนนางอังกฤษจากคุณพ่อของเธอ

“ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นปัญหา” สาวน้อยรีบพูด “อันที่จริงฉันเป็นคนยืนยันที่จะขี่ม้าออกไป และพ่อก็ห้ามฉันไว้แล้ว แต่ฉันไม่มีอะไรจะทำในปลายฤดูใบไม้ร่วงที่สวยงามแต่น่าเบื่อ และฉันเองก็อยากออกไปขี่ม้าเล่นข้างนอกก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนเต็มจำนวน อีกอย่างคุณก็รู้ว่าคุณตาของฉันมักจะสนับสนุนทุกครั้งเพื่อให้ฉันได้เรียนรู้และซึมซับในทุกหนทางของวิถีชาวไร่ และชาวคาวบอย” 

ตอนนั้นไฟกำลังโหมกระหน่ำและเขาก็กวาดขี้เถ้าลงกับพื้น โดยมีสายตาของเลดี้อายุสิบสามปีที่มองมาที่เขาอย่างไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพ

“โชคดีที่ม้าของคุณลื่นตกลงมาใกล้มากพอที่คุณจะเดินเข้ามาในค่ายได้” เขาพึมพำได้เพียงครึ่งในตอนที่..

“ฉันรู้ดีว่าผู้ชายไม่ชอบทำอาหาร ดังนั้นเมื่อร่างกายของฉันอบอุ่นและน้ำบนเตาก็ร้อนได้ที่แล้ว ฉันจะทำอาหารเย็นให้คุณ” รีบเปลี่ยนเรื่องที่อาจจะทำให้ตนเองโดนดุจากหัวหน้าคนงานของคุณตาของเธอโดยการกล่าวเสนอโดยมีข้อจำกัดที่น้อยลง “แล้วฉันจะไม่รบกวนให้คุณช่วยพาฉันกลับบ้าน”

“ผมเดาว่ามันจะไม่เป็นปัญหา แต่ผมไม่รังเกียจการทำอาหาร .. เอ่อ .. เลดี้ คุณควรนั่งผิงไฟและพักผ่อน” 

โอเวนกล่าวอย่างจำนนแล้วเขาก็หน้าแดง 

แน่นอน เธอต้องการอาหารเย็น และเขาก็มีแอปริคอตแห้งและมันสำปะหลังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย! 

เขารู้สึกในหนทางของปีศาจที่ชั่วร้ายว่าเขาสามารถจะฆ่าเจ้าหนุ่มผู้ช่วยของเขาได้ด้วยมือเปล่าและอย่างดีใจ .. อย่างที่บอก เจ้าหมอนั่นกลับมาสายไปแล้วถึงสองวันสำหรับการอาสาเพื่อไปรับเสบียงอาหารที่หมู่บ้านของไพน์แชโดว์โดยลำพัง ซึ่งโอเวนก็ไม่แน่ใจว่าแฟรงก์อาจจะแวะที่ซาลูนหรือร้านเหล้าแห่งไหนสักแห่งและกำลังทอดตัวอยู่เหนือโต๊ะเกมที่นั่นก็เป็นได้

“ฉันจะให้คุณล้างจาน” เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส สัญญาอย่างไม่เห็นแก่ตัว “แต่ฉันจะทำอาหารเย็น จริงๆ แล้วฉันก็อยากทำ รู้ไหม ฉันจะไม่พูดว่าฉันไม่หิวเพราะอากาศแบบตะวันตกนี้ทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกหิวอาหารเก่งหรอก ใช่ไหม? แล้วนอกจากนั้น ฉันองก็เดินเท้ามาคนเดียวตั้งหลายไมล์ ดูเหมือนกับฉัน ..เอ่อ..นั่นควรอาจจะเป็นข้อแก้ตัว ใช่ไหม? และตอนนี้ ถ้าคุณจะแสดงให้ฉันเห็นว่ากาแฟอยู่ที่ไหน?"

เธอลุกขึ้นและมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง ด้วยรอยยิ้มเพียงครึ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเชิญชวนให้ใครอีกคนหนึ่งเข้าร่วมต่อการเป็นมิตรสหาย โอเวน คาเมรอนมองดูเธออย่างช่วยไม่ได้ และเปลี่ยนผิวของเขาให้เป็นสีน้ำตาลไหม้น้อยลง

“มัน ..เอ่อ.. ไม่มีเลย” เขาตะกุกตะกักอย่างรู้สึกผิด “ผู้ช่วยของผม เอ่อ .. ผมหมายถึงวอคแลนด์ .. แฟรงก์ วอคแลนด์”

“มันไม่สำคัญแม้แต่น้อย” เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสรับรองกับเขาอย่างเร่งรีบ "เราไม่สามารถเก็บทุกอย่างไว้ในบ้านได้ตลอดเวลา โดยการต้องอยู่ห่างไกลจากเมืองใดๆ ซึ่งเรามักจะออกจากบ้าน .. อย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วฉันแค่ทำให้ขวดวานิลลามองดูแล้วน่าอารมณ์เสีย และจากนั้นเราก็ทำวานิลลาให้มันหมดขวด จนถึงเมื่อวาน" 

เธอยิ้มอย่างมั่นใจอีกครั้ง และโอเวนพยายามแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมาก แม้ความจริงแล้วการปราศจากวานิลลาดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นหายนะร้ายแรงอะไรสำหรับเขาในขณะนั้น

“และจริงๆ แล้วฉันชอบชามากกว่า คุณรู้ไหม คุณคาเมรอน ฉันพูดแค่ว่า..กาแฟ..เพราะพ่อบอกฉันว่าพวกคาวบอยชอบดื่มมันมาก แต่คุณรู้ไหม ชานั้นเร็วและชงง่ายกว่า”

โอเวนจิกเล็บ .. ขุดๆ ลงบนฝ่ามือ 

“นั่นแหละ .. เลดี้อเล็กซานเดอร์” เขาโพล่งอย่างหมดหวัง “ผมคงต้องบอกคุณแล้ว .. ในเพิงไม่มีอะไรนอกจากแอปริคอตแห้งและมันสำปะหลังหนึ่งหรือสองช้อนโต๊ะ ..เอ่อ.. คือ .. แฟรงก์...” 

เขาหยุด ขุดค้นคลังคำในสมองของเขาเพื่อหาศัพท์ที่ใช้ได้กับแฟรงก์และยังอ่อนโยนพอสำหรับหูของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

“ไม่เป็นไร เราจัดการมันได้ มันต้องสนุกมากแน่ๆ!” 

เด็กสาวหัวเราะอย่างง่ายดายจนเกือบจะหลอกลวงเขา และเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้นในความทุกข์ยากของหัวหน้าคาวบอยหนุ่มกล้ามแน่นตัวโตๆ ในไร่ของเธอเพราะการที่ผู้หญิงหรือแค่เพียงเด็กตัวเล็กๆ สักคนที่ควรมาหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ และเขาไม่สามารถมอบอาหารสักมื้อหนึ่งให้เธอได้ มันแทบจะเป็นเรื่องที่ทนไม่ไหวสำหรับเขา และอาจจะถือเป็นการดีสำหรับแฟรงก์ก็ได้..ที่โอเวน คาเมรอนไม่สามารถจับมือเพื่อลากคนเหลวไหลมาหักแขนหักคอเขาได้ในขณะนั้น

“มันต้องสนุกแน่” เธอหัวเราะอย่างน่ารักโดยธรรมชาติที่เธออาจไม่รู้ตัวอีกครั้งต่อหน้าเขา “ถ้า…” คนตัวเล็กกระซิบกระซาบ “คุณจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น .. เราจะไปที่ห้องครัวของคุณเมื่อนั้นคุณจะเห็นทุกสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ด้วยแอปริคอตแห้งและมันสำปะหลัง .. แต่..เอ่อ .. ฟังนะ ขอฉันค้นห้องครัวคุณหน่อยได้ไหม?”

“ได้สิ” โอเวน คาเมรอนเห็นด้วยโดยขยับไปด้านข้างอย่างงุนงง เพื่อที่เด็กสาวตัวเล็กตาสีฟ้าที่สวยที่สุดที่ตัวเธอเองมีความสูงเพียงแค่หัวไหล่กว้างๆ ของเขาจะได้ก้าวไปถึงมุมที่มีกล่องสามกล่องที่ถูกตอกก้นแปะติดกับผนัง และมีม่านที่ทำด้วยผ้าดิบสีน้ำเงินลายดอกไม้ปิดกั้นไว้ และพวกมันถูกใช้ทำเป็นตู้ 

“แฟรงก์” เขาเริ่มอธิบายเป็นครั้งที่สาม โดยไม่รู้ว่าจู่ๆ ทำไมเขาถึงได้เกรงอกเกรงใจบุตรสาวของสหายอังกฤษคนนี้นัก แต่เขาก็ยังอยากอธิบาย “หมอนั่นออกไปตามหาเสบียงและกำลังใช้เวลาเดินทางกลับ เขาน่าจะมาที่นี่เมื่อวานหรือวันก่อนหน้าสองวัน และเราอาจจะได้กินแมลงเม่าคั่วของเขาแล้วในตอนนี้” เขาแนะนำ รวบรวมวิญญาณในตอนที่เธอหันหลังให้กับเขา

ใบหน้าละมุนตาของเธอก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหนึ่งของม่านผ้าดิบอีกหน

“รู้ไหม … ฉันรู้ว่าอะไรมันจะดีไปกว่าการกินแมลงเม่าคั่ว” สาวน้อยประกาศอย่างมีชัย 

“ข้างล่าง ในป่าหลิวที่ฉันเพิ่งจะเดินข้ามลำห้วยมา ฉันปีนลงมาจากที่ที่สูงกว่าที่นี่ และบนพื้นที่ทรุดโทรมบนเนินเขานั้น ฉันเห็นไก่ป่าจำนวนมากหรืออะไรสักอย่างคล้ายสิ่งนั้น บางทีคุณอาจเรียกพวกมันว่าอาหารมื้อค่ำ พวกมันเกาะอยู่บนต้นไม้ด้วยขนพองๆ ที่ป่องออกมา .. เกือบมืดแล้ว แต่น่าลอง ว่าไหม .. ถ้าคุณมีปืน” 

เธอกล่าวเสริม ราวกับว่าเธอเริ่มตระหนักว่าสมบัติของเขามีน้อยเพียงใด 

“ถ้าคุณไม่มี เราก็สามารถทำทุกอย่างที่มีที่นี่ได้ คุณรู้ไหม”

โอเวนหน้าแดงเล็กน้อย รู้สึกตัวเองงุ่มง่ามเหมือนคนโง่ตั้งแต่วินาทีที่สาวน้อยที่สวยงามราวนางฟ้าคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาในกระท่อมรังตุ่นของเขา และคำตอบของเขาก็คือการหยิบปืนและเข็มขัดจากจุดที่มันถูกแขวนไว้บนผนัง คาดเข็มขัดไว้รอบกลางตัวที่สูง ใหญ่ ไหล่กว้างและล่ำสัน แล้วหยิบหมวกปีกกว้างของเขาขึ้นมา 

“ถ้าพวกมันยังอยู่ที่นั่น ผมจะหามาให้แน่นอน” เขาสัญญา “คุณแค่ดูแลเตาไฟเอาไว้จนกว่าผมจะกลับมา และผมสัญญาว่าจะล้างจาน” 

เขายิ้มให้เธออีกครั้งซึ่งคาวบอยหนุ่มที่เป็นคนค่อนข้างเคร่งขรึมเมื่อก่อนหน้าพบว่ามันค่อนข้างง่าย และปิดประตูอย่างอืดอาดอยู่ข้างหลังเขา โดยไม่เคยพยายามวิเคราะห์ความรู้สึกของตน ดังนั้นมันจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาจึงเหยียบย่ำไปตามทางที่เยือกแข็งซึ่งนำไปสู่คอกม้าอย่างแผ่วเบา หรือเหตุใดเขาจึงรู้สึกอิ่มเอมใจที่เปล่งประกายเจิดจรัสเมื่อพบเห็นสิ่งล้ำค่าในสายตาเท่านั้น .

“ฉันหวังว่าฉันจะไม่ได้กินแป้งครั้งสุดท้ายหมดไปเมื่อเช้านี้” เขาเสียใจอย่างกังวล “ฉันคงทำขนมปังให้เธอกินได้บ้าง ถ้ามันจะยังมีผงยีสต์เหลืออยู่ในกระป๋อง .. โธ่! ขอสาปแช่งแฟรงก์แม่งเถอะ!”

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค I

2. สตูไก่..พายลูกพรุน

 

แท้จริงแล้ว .. โอเวน คาเมรอน .. ที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาคงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่ที่ใหญ่เกินไป และห่างไกลจากโลกที่มนุษย์สร้างขึ้นมากเกินไปสำหรับใครก็ตามที่มีจิตใจเข้มแข็ง 

เขารู้จักผู้หญิงเพียงเล็กน้อย ผู้หญิงแบบเด็กสาวเริ่มรุ่นที่ชื่อ .. แคโรไลน์ 

ซึ่งเมื่อเขากลับมาพร้อมกับไก่ป่าสองตัวและพบว่าพื้นกระท่อมรังหนูถูกกวาด สะอาดเกลี้ยงเกลาจนดูแปลกสำหรับเขา และข้าวของที่กระจัดกระจายทั้งหมดของเขาก็ถูกวางกองไว้อย่างเรียบร้อยบนปลายที่นอน ซึ่งไม่คุ้นเคย ภายใต้ผ้าห่มที่เหยียดตรง และเขามองดูหมอนของเขาที่อ้วนท้วนอย่างน่าสงสารและเต็มไปด้วยความประหลาดใจ .. แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปล้างจาน

“พายุเริ่มเข้าแล้วใช่ไหม?” เธอตั้งข้อสังเกต “แต่เราจะกินสตูไก่ก่อน ก่อนที่ฉันจะกลับบ้าน ถ้าคุณมีม้าที่ฉันจะสามารถขอยืมขี่ได้จนถึงเช้า แล้วถ้าไม่ใช่พ่อของฉัน..ก็จะเป็นคาวบอยคนหนึ่งของคุณตาที่จะพามันกลับมา”

โอเวนที่กระจัดกระจายขนไก่ป่าหนึ่งกำมือไว้บนพื้น ตอนนี้เขาก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาทีละอันโดยการใช้เวลาเล็กน้อย

“ผมเคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้” เขาพูดอย่างไม่เต็มใจ "ผมค่อนข้างโชคดีที่เป็นคนไม่เคยจะมีฝูงสัตว์ที่นิสัยอ่อนโยนในมือเลยสักตัวในค่าย .. ผมมีมัสแตงอยู่สองฝูง แต่พวกมันไม่ปลอดภัยเลยสำหรับผู้หญิง .. แต่พ่อของคุณมีฝูงหนึ่งที่อาจจะใช้ได้ ..แต่..เอ่อ.. ถ้ามันอยู่ที่นี่ ตอนนี้ .. ซึ่งมันไม่เป็นเช่นนั้น"

เธอดูไม่สบายใจแม้ว่าเด็กสาวจะพยายามซ่อนมันไว้ 

“ฉันสามารถขี่ม้าได้ค่อนข้างดี” เจ้าของเสียงเสี่ยงที่จะบอกเขา

โอเวน คาเมรอน ส่ายหัวโดยไม่มองที่เด็กสาวตัวจ้อยที่สวยมาก

“คุณปลอดภัยอยู่ที่นี่แล้ว” เขาหยุดพูดเพื่อหยิบขนไก่เพิ่ม “และมัสแตงไม่ปลอดภัยสำหรับคุณที่จะลองมัน ฝูงหนึ่งค่อนข้างเลวร้ายปานปีศาจในการที่ใครจะติดตั้งวางอานไว้บนหลังของมัน คุณจะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในรัศมีการหวดไม้เรียวหรือแส้ที่จะกำราบมันได้ อีกฝูงหนึ่งคือความหวาดกลัวอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะขว้างทุกสิ่งด้วยการดีดขาหลังใหญ่โตของมัน เมื่อมันเห็นว่ามีสิ่งแปลกๆ เข้ามาใกล้ .. ผมจะไม่ปล่อยให้คุณลอง" 

โอเวน คาเมรอนรู้สึกเสียใจซึ่งแสดงออกมาเป็นเสียงของเขา แต่เขาก็มั่นคงเช่นกัน

เลดี้สาวน้อยวัยรุ่นเช็ดช้อนดีบุกอย่างครุ่นคิด 

คาวบอยหนุ่มมองเธออย่างไม่เต็มใจและก้มหน้าลงเพื่อเลี่ยงหนีที่จะมองเห็นความสดใสที่จางหายไปจากใบหน้าของเธอ 

“ที่บ้าน .. พ่อ แม่ และคุณตา .. พวกเขาจะเป็นห่วง” เธอกล่าวอย่างเงียบๆ

“ความกังวลเล็กๆ น้อยๆ เอาชนะงานศพ” 

หัวหน้าคนงานหนุ่มตัวโตโต้กลับอย่างมีไหวพริบและปรัชญา ควบคุมสถานการณ์โดยสัญชาตญาณเพราะเธอเป็นเด็กผู้หญิงและเขามีหน้าที่ต้องดูแลเธอ 

“ผมคิดว่า .. มีบางสิ่งที่ผมจะทำได้” 

“แน่นอน! คุณสามารถขี่ม้าของฉันกลับมาได้!” เธอรู้สึกกระตือรือร้นกับข้อเสนอครึ่งคำพูดของเขา “มัน..เอ่อ.. แม้มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับคุณ แต่ถ้าต้องติดพายุอยู่ที่นี่..ฉันจะเป็นภาระหน้าที่อย่างมาก” ใบหน้าของเธอกลับมาสดใสอีกครั้ง

“แต่คุณจะอยู่คนเดียวที่นี่”

“ไม่เป็นไร .. ฉันไม่ได้กลัวการอยู่คนเดียวเลยสักนิด และฉันจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น”

โอเวนลังเล สบตากับแววตาของเธอที่เขาไม่ชอบเห็นที่นั่น และที่สุดเขาก็ยอมแพ้ เห็นได้ชัดว่าจากมุมมองของเธอนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ต้องทำ และนักฆ่าวัวที่ขี่ม้ามาตั้งแต่อายุสิบหกปีอย่าง 'โอเวน คาเมรอน' ก็ไม่ควรหลบเลี่ยงพายุหิมะในตอนกลางคืนหรือกลัวว่าจะสูญเสียเส้นทาง หรือหลงทาง .. พายุไม่ได้รุนแรงถึงขนาดที่ชายคนหนึ่งอาจขี่ได้ไม่ถึงในระยะสิบไมล์

เขาคงจะออกไปโดยไม่รอหลังจากนั้น แต่เลดี้แคโรไลน์ซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ครัวอย่างภาคภูมิใจหันมาบอกเขาว่าสตูไก่พร้อมแล้ว .. อันที่จริงเขาจะไม่กินมัน ถ้าเด็กสาวจะไม่ประท้วงในลักษณะที่ทำให้โอเวนดีใจอย่างโง่เขลาที่จะยอมจำนนเหมือนเดิม 

เขาผูกอานม้าขณะรอ และเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมที่บุหนังแกะ และก่อนที่สตูไก่คำสุดท้ายจะถูกกลืนไปอย่างพอเหมาะในนาทีสุดท้าย .. เขาปลดเข็มขัดปืนแล้วยื่นให้เธอ

“ผมจะปล่อยมันไว้กับคุณที่นี่” เขาพูดพร้อมกับพยายามทำตัวงุ่มง่ามเพื่อให้ดูเหมือนไม่ใส่ใจ “คุณจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นถ้าคุณมีปืน และถ้าคุณกลัวอะไร…ก็ยิงมันซะ” 

เขาปิดท้ายด้วยรอยยิ้มอีกครั้งที่ทำให้ใบหน้าและดวงตาของเขาสว่างขึ้นอย่างน่าพิศวง แต่เธอส่ายหัวแล้วพูด

“ฉันเคยอยู่คนเดียวบ่อยครั้ง พ่อและคุณตาฉันสอนเอาไว้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ต้องกลัว แต่ยังไงก็ตาม ขอบคุณเหมือนกัน”

โอเวน คาเมรอนมองมาที่เธอ เปิดปากแล้วปิดโดยไม่ได้พูด .. เขาวางปืนลงบนโต๊ะแล้วหันไป 

“ถ้ามีอะไรทำให้คุณตกใจ” เขาทวนซ้ำอย่างดื้อรั้น “ยิงมันซะ คุณต้องไม่นับเรื่องงี่เง่านั่นให้มากไป”

แต่แล้วโอเวนก็ค้นพบอีกหนว่า เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส เป็นหญิงสาวที่มุ่งมั่นอย่างยิ่ง 

เธอหยิบปืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วแซงหน้าเขาเองซะอีก และบังคับมันให้อยู่ในมือของเขา 

“อย่าโง่ได้ไหมคุณอาโอเวน ฉันจะปลอดภัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องการมันเท่าคุณ ข้างนอกนั่นมีทั้งหมาป่าและสิงโต อีกอย่าง ฉันไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนั้น คุณต้องมีความคิดเห็นที่แย่มากเกี่ยวกับผู้หญิง ที่สำคัญ .. ฉัน..เอ่อ..ฉันกลัวปืน!”

โอเวนไม่ได้ประทับใจกับคำพูดสุดท้ายเป็นพิเศษ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองหมดทรัพยากรของศัพท์คำพูดและคาดเข็มขัดไว้รอบสะโพกของเขาโดยไม่มีการโต้แย้งอีกต่อไป ท้ายที่สุดเขาบอกกับตัวเองว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะทำให้เธอเกิดการตื่นตระหนกในไม่กี่ชั่วโมงที่เขาจะหายไป … และชั่วโมงเหล่านั้นที่เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะลดน้อยมันลงไปให้มากที่สุด

………. .⋆。♞˚

จากหุบเขาเล็กๆ ที่กำแพงสูงได้ทำลายแรงของพายุ เขาเผชิญหิมะและลม และดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างอดทน การขี่ม้าในคืนนั้นมันเป็นไปอย่างขมขื่น แต่การมองเห็นที่แย่ลงและไม่สบายตัวทำให้เขาลำบากเล็กน้อย .. นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาก้มหัวให้หิมะและแรงลม และมันคงเป็นอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง สิ่งที่รบกวนเขามากที่สุดคือภูเขาน้ำแข็งที่ชีนุกได้ละลายหิมะและลมเหนือที่พัดมาก็ได้ทำให้มันกลายเป็นน้ำแข็งอีกครั้ง เขาไม่สามารถขี่ม้าได้เร็วเท่าที่ใจเขาต้องการ และโอเวนก็ตระหนักดีว่าเขาต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะกลับไปที่กระท่อมไม้ซุงพร้อมกับม้าจากไร่ของอัล ออชินโคลส

“ถ้าเธอจะเก็บปืนไว้ ยัยเด็กน้อยที่ดื้อรั้น” 

เขาหยอกล้อเจ้าบาร์นีย์ เรนเจอร์หรือม้าคู่ใจของเขาด้วยความรัก และพึมพำโทษตัวเองสำหรับแรงกระตุ้นอันเนื่องมาจากการที่เขาไม่ค่อยเข้าใจตัวเองและรู้สึกไม่สบายใจโดยไม่รู้สาเหตุ ต่อจากนั้น เมื่อเจ้าของร่างสูงใหญ่ไถลตัวเองลงมาสู่พื้นหุบเขาเล็กๆ อย่างมั่นคง และด้วยรอยลื่นที่เป็นร่องรอยใหม่ๆ ซึ่งอยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้มันก็ทำให้หนุ่มลูกครึ่งอินเดียนแดงถึงกับต้องโพล่งออกมาอย่างกังวล: 

"ให้ตายเถอะ แฟรงก์! นั่นใช่รอยเท้าของนายหรือเปล่าวะนี่”

สีหน้าโอเวนเคร่งขรึมขึ้น .. และแสงจากหน้าต่างกระท่อมที่ส่องประกายผ่านพายุทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ซึ่งค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลพอๆ กับความไม่สบายใจของเขา อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ทำให้เขาลังเลที่จะพาม้าของเขาให้ได้เข้าไปหลบลมพายุอยู่ในคอกม้าและปิดประตูใส่พวกมัน แต่เมื่อเขาเดินผ่านหน้าต่างกระท่อม หนุ่มคาวบอยก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมันอย่างกังวลใจและเห็นผ่านฝ้าจางๆ บนกระจก ที่มีเลดี้แคโรไลน์นั่งที่โต๊ะที่อยู่ติดกับผนังข้าง

เขารีบไปที่ประตูและผลักมันเปิดออก

“สวัสดี โอเวน” 

เป็นเจ้าของร่างสูงผอมที่ยืนอยู่กลางห้องหันมาทักทายเขาอย่างไม่แน่ใจและดูค่อนข้างจะงุนงง 

โอเวนสะบัดหิมะจากหมวกของเขาแล้วเดินไปที่เตา 

“เกิดอะไรขึ้นกับระหว่างทาง แฟรงก์ นายควรจะกลับมาถึงที่นี่เมื่อสองวันก่อนไม่ใช่หรอ?” 

เขาถามผู้ช่วยโดยไม่ได้มองไปที่แคโรไลน์โดยตรง แต่เขาได้ยินเสียงหายใจเข้าลึกๆ ของเด็กสาวราวโล่งใจ

“ใช่ และน่าอายนิดหน่อย แต่ผมหลงทาง” แฟรงก์เริ่มกระตือรือร้น โดยเหลือพยางค์ให้น้อยที่สุด “ปกติผมมักต้องกลับมาที่ค่ายเราก่อนจะมืด แต่ผมโชคร้ายที่มันเป็นกลางคืน และมีม้าตัวหนึ่งที่ลื่นล้มตาย”

“ตัวไหน?” และคำตอบของแฟรงก์ยืนยันการมองโลกในแง่ร้ายของโอเวน

แน่นอน … มันเป็นม้าที่เชื่อง และอ่อนโยนที่สุดเพียงตัวเดียวที่พวกเขามี

โอเวนใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติหัวหน้าคาวบอยหนุ่มจะถือว่าข่าวนี้มันเป็นหายนะ แต่ตอนนี้คาเมรอนจะมองผ่านรายละเอียดที่ไม่พึงประสงค์นี้ไปก่อนและหันไปหาเด็กสาว 

“มีพายุบางอย่างที่รุนแรง” เขาบอกความจริงอย่างยิ่งกับเธอ “และผมคิดว่ามันจะสงบในเวลากลางวันเพื่อที่เราจะได้จัดการกับการเดินทางกลับบ้านของคุณ แต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเราจะมีอาหารมื้อเย็นอีกมื้อ และคราวนี้มันจะเป็นมื้อที่ระเบิดฟู่ฟ่าเป็นประจำด้วยกาแฟและขนมปังกรอบและของฟุ่มเฟือยเหล่านั้น .. มาเถอะ ผมอยากรู้ว่าคุณจะทำบิสกิตได้อย่างไร”

เธอเข้าครัวไปทำบิสกิตและมีเสียงหัวเราะน้อยลง ซึ่งโอเวนรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยชอบใจนัก และจากนั้นหลายชั่วโมงต่อมา หัวหน้าคาวบอยก็ได้โชว์ของที่เขาทำขึ้น ซึ่งเขายืนกรานที่จะทำอาหารที่ต้องใช้เวลานานที่สุดในการเตรียม อวดลูกพรุนมากมายที่เขาสามารถหาได้ และจากนั้นก็เริ่มแสดงฝีมือของเขา และไม่รีบเร่งในการเคี่ยวลูกพรุน เขาค้นหาถั่วลิมาแห้งเจอและนำมันออกมาหนึ่งห่อแล้วปรุงบางส่วนโดยเปลี่ยนน้ำสามครั้งและเติมน้ำเย็นเสมอ สำหรับทั้งหมดนั้น ในที่สุดอาหารมื้อเย็นก็พร้อมรับประทานและล้างจาน โดยเลดี้แคโรไลน์อาสาเช็ดพวกมันและแฟรงก์ก็มองดูคนทั้งคู่ในขณะที่โอเวน คาเมรอนยังคงทำหน้าเคร่งขรึมและรู้สึกไม่พอใจที่แฟรงก์จะพูดล้อเล่นกับบุตรสาวของสหายของเขาราวหมาหยอกไก่ในบางครั้งตามนิสัยหนุ่มวัยรุ่นทะลึ่งห่ามๆ และดูเหมือนเลดี้น้อยของเขาเองก็ค่อนข้างจะระวังตัว

เมื่อไม่มีอะไรจะทำให้พวกเขายุ่งแล้ว โอเวนก็ไปค้นได้ไพ่มาและถามเธอว่าเล่นได้ไหม ซึ่งเขารู้ว่าเป็นเกมที่จะเล่นกันได้แค่เพียงสองคน และยืนยันอย่างหนักแน่นที่จะเล่นเกมนั้น ซึ่งเธอไม่รู้วิธีที่จะเล่นและเขายืนกรานที่จะสอนเธอ แม้ว่าแฟรงก์จะเปล่งประกายอย่างแรงกล้าและพูดเป็นนัยที่จะชวนให้เล่นเกมอื่นที่พวกเขาทั้งหมดจะสามารถร่วมเล่นด้วยกันได้

“ฉันไม่สนใจที่จะอยากเล่นเกมนั้นเลย” เลดี้แคโรไลน์หันไปพูดกับแฟรงก์ที่พยายามเสนอเกมอื่น “ฉันอยากเรียนรู้เกมนี้ที่คุณอาโอเวนแนะนำ” 

แฟรงก์คร่ำครวญกระปอดกระแปดและเดินตรงไปที่เตา เขย่าฝากระป๋องอย่างไม่เป็นธรรมชาติและสูบบุหรี่ซึ่งเขานำมาจากเมือง หลังจากนั้นเขาก็นั่งมองทั้งสองคนเล่นอย่างเงียบๆ แต่ขุ่นเคืองใจที่ถูกกันให้กลายเป็นคนนอก

โอเวนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว .. เลดี้สาวอยู่บนเก้าอี้ที่นั่งหันหลังให้เตา และแฟรงก์ก็นั่งอย่างสงบเสงี่ยม โอเวนสอนเธอเล่นไพ่นกกระจอก ไพ่สองมือและไพ่ของจีน ก่อนที่แสงสีเทาข้างนอกจะประกาศว่าคืนนี้จบลงแล้ว 

แคโรไลน์รู้สึกตาหนักและอ่อนล้า เธอหันหน้าไปทางหน้าต่าง ขณะที่โอเวนหยิบไพ่มารวมกันและเรียงซ้อนกันเป็นชั้นสุดท้าย

“ผมเดาว่าตอนนี้เราสามารถเดินทางกลับไร่ของคุณได้โดยเราจะไม่หลงทาง” เขาตั้งข้อสังเกตอย่างรวดเร็ว “มาเถอะแฟรงก์ นายคงจะต้องออกไปช่วยฉันขึ้นอานม้า แล้วเราจะได้ดูว่าสกีเก่าแก่ของนายนั้นจะยังสามารถเดินทางได้หรือเปล่าด้วยกัน”

แฟรงก์ลุกขึ้นอย่างบึ้งตึงเพราะถูกกีดกันให้กลายเป็นคนภายนอกมาทั้งคืน แต่ก็ยอมเดินตามหัวหน้าหนุ่มคนงานของเขาออกไป และโอเวนก็เดินนำหน้าออกไปอย่างเงียบๆ .. เจ้าบาร์นีย์ เรนเจอร์ของเขาเองก็ยังคงยืนอยู่กับอานของมันทั้งคืน และแฟรงก์ก็ทำเป็นส่งเสียงกรนเมื่อเห็นมัน แต่โอเวนเพียงแค่รอจนกว่าแฟรงก์จะวางอานม้าบนหลังม้าตัวที่อ่อนโยนที่สุดของเขา จากนั้นจึงรับบังเหียนจากมือของผู้ช่วยและพาม้าทั้งสองไปที่ประตู

“มาเถอะ” หัวหน้าคาวบอยหนุ่มแห่งออชินโคลสเรียกบุตรสาวของสหายของเขา และช่วยเธอนั่งบนอานและออกตัวไป

พายุผ่านไปแล้ว อากาศยังคงนิ่งและเย็นยะเยือก ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเป็นสีแดงและสีม่วงพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น และใต้เท้าม้าของพวกเขา หิมะก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างเยือกเย็น ดังนั้นพวกเขาจึงขี่ม้าลงจากหุบเขาเล็กๆ แล้วขึ้นเนินยาวไปยังด้านบนสุด พุ่งเข้าสู่เส้นทางและมุ่งหน้าตรงไปทางเหนือด้วยแนวเนินเขาเตี้ยๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย 

และในชั่วโมงครึ่งของการขี่ม้าที่ทั้งสองไม่พูดอะไรสักคำ

ที่ประตูบ้านของเธอเอง 

“ลาก่อน ..อืม.. ไม่เป็นไร, ไม่เป็นไร” 

เขาพูดอย่างแหบแห้งเมื่อเธอพยายามขอบคุณเขาแล้ววิ่งหนีไป และเขาก็รวบรวมสายบังเหียนของม้าของแฟรงก์ 

และตั้งแต่นั้นเขากับเลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสก็เรียกว่าไม่ได้เจอกันมากนัก และมักจากระยะไกลเกินกว่าจะทักทายพูดคุยกันได้อีก

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค I

3. หัวหน้าคาวบอยแห่งออชินโคลส

 

สาวใช้มาเก็บจานอาหารบนโต๊ะและแขกที่แวะมาก็เคลื่อนตัวไปยังภายในห้องดื่มน้ำชา ณ ไร่ออชินโคลส

สายลมหนาวพัดมากระทบหน้าต่าง หลังจากการเสิร์ฟน้ำชา กาแฟ บุหรี่ และเมื่อทุกคนมานั่งกันอยู่ที่เก้าอี้แสนสบายหน้าเตาพิงที่ทอแสงสีทอง และทุกคนต่างก็จับจ้อง เมื่อท่านเคานต์เจ้าภาพฝ่ายชายผู้สูงศักดิ์ที่สูงสง่าได้ยืนขึ้น และเขาเสนอตัวว่าจะเล่าเรื่อง เพื่อเป็นการแก้เบื่อ ดังนั้นเขาจึงจะพูดถึงเรื่องราวอันสนุกสนานระหว่างการเดินทางบนรถไฟโดยสารข้ามรัฐของเขาให้แขกที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่ได้ฟัง ดังนี้:

“มีบางสิ่งที่โดดเด่น ดึงดูดสายตาของผู้โดยสารทั้งชายและหญิงให้พากันไปที่หน้าต่าง; ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นเดินข้ามแถวเก้าอี้ไปในตัวรถเพื่อดูว่ามันคืออะไร 

ข้าพเจ้าเห็นสิ่งกีดขวางอยู่ใกล้ๆ ลู่วิ่ง และรอบๆ มีผู้ชายหัวเราะ และข้างในนั้นมีฝุ่นผง และม้าบางตัวกำลังพรวดพราด เบียดเสียด และหลบอยู่ ซึ่งพวกเขาเป็นลูกม้าในคอกวัว และหนึ่งในนั้นยังถูกจับไม่ได้ ไม่ว่าใครจะโยนเชือกไปที่เขาก็ตาม

พวกเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะดูกีฬานี้ เพราะรถไฟของเราหยุดที่นี่เพื่อที่จะให้เครื่องยนต์สูบน้ำเข้าถัง ก่อนที่มันจะลากเราขึ้นไปไว้ข้างชานชาลาของสถานีของเซนต์ไมเคิล; พวกเรามาสายเกินไปหกชั่วโมงและเช่นกันที่พวกเราหิวโหยความบันเทิง 

ม้าที่อยู่ในคอกนั้นฉลาดและรวดเร็วด้วยแขนขาของเขา

คุณเคยเห็นนักมวยฝีมือดีมองศัตรูด้วยสายตาที่สงบเฉยและไม่หยุดหย่อนหรือเปล่า? 

ดวงตาเช่นนี้ทำให้ม้าจับจ้องในสิ่งที่ชายผู้นั้นจับเชือกไว้ โดยที่ชายคนนั้นอาจแสร้งทำเป็นมองดูสภาพอากาศ ซึ่งมันก็เป็นท้องฟ้าที่ดีมาก หรืออาจส่งผลต่อการสนทนาอย่างจริงจังกับผู้ที่มาร่วมยืนดูอยู่รอบข้าง

ลูกม้ามองข้ามมันไป: ไร้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อ

สัตว์ตัวนี้เป็นสิ่งเสริมสร้างจิตวิญญาณหรือความกล้าหาญของโลกอย่างแท้จริง 

ดวงตาที่ไม่วอกแวกของเขาจับจ้องไปที่ศัตรูตัวฉกาจ และความหนักแน่นของ การแสดงออกในความเป็นลูกม้าของเขาทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกขบขันชั้นสูง 

แม้เชือกบางเส้นจะแล่นออกไปหาเขา แต่เขาก็ไปอยู่แล้วตรงที่อื่น และถ้าหากม้าหัวเราะได้ การเกี้ยวพาราสีคงจะมีมากมายในคอกนั้น

บางครั้งลูกม้าก็เปลี่ยนไปอยู่ตามลำพัง ต่อมาเขาก็ลื่นไถลไปอยู่ท่ามกลางพี่น้องของเขาอย่างรวดเร็ว และทั้งหมดนั้นเหมือนฝูงปลาขี้เล่นที่ถูกเฆี่ยนตี วนไปรอบคอก เตะฝุ่นผง แล้วข้าพเจ้าที่รับพวกมันไว้ด้วยก็คำรามด้วยเสียงหัวเราะผ่านกระจกหน้าต่างตู้นอนบนรถไฟของเรา เสียงกีบเท้าอันซุกซนของพวกเขาส่งมาถึงเรา รวมถึงคำสาปที่ตลกขบขันของเหล่าคาวบอย 

เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นชายคนหนึ่ง เขาเคยนั่งมองดูทุกอย่างอยู่ที่ประตูสูงสุดของคอก และเพราะตอนนี้เขาปีนลงไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเสืออย่างราบรื่นและง่ายดาย ราวกับว่ากล้ามเนื้อของเขาลื่นไหลอยู่ใต้ผิวหนัง

คนอื่นๆ ทุกคนยกแขนหมุนวนเชือกอย่างเห็นได้ชัด บางคนถึงขั้นเหวี่ยงสูงขึ้นจนไหล่ขยับ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นแขนของชายผู้นั้นยกหรือขยับแม้สักน้อย ดูเหมือนเขาจะจับเชือกไว้อย่างต่ำๆ ที่ขาของเขา แต่แล้วก็เหมือนงูตวัด ข้าพเจ้ามองเห็นบ่วงบาศที่พุ่งยาวออกไป และมันก็ตกลงใกล้ๆ และแล้วสิ่งนั้นก็เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง

ลูกม้าที่ถูกจับได้เดินตามเขาไปด้วยท่าทางหวานชื่น ราวกับเดินเข้าสู่ประตูโบสถ์ ขณะที่รถไฟของเราจะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังสถานี และผู้โดยสารคนหนึ่งก็กล่าวว่า 

“ชายคนนั้นรู้เรื่องของม้าเป็นอย่างดี”

แต่การแสดงความเห็นของผู้โดยสารในเรื่องบ่วงเชือกของข้าพเจ้าจำเป็นต้องสูญเสียไป สำหรับเซนต์ไมเคิลซึ่งเป็นสถานีจุดหมายของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าร่ำลาเพื่อนนักเดินทางของข้าพเจ้า และลงไปเป็นคนแปลกหน้าสู่ดินแดนปศุสัตว์อันยิ่งใหญ่ 

และในเวลาไม่ถึงสิบนาทีข้าพเจ้าก็ได้เรียนรู้ข่าวซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นคนแปลกหน้าอย่างแท้จริงยิ่งกว่า

สัมภาระของข้าพเจ้าสูญหาย

มันไม่ได้มากับขบวนรถไฟของข้าพเจ้า

มันลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งในสองพันไมล์ที่อยู่ข้างหลังข้าพเจ้า

และเพื่อความสบายใจ พนักงานถือกระเป๋าตั้งข้อสังเกตว่าผู้โดยสารมักจะหลงทางจากหีบสัมภาระ แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะพบพวกมันหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อได้ให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าแล้วเขาก็ผิวปากและหันไปทำธุระของเขาตรงอื่น ปล่อยทิ้งข้าพเจ้าไว้ในห้องสัมภาระที่เซนต์ไมเคิลโดยลำพัง

ข้าพเจ้ายืนอยู่ท่ามกลางกล่องลังที่ว่างเปล่า ถือใบเสร็จที่มีไว้สำหรับตรวจเช็ครับสัมภาระของข้าพเจ้าอย่างเดียวดาย หิวโหยและสิ้นหวัง 

ข้าพเจ้าแหงนมองออกไปทางประตูสู่ท้องฟ้าและพื้นที่ราบ ไกล และกว้าง แต่อนิจจา! ข้าพเจ้ามองไม่เห็นละมั่งที่ส่องแสงท่ามกลางแปลงเสจหรือแสงของพระอาทิตย์ตกอันยิ่งใหญ่ของรัฐโอริโอวา เรื่องน่ารำคาญทำให้ดวงตาของข้าพเจ้ามืดบอดต่อทุกสิ่งยกเว้นความคับข้องใจของข้าพเจ้า: ข้าพเจ้าเห็นเพียงหีบสัมภาระที่สูญหายไป และข้าพเจ้าก็พึมพำออกมาครึ่งเสียงว่า 

“นี่มันหลุมร้างอะไรอย่างนี้วะเนี่ย!”

………. .⋆。♞˚

เอาล่ะ และนั่นก็คือเรื่องเล่าการผจญภัยอันน่าเศร้าที่ตลกขบขันสำหรับเขา ที่ท่านเคานต์อเล็กซานเดอร์ เอ็ม ไรอัน คุณพ่อของเธอชอบนำมาเล่าในห้องนั่งเล่นของเขายามใดก็ตามที่มีแขกมาเยี่ยมเยือนที่บ้าน มันเป็นความประทับใจแรกที่ยากจะลืมเลือนสำหรับขุนนางอังกฤษที่ต้องเดินทางมายังภูมิประเทศที่เขาไม่คุ้นเคย เหน็ดเหนื่อย หิวโหย หลงทาง สัมภาระหาย จนในที่สุดเขาก็ได้พบกับสุภาพบุรุษผู้ที่โยนบ่วงจับลูกม้าแสนฉลาดที่น่าสงสารตัวนั้นได้ หลังจากที่มีเหล่าคาวบอยหลายคนพยายามแต่ไม่สำเร็จ จากนั้นหนุ่มน้อยแปลกหน้าก็ได้กลายมาเป็นคนคุ้มกันของเขาเพื่อพาเขาไปที่ฟาร์มปศุสัตว์ของท่านผู้พิพากษาอัล ออชินโคลส ผู้เป็นคุณตาของเธอที่อาศัยอยู่ในไพน์แชโดว์ รัฐโอริโอวา ขณะที่ทั้งสองเดินทางเป็นระยะทางสองร้อยหกสิบสามไมล์ไปยังฟาร์มปศุสัตว์ และการพบกันครั้งนั้นของพวกเขาก็เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพตลอดชีวิตของท่านเคานต์ชาวต่างชาติและโอเวน คาเมรอน หนุ่มลูกครึ่งอินเดียนแดง รุ่นน้อง ที่ต่อมาเขาผู้นั้นก็ได้เซ็นสัญญาเป็นหัวหน้าคนงานของอัล เจ้าของไร่ออชินโคลส กระทั่งเขาถูกท้าดวลกับนักพนันที่เป็นศัตรูกันมายาวนานถึงห้าปี และฝ่ายท้าดวลก็เป็นผู้ล้มทั้งที่โอเวนเป็นฝ่ายยิงทีหลัง น่าเศร้าซ้ำซ้อนอีกครั้งที่เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับ มิสเฮเลน คุณครูสาวคนหนึ่งที่แอบคบหากับนักพนัน เพราะเมื่อผู้ท้าดวลจบชีวิตลง ในวันถัดมาชาวบ้านก็พบร่างของครูสาวที่ริมแม่น้ำ มีคนเห็นเธอกระโดดลงไปโดยเขาอยู่ไกลจึงช่วยชีวิตเธอได้ไม่ทัน จากนั้นโอเวนที่รู้สึกผิด กอปรกับการที่เขามีสหายเป็นชาวอินเดียนแดงในเผ่าที่พวกชาวบ้านไม่ค่อยจะสบายใจ และเขาเองก็มีสิงโตภูเขาที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนในหมู่บ้านหลายคนจะหวาดกลัวเขายิ่งขึ้น จากนั้นเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย โอเวน คาเมรอนก็ตัดสินใจลาออกจากไร่ของอัลและกลายไปเป็น 'บุรุษแห่งผืนป่า' จากความรักสันโดษของเขา ซึ่งนานๆ เขาจึงจะกลับมาเยี่ยมมิตรสหายที่ดีในเมืองของเขาสักหน

ไรอัน มักจะเล่าโดยจะมีภรรยาและบุตรสาวนั่งอยู่ที่นั่งบนเก้าอี้ตัวโปรดของพวกเธอและมีสาวใช้ที่รินน้ำชา

“โอ้! ใช่เลย นี่คือครั้งที่หนึ่งพันหนึ่งร้อยแล้วมังที่เขาจะชอบเล่าถึงสหายรุ่นน้องที่น่าทึ่งของเขา” 

มาเรีย มารดาของเธอก้มหน้ามากระซิบกระซาบและสาวน้อยคนนั้นก็ยิ้ม ด้วยดวงตาที่แพรวพราวระยิบระยับ

เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส เธอเป็นบุตรสาวของท่านเคานต์ไรอัน อเล็กซานเดอร์ ที่ตัวสูงแต่ไม่สูงเกินไปสำหรับอายุของเธอ ในวัยสิบสี่ ย่างสิบห้า รูปร่างของเธอสูงสง่าอย่างสมบูรณ์แบบ เอวบางและเบาและมีอิสระโดยไม่ต้องติดค้างอะไร ผมของเธอเป็นสีทองที่สุกอร่าม มันวาวและอ่อนนุ่มราวกับผ้าไหมที่ไหลลงมาที่ลำคอเรียวระหง มันเป็นลอนตามธรรมชาติและไม่ได้ทำให้ความขาวของผิวเรียบเนียนของเธอดูหมอง ใบหน้าของเธอเปล่งปลั่ง ทุกลักษณะละเอียดอ่อน และรูปทรงก็เป็นวงรี ดวงตาของเธอเป็นสีฟ้าเข้มที่สดใสอย่างน่าทึ่ง พวกมันฉายแววเฉลียวฉลาด มุ่งมั่น เด็ดขาด ซุกซน และเป็นประกายงดงามอย่างมีเสน่ห์ ฟันของเธอซึ่งเธอรักษาไว้อย่างดีนั้นมีขนาดเล็ก สม่ำเสมอและเรียบขาว อกของเธอถูกยกขึ้นอย่างประณีต ที่ใครก็อาจมองเห็นคำสัญญามากมายว่าการเติบโตที่แท้จริงนั่นจะเป็นหน้าอกที่กลมและแน่นกระชับ ซึ่งในเวลาอันสั้นจะทำให้สัญญานั้นดี หากจะกล่าวกันโดยย่อในการชมความงามเหล่านี้ แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส ก็คือความงดงามทั้งหมดที่สาวๆ ทั้งหลายต่างอยากได้และร้องขอเพื่อให้ได้คุณสมบัติที่วิเศษเลิศเลอนี้มาครองอย่างที่สุด

เลดี้สาวถอนหายใจของเธอเบาๆ มองไปไกลโดยไม่รู้ตัวว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

รู้แค่ว่า ในอีกสองหรือสามสัปดาห์ข้างหน้าเธอก็คงจะไม่ได้ยินเรื่องราวของโอเวน คาเมรอน หัวหน้าคาวบอยหนุ่มที่เธอเองก็ได้พบปะพูดคุย และประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มที่เข้มแข็งแต่อ่อนโยน เคร่งขรึมแต่ก็ใจดี ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมกลางป่าคนนั้นไปอีกนาน เนื่องจากสัปดาห์หน้าเธอจะต้องขึ้นรถไฟกลับไปเรียนที่นิวยอร์กทาวน์และเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนกับคุณป้าแอนนา ผู้เป็นพี่สาวของคุณแม่ของเธอ

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

4. สุภาพบุรุษแห่งผืนป่า

 

ในชั่วโมงที่พระอาทิตย์ตกดิน ป่ายังคงเงียบสงัด อ่อนหวานด้วยกลิ่นฉุนของต้นสนและหญ้า สว่างไสวด้วยสีทองและสีแดงและสีเขียว และชายผู้ร่อนเร่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ดูเหมือนจะกลมกลืนกับสีสันและหายตัวไปได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าทึบ

เนินเขาหัวโล้นเก่าแก่ที่สูงที่สุดของภูเขาสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่รอบๆ และเปลือยเปล่า ขอบสีทองสดใสในแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน จากนั้น เมื่อไฟตกลงไปด้านหลังยอดโดม ความเปลี่ยนแปลงที่หนาวเย็นและมืดมิดได้ส่งผ่านเนินเขาที่มีปลายแหลมเป็นหอกสีดำไปทั่วทั้งโลกของภูเขา

เป็นพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์และมีน้ำอุดมสมบูรณ์ของป่ามืดและทุ่งหญ้าสูงหมื่นฟุตเหนือระดับน้ำทะเล โดดเดี่ยวทุกด้านโดยทะเลทรายโอริโอวาที่ตั้งทางตอนใต้ - บ้านที่แสนบริสุทธิ์ของกวาง หมี สิงโต หมาป่า และจิ้งจอก บ้านเกิดและที่หลบซ่อนของอาปาเช่ผู้น่าเกรงขาม

กันยายนในละติจูดนั้นมีลมเย็นที่จะเย็นเยือกกะทันหันหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไม่นาน พลบค่ำดูเหมือนจะมาบนปีกของมัน เช่นเดียวกับเสียงที่แผ่วเบา ซึ่งไม่เคยแยกแยะได้มาก่อนในความเงียบสงัด

โอเวน คาเมรอน หยุดพักที่ริมสันเขาที่เป็นป่าไม้เพื่อฟังและดู 

ข้างใต้ชายหนุ่มนั้นมีหุบเขาแคบๆ ที่เปิดโล่งและเต็มไปด้วยหญ้า ซึ่งก็มีเสียงพึมพำแผ่วเบาของสายน้ำที่ไหลผ่าน เสียงเพลงของมันถูกแทงด้วยเสียงแส้ของหมาป่าที่กำลังออกล่าสัตว์ และจากเหนือศีรษะ ในป่าของต้นสนขนาดยักษ์ก็มีเสียงบ่นพึมพำและจำเจในตอนกลางคืน และจากอีกฟากหนึ่งของหุบเขาก็มีเสียงไก่งวงป่าโหยหวนร้องดังขึ้น

สำหรับหูที่แหลมคมของโอเวน เสียงเหล่านี้คือทั้งหมดที่พวกเขาควรจะเป็น ทำให้เกิดความสงบสุขของผืนป่าที่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาดีใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินกุบกับของม้า ซึ่งการได้ยินเสียงนั้นในความแล้งแค้นเหล่านั้นทำให้เขาเกลียดชัง .. เขาและชาวอินเดียนแดงเป็นเพื่อนกัน ศัตรูตัวฉกาจนั้นไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อนายพรานผู้โดดเดี่ยว แต่มีแก๊งค์คนเลว โจรขโมยแกะ ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่า ซึ่งโอเวนไม่อยากเจอ

เมื่อเขาเริ่มออกเดินทางบนทางลาด ทันใดนั้นแสงตะวันที่ตกจากดวงอาทิตย์ตกก็ไหลลงมาจากเขาหัวโล้นเก่าแก่ พวกมันเติมหุบเขาด้วยแสงและเงา สีเหลืองและสีน้ำเงิน ราวกับแสงของท้องฟ้า แอ่งน้ำในแนวโค้งของลำธารส่องประกายระยิบระยับ .. โอเวนกวาดสายตาแหลมคมขึ้นและลงจากหุบผา จากนั้นจึงพยายามเจาะเงาสีดำข้ามลำธารที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกำแพงของต้นสน หงอนแหลมและคมของมันตัดกับก้อนเมฆสีซีด ลมเริ่มคร่ำครวญบนต้นไม้และรู้สึกว่ามีฝนในอากาศ โอเวนเดินไปตามทาง หันหลังให้กับแสงระเรื่อที่เลือนลางและเดินลงมาจากหุบเขา

ในยามกลางคืนและพายุฝนฟ้าคะนอง เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังค่ายของตัวเอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ แต่มุ่งตรงไปยังกระท่อมไม้ซุงเก่า เมื่อเขาไปถึงความมืดก็ใกล้เข้ามาแล้ว

โอเวน คาเมรอนอายุสามสิบได้แล้วในตอนนี้ และเลือดครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นของชาวอินเดียนแดงที่หมุนเวียนในร่าง ซึ่งเมื่ออายุได้สิบสี่ เขาออกจากโรงเรียนและบ้านของเขาในโอริโอวา และเข้าร่วมขบวนเกวียนของผู้บุกเบิก เขาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่ได้เห็นกระท่อมไม้ซุงที่สร้างขึ้นบนเนินเขาสีขาว แต่เขาไม่ได้ยินดีที่จะยึดอาชีพทำนา เลี้ยงแกะ หรือทำงานบ้านที่จำเจ แต่เขาก็มีเวลาสิบสองปีอยู่ที่คอกปศุสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นเวลาสี่ปีที่เขาอาศัยอยู่ในป่า โดยไปเยี่ยมไพน์แชโดว์ และไซมอนสโนว์ไม่บ่อยนัก ชีวิตในป่าที่เร่ร่อนของเขานี้ไม่ได้บ่งบอกว่าเขาไม่สนใจชาวบ้านเพราะเขาใส่ใจ และเขายังเป็นคนที่หลายคนยินดีต้อนรับเขาทุกที่ที่จะไป แต่เขารักชีวิตป่าและความสันโดษ และความงามด้วยพลังสัญชาตญาณดั้งเดิมของคนป่าเถื่อน

กลางคืนมืดลง ลมแรงขึ้น เย็นขึ้น เมฆแตกกระจายไปทั่วท้องฟ้า มีเพียงดาวไม่กี่ดวงเท่านั้นที่แสดงให้เห็น มีฝนโปรยปรายมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และป่าก็เต็มไปด้วยเสียงคำรามต่ำๆ 

“ฉันคิดว่าฉันควรหยุดพักที่นี่ดีกว่า” เขาพูดกับตัวเองแล้วหันไปที่กองไฟ 

ตอนนี้ถ่านเป็นสีแดง จากส่วนลึกของเสื้อโค้ตล่าสัตว์ เขาจัดหาเกลือหนึ่งถุงและเนื้อแห้งบางส่วน วางสิ่งเหล่านี้ไว้บนถ่านที่ร้อนครู่หนึ่งจนกระทั่งพวกมันก็เริ่มเสียงดังฉ่าและม้วนงอ เอาไม้แหลมออกแล้วกินเหมือนนักล่าผู้หิวโหยที่รู้สึกยินดีเพียงเล็กน้อย

เขานั่งบนท่อนไม้ ยื่นฝ่ามือที่กางออกไปเสาะหาความอบอุ่นของไฟที่กำลังจะมอด และดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ถ่านคุสีทองที่เปลี่ยนไปเป็นประกาย ข้างนอกลมยังคงพัดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเสียงครวญครางของป่าก็ดังขึ้นเป็นเสียงคำราม โอเวนรู้สึกถึงความอบอุ่นสบายที่โฉบมาเหนือเขา กล่อมให้ง่วงนอน และเขาก็ได้ยินเสียงลมพายุเหนือบนต้นไม้

ตอนนี้เขาลุกขึ้นและปีนขึ้นไปบนห้างไม้ของเขา เหยียดตัวออกไปและในไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป

เมื่อฟ้าสางสีเทา เขาก็กำลังเดินทาง 'ข้ามเมือง' ไปยังหมู่บ้านไพน์แชโดว์

ในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา ลมพัดและฝนหยุดตก ความน่าพิศวงของน้ำค้างแข็งส่องบนพื้นหญ้าในที่โล่ง ผืนป่าทั้งหมดเป็นสีเทา, ทุ่งโล่ง และในส่วนที่ลึกกว่าที่สีเทาที่เข้มกว่าจะทำเครื่องหมายของทางเดินของป่า เงาที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้และความเงียบนั้นดูสอดคล้องกับรูปแบบของสเปกตรัม จากนั้นทางทิศตะวันออกก็ลุกเป็นไฟ สีเทาสว่างขึ้น ป่าไม้ในความฝันตื่นขึ้นจากแสงตะวันสีแดงอันไกลโพ้นที่แผดเผา

นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในวันที่โดดเดี่ยวของโอเวน เนื่องจากพระอาทิตย์ตกดินเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดของเขา มีบางอย่างในเลือดของชาวอินเดียนแดงที่ตอบรับเสียงนกหวีดจากสันเขาที่อยู่ใกล้ๆ ย่างก้าวที่ยาวไกลไร้เสียง และทิ้งร่องรอยความมืดไว้ตรงที่เท้าของเขาเหยียบย่ำน้ำค้างบนยอดหญ้า

โอเวนไล่ตามเส้นทางซิกแซกเหนือสันเขาเพื่อหลีกหนีจากการปีนเขาที่ยากที่สุด แต่ 'เซนาคา' ทุ่งหญ้าเหมือนสวนสาธารณะที่คนเลี้ยงแกะชาวมอนทาคิวตั้งชื่อไว้ มีความกลมกลืนและเรียบราวกับสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ตรงกันข้ามกับความมืดที่สวยงาม สันเขาสีเขียว รกชัฏและขรุขระ .. ทั้งทุ่งกว้างที่เปิดโล่งและสันเขาที่เป็นป่าทึบแสดงให้เห็นว่าเขามีเกมมากมาย การแตกกิ่งก้านและแสงสีเทาที่หายไปท่ามกลางต้นสน วัตถุสีดำทรงกลมสั่นไหวในพุ่มไม้ และการก้าวย่างอย่างลับๆ ล้วนเป็นสัญญาณง่ายๆ ที่โอเวนจะอ่าน .. ครั้งหนึ่งในขณะที่เขาโผล่ออกมาอย่างเงียบเชียบในบึงเล็กๆ ที่เหมืองหิน เมื่อเขาเห็นจิ้งจอกแดงจึงสะกดรอยตามมันไป ซึ่งในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้า พิสูจน์แล้วว่าเป็นฝูงนกกระทา .. พวกมันกระวนกระวาย ปัดกิ่งไม้ และสุนัขจิ้งจอกก็วิ่งเหยาะๆ ลงไปในเซนาคา .. โอเวนก็พบกับไก่งวงป่าที่กำลังกินเมล็ดหญ้าที่พุ่งตัวขึ้นสูง

ในการไปเยี่ยมไพน์เป็นธรรมเนียมของเขาเสมอมา ที่เขาจะล่าและบรรจุเนื้อสดให้กับเพื่อนเก่าหลายคนที่ยินดีจะมอบที่พักให้เขา และแม้ว่าตอนนี้เขาจะรีบร้อน เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะยกเว้นการเดินทางครั้งนี้

ในที่สุดเขาก็ลงไปที่ป่าสนซึ่งมีต้นไม้สีเหลืองขนาดใหญ่ที่ตะปุ่มตะป่ำ สูงตระหง่าน ตั้งตรง และอยู่ห่างไกลจากกัน และพื้นดินเป็นเสื่อสนสีน้ำตาลที่มีกลิ่นหอมเป็นพื้น เป็นชั้น เป็นสปริง .. กระรอกแอบมองดูเขาจากทุกทิศทุกทาง และวิ่งหนีไปเมื่อเขาเข้าไปใกล้ๆ .. เจ้ากระรอกน้อยสีน้ำตาล ลายทางสีอ่อน และเจ้าตัวที่ใหญ่กว่าจะเป็นสีน้ำตาลอมน้ำตาลและสีเทาเข้มที่สวยงามด้วยหางเป็นพวงและหูที่มีขนสีขาว

แถบต้นสนนี้สิ้นสุดอย่างกะทันหันบนพื้นกว้างสีเทา พลิ้วไปพลิ้วมาเกือบจะเหมือนทุ่งหญ้า เชิงเขายกขึ้นทั้งใกล้และไกล และเปลวไฟสีแดงทองของพุ่มแอสเพนที่รับแสงแดดยามเช้า ที่นี่โอเวนกวาดตามองดูฝูงไก่งวงป่าซึ่งมีจำนวนมากกว่าสี่สิบตัว และสีเทาที่อ่อนลงของพวกมันที่มีลายจุดสีขาว และรูปร่างเพรียวบางสง่างาม แสดงให้เห็นว่าพวกมันเป็นแม่ไก่ .. ในฝูงไม่มีไก่งวงตัวผู้ 

จนกระทั่งเริ่มมีกลิ่นเหม็นคาวไปในหญ้า มีเพียงหัวของพวกมันเท่านั้นที่โผล่ออกมา และในที่สุดก็หายวับไป 

โอเวนเหลือบตาไปดูหมาป่าตัวเหม็นที่เห็นได้ชัดว่ากำลังสะกดรอยตามไก่งวง และเมื่อมันเห็นเขามันก็พุ่งเข้าไปในป่า และเขาก็ยิงไปที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว กระสุนของเขาพุ่งลงต่ำตามที่เขาตั้งใจไว้ แต่ต่ำเกินไป และหมาป่าก็มีเพียงฝุ่นดินและเข็มสนพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของมัน สิ่งนี้ทำให้มันตกใจจนกระโดดหลบไปชนต้นไม้ พลิกตัวไปมา ปกคลุมผืนป่า และยกเท้าขึ้น .. โอเวนรู้สึกขบขันกับสิ่งนี้ มือของเขาต่อสู้กับสัตว์ป่าที่กินสัตว์อื่นในป่า แม้ว่าเขาจะได้เรียนรู้ว่าสิงโต หมี หมาป่า และจิ้งจอกล้วนมีความจำเป็นต่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งพวกมันล่าเหยื่อเช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่สวยงามและอ่อนโยน .. แต่สัตว์บางชนิดเขาก็รักมันมากกว่าชนิดอื่น ดังนั้นเขาจึงเสียใจกับความโหดร้ายที่อธิบายไม่ได้

เขาข้ามทุ่งกว้างที่มีหญ้า และพุ่งลงมาทีละน้อยที่ต้นแอสเพนและต้นสนอัดแน่นอยู่ในหุบเขาตื้นและทุ่งโล่งที่มีแสงแดดอบอุ่นล้อมรอบไปตามลำธารที่ส่องประกายระยิบระยับ ที่นี่เขาได้ยินเสียงไก่งวงที่กำลังขบเคี้ยวหากิน และนั่นเป็นสัญญาณให้เขาเปลี่ยนเส้นทางและอ้อมเงียบๆ ไปรอบๆ กอแอสเพน 

ในทุ่งหญ้าที่มีแดดจ้า กระรอกดินตัวใหญ่หลายสิบตัวยืนขึ้น ทุกตัวหันหน้ามามองทางเขาอย่างสงสัย ตั้งตัวตรง โดยมีลักษณะสัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับสายพันธุ์ของพวกมัน .. ไก่งวงป่าตัวผู้สูงวัยเป็นเกมที่ยากที่สุดที่จะสะกดรอยตาม โอเวนยิงได้สองตัว ตัวอื่นๆ เริ่มวิ่งราวกับนกกระจอกเทศ กระพือปีกเหนือพื้นดิน กางปีกออก และด้วยการเริ่มต้นการวิ่งแบบนั้น ร่างกายอันหนักอึ้งของพวกมันก็พุ่งทะยานออกไปจากกอหญ้า พวกมันบินต่ำที่ความสูงของผู้ชายและหายตัวไปในป่า




ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

5. ละทิ้งผืนดงพงไพร

 

โอเวนโยนไก่งวงสองตัวไว้บนไหล่ของเขาแล้วเดินต่อไป ในไม่ช้าเขาก็มาถึงจุดพักต่างระดับในป่า ซึ่งเขาจ้องมองลงไปที่เนินต้นสนและต้นซีดาร์ที่ทอดยาวเป็นแนวยาวออกไปสู่ทะเลทรายที่ส่องประกายระยิบระยับ .. ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด .. ทอดยาวออกไปสู่เส้นขอบฟ้ามืดสลัว

หมู่บ้านเล็กๆ แห่งไพน์แชโดว์ตั้งอยู่บนชั้นสุดท้ายของป่าไม้ที่กระจัดกระจาย ถนนที่ขนานไปกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและมืดมิดได้แบ่งกลุ่มกระท่อมไม้ซุงออกจากที่ซึ่งเสาควันสีน้ำเงินลอยขึ้นไปอย่างเกียจคร้าน ทุ่งข้าวโพดและทุ่งข้าวโอ๊ตสีเหลืองในแสงแดดล้อมรอบหมู่บ้าน และทุ่งหญ้าเขียวขจีที่เต็มไปด้วยม้าและวัวควายถึงป่าทึบ ไซต์นี้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่โล่งตามธรรมชาติ เนื่องจากไม่มีหลักฐานของการตัดไม้ ฉากนั้นค่อนข้างจะป่าเปลี่ยวเกินกว่าจะเป็นที่เลี้ยงแกะเลี้ยงวัวได้ แต่ก็เงียบสงบ ร่มรื่น สร้างความประทับใจให้ชุมชนห่างไกลได้มีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุข ล่องลอยไปตามอายุที่สงบสุขของชีวิตที่ถูกกักขัง

โอเวนหยุดที่หน้ากระท่อมไม้ซุงเล็กๆ ที่เรียบร้อยและสวนเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยดอกทานตะวันก่อนเสียงเรียกของเขาจะได้รับการตอบรับจากหญิงชราคนหนึ่ง ผมสีเทาและงอ แต่ดูกระฉับกระเฉงอย่างน่าทึ่ง ซึ่งปรากฏตัวที่ประตู

“ทำไมล่ะ ในนามของฟ้าดิน ถ้านี่จะไม่ใช่ โอเวน คาเมรอน!” นางอุทานด้วยความยินดี

“คิดว่านี่คือผมเองนั่นแหละ คุณนายแคส” เขาตอบ “ดูสิ! ผมเอาไก่งวงมาให้คุณแล้ว”

“โอเวน เจ้าเป็นเด็กดีที่ไม่เคยลืม วิโดว์ แคส ที่แก่เฒ่า….ช่าง..ช่างซาบซึ้งใจจริงๆ ! ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นฤดูใบไม้ร่วงนี้ ทอมสามีของฉันเคยไปรับเสบียงอาหารที่บ้านแบบนั้น .... สักวันเขาจะกลับบ้านอีกครั้ง”

ทอม แคส สามีของนางเคยเข้าไปในป่าเมื่อหลายปีก่อนและไม่เคยกลับมาอีกเลย แต่หญิงชรามองหาเขาเสมอและไม่เคยหมดหวัง

“ผู้ชายหลงทางอยู่ในป่าแต่ก็กลับมา” โอเวนตอบ ขณะที่เขาพูดกับนางหลายครั้ง

“เข้ามาสิ คุณหิวข้าวฉันรู้ ลูกเอ๋ย ครั้งสุดท้ายที่ลูกกินไข่สดหรือลูกเป็ดขี้เหร่กันล่ะ?”

“คุณควรจำมันได้” เขาตอบพร้อมหัวเราะ ขณะที่เดินตามนางเข้าไปในครัวเล็กๆ ที่สะอาด

“ในนามของฟ้าดิน! นั่นมันคือเมื่อหลายเดือนก่อน” นางตอบ สั่นศีรษะสีเทา 

“โอเวน คุณควรละทิ้งชีวิตป่าแบบนั้น ..แต่งงาน ..และ..มีบ้าน”

“คุณบอกผมแบบนี้เสมอ”

“ใช่ เพราะฉันเห็นว่าคุณควรจะทำมัน แต่เอาเถอะ..ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่แล้ว และเร็วๆ นี้ฉันก็จะให้คุณกินอาหารซึ่งจะทำให้คุณน้ำลายไหลท่วมราวน้ำตก อ่อ แล้วเจ้าบาร์นีย์ม้าตัวใหญ่ของคุณอยู่ที่ไหน? คุณไม่เคยขายหรือให้ใครยืมเลยนี่นา”

“ม้าของผมอยู่ในป่า คุณป้า; ผมคิดว่ามันจะปลอดภัยจากโจรขโมยม้าในเมือง”

“ใช่ .. นั่นนับว่าเป็นพรที่มันยังปลอดภัยดี”

ดังนั้น ขณะเตรียมอาหารให้โอเวน หญิงชราเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขามา โอเวนสนุกกับการนินทาและปรัชญาที่แปลกตาของนาง และเป็นการดีอย่างยิ่งที่ได้นั่งที่โต๊ะของนาง ในความเห็นของเขา ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่จะมีเนยและครีมเช่นนี้ แฮมและไข่เช่นนี้ นอกจากนี้นางมักจะมีพายแอปเปิลเหมือนทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวในบ้านของนาง และพายแอปเปิลเป็นหนึ่งในความเสียใจเพียงเล็กน้อยของเขาขณะอยู่ในป่าเปลี่ยว

“ผู้พิพากษาอัล ออชินโคลสตั้งใจจะทำอะไรหรือครับคุณป้า?” โอเวนย้อนถามถึงเมื่อกี้ 

“ขอบคุณจริงๆ ที่คุณถามถึงเขา” นางพูดขึ้นมาอย่างโล่งใจ “เขาตายแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน”

ถึงแม้ว่าโอเวนจะใจหายต่อข่าวร้ายนี้มากจนใบหน้าเข้มหม่นหมองลง แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจถึงปรัชญาของชีวิตนี้ดี

อัล ออชินโคลส แก่ชราและอ่อนแอมากแล้วในตอนที่เขาพบเจ้านายเก่าของเขาหนล่าสุด 

แต่หญิงชราก็พูดต่อไปอีกว่า “แต่ก่อนตายอัลได้สั่งเสียกับท่านเคานต์ไรอันไว้สำหรับหลานสาวของเขา เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส ที่ถูกส่งไปเรียนที่นิวยอร์กทาวน์และเพื่อจะเรียนจบมหาวิทยาลัยทั้งที่อายุเพียงแค่สิบเก้าปี คุณรู้ใช่ไหม มันน่าทึ่งมากเลยที่ใครจะทำได้เช่นนั้น แต่นั่นอาจเป็นเพราะการผลักดันของท่านเคานต์และเคาน์เตส ดังนั้นผู้เฒ่าอัลจึงวางแผนการไว้ และต่อไปเธอจะต้องสืบทอดทรัพย์สินทั้งหมดของเขาที่พวกเราเชื่อว่าเธอจะทำได้ดี เราเคยได้ยินเกี่ยวกับเธอมามากแล้ว และฉันเชื่อว่าคุณเองคงยังจำเธอได้ พวกเขาพูดว่า เลดี้แคโรไลน์เป็นผู้หญิงบริสุทธิ์ ฉลาด เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ เอาล่ะ โอเวน คาเมรอน นี่เป็นโอกาสของคุณแล้ว ออกจากป่าแล้วกลับมาทำงานในคอกปศุสัตว์ที่คุณมีส่วนช่วยพวกเขาบุกเบิก ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันกำลังแย่ลงมากในตอนที่คุณไม่อยู่ และเพื่อรับผิดชอบสิ่งนั้น เชื่อฉัน และแต่งงานกับสาวน้อยคนนั้นซะเถอะ!”

“ผมคงไม่มีโอกาสหรอก คุณป้า” เขาพูดตอบเธอยิ้มๆ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกไปถึงคืนที่เด็กสาวคนหนึ่งหลงทางมาเจอเขากลางพายุหิมะแล้ว 'แม่ครัวตัวจ้อย' ชักชวนให้เขาทำสตูไก่ “ผมแก่กว่าเธอตั้งเยอะ”

คุณป้ามองดูใบหน้า 'คนแก่' ที่ผอมบาง สง่างามและแข็งแกร่งของคิ้วที่อยู่ระดับเดียวกัน จมูกตรงและคางเหลี่ยม บุ๋มตรงกลาง พร้อมกับริมฝีปากที่ขัดแย้งกันซึ่งรอยหยักและโค้งงอของมัน ความประณีตเป็นการแสดงออกที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งไม่ได้มีลักษณะเฉพาะ แต่แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า และสำหรับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมของเขา สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงหลายคนจะยอมจ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของขนตาในแบบของเขา

หญิงชราพ่นลมหายใจ 

“รู้มาก! ผู้ชายคนไหนๆ ก็แก่กว่าผู้หญิง และอะไรอีกรู้ไหม ผู้หญิงคนไหนๆ ก็อยากได้คุณ โอเวน คาเมรอน ถ้าคุณแค่โยนผ้าเช็ดหน้า”

“ผมนี่น่ะหรอ! … ทำไมล่ะคุณป้า” เขาถาม กึ่งขบขัน กึ่งครุ่นคิด เมื่อเขากลับมาสู่อารยธรรม เขามักจะต้องปรับความคิดของเขาให้เข้ากับความคิดของผู้คน

"ทำไม? ฉันขอประกาศ โอเวน คุณอาศัยอยู่ในป่า คุณเหมือนกลับไปเป็นเด็กสิบขวบ และบางครั้งก็แก่พอๆ กับเนินเขา ในนี้ไม่มีชายหนุ่มคนไหนเทียบคุณได้เลย ผู้หญิงคนนี้ เธอจะมีความกล้าหาญของออชินโคลส”

“ถ้าอย่างนั้นเธออาจจะไม่ยอมถูกจับให้แต่งงานก็ได้” โอเวนตอบ และก็ใช่ เขารู้ดีเลยว่าเธอกล้าหาญ

“โอ้! คุณไม่มีเหตุผลที่จะรักหรือไม่รักเธอได้แน่ แน่นอน แต่โอเวน ผู้หญิงออชินโคลสเป็นภรรยาที่ดีเสมอ”

“คุณป้าที่รัก คุณกำลังฝันไป” โอเวนพูดอย่างมีสติ เพราะผู้หญิงที่ดี การเป็นอยู่ดี ถูกเลี้ยงมาอย่างดีอย่างสาวน้อยคนนั้นคงไม่มีวันอยากร่วมชีวิตกับคนที่อาศัยอยู่ในป่า และแก่กว่าเธอมากอย่างเขา มันคงเป็นไปไม่ได้เลย “ผมไม่ต้องการภรรยา ผมมีความสุขในป่า”

“อากาศที่คุณหายใจเข้าจะทำให้คุณมีชีวิตอยู่เหมือนเป็นชาวอินเดียนแดงเข้าไปทุกวันของคุณ เช่นนั้นหรือเปล่า โอเวน คาเมรอน?” เธอถามอย่างเฉียบขาด

“ผมหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น"

“คุณควรจะละอายใจ แต่สาวน้อยบางคนจะเปลี่ยนแปลงคุณ เด็กน้อย และมันจะเป็น แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส นี่แหละ ฉันหวังว่าฟ้าดินจะอธิษฐานเพื่อพวกคุณ”

“ป้าครับ ถ้าสมมุติว่าเธอเปลี่ยนผมได้ แต่เธอจะไม่มีวันเปลี่ยนอัล ออชินโคลส เขาเกลียดผมแล้วคุณรู้ไหม”

“อืมมม ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ลูกเขยของเขาเป็นสหายรักของคุณ เขาไม่ควรทำกับคุณเช่นนั้น เกลียดหรือ? น่าจะโกรธมากกว่า โอเวน ก่อนผู้เฒ่าอัลจะตาย ฉันเคยพบเขาและเขาถามหาคุณ โดยบอกอย่างหงุดหงิดว่าคุณอาจจะกลายเป็นคนป่าเถื่อนไปแล้ว แต่เขาคิดว่าผู้ชายอย่างคุณเหมาะกับการตั้งถิ่นฐานของผู้บุกเบิก พระเจ้ารู้ดีในสิ่งที่คุณได้ทำเพื่อหมู่บ้านแห่งนี้! โอเวน ทั้งท่านผู้พิพากษาเฒ่าอัล และทั้งท่านเคานต์ไรอันยังคงไม่เห็นด้วยกับชีวิตชาวพรานป่าของคุณ แม้ว่าคุณจะเคยเป็นหัวหน้าคนงานฝีมือดีของเขามาก่อนจนกระทั่งคุณเสียใจเรื่องการตายของคุณครูเฮเลน ครูสอนพิเศษของเลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสในสมัยนั้น ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ แต่คุณก็ได้เลี่ยงตัวเองไปอยู่ในป่า แม้ไม่เห็นด้วยแต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกหนักใจเลยจนกระทั่งสิงโตภูเขาเชื่องๆ ของคุณได้ฆ่าแกะและวัวของเขาจำนวนมาก”

“คุณป้า ผมไม่เชื่อว่าไลจาร์จะเคยไปฆ่าแกะและวัวของท่านผู้พิพากษาอัล” โอเวนกล่าวในเชิงบวก

“โอ้! แต่ผู้เฒ่าอัลเค้าคิดอย่างนั้น ในขณะที่ท่านเคานต์ลูกเขยของเขาก็เอาแต่อ้ำอึ้งเพราะช่วยแก้ต่างให้คุณได้ไม่ถนัด เพราะเขาเองก็คงไม่มั่นใจเหมือนกัน และดังนั้น คนอื่นๆ อีกหลายคนก็เชื่อเช่นนั้นด้วย” นางแคสตอบ สั่นศีรษะสีเทาของนางอย่างสงสัย “คุณไม่เคยสาบานว่ามันจะไม่ทำ .. มีคนเลี้ยงแกะสองคนซึ่งสาบานว่าเห็นเจ้าหมอนั่น”

“พวกเขาเห็นแต่สิงโตภูเขาเท่านั้น สาบานได้! พวกเขากลัวมากกว่าและทำให้พวกเขาวิ่งหนี”

“เด็กเอ๋ย เป็นใครจะไม่วิ่งล่ะ? สัตว์ร้ายตัวใหญ่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตกใจ ในนามของฟ้าและดิน อย่าดึงเขาลงมาที่นี่อีก ฉันและทุกคนไม่ได้ลืมเวลาที่คุณทำ และเด็กๆ ทุกคนในไพน์ … เลิกทำแบบนั้นเถอะ!”

"ใช่; แต่ไลจาร์ไม่ผิด คุณป้า เขาเป็นสัตว์เลี้ยงของผมที่เชื่องที่สุด เขาไม่ได้พยายามเอาหัวไปวางบนตักคุณแล้วเลียมือคุณเหรอ?”

“โธ่ถัง! โอเวน ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าสัตว์เลี้ยงที่เป็นสิงโตภูเขาของคุณไม่ได้ทำตัวดีไปกว่านี้แล้ว และหลายคนที่รู้จักขนคอฟูๆ ของเขาดี และรูปลักษณ์ของเขาและสิ่งที่เขาพูดกัน นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน”

“มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรคุณป้า?”

“พวกเขาบอกว่าเขาดุร้ายเมื่ออยู่ในสายตาคุณ เขาจะตามล่าและฆ่าทุกอย่างที่คุณสั่งให้เขาทำตาม”

“ผมฝึกให้เขาเป็นแบบนั้น”

“งั้นก็เอาเถอะ อย่างไรก็ตาม ทิ้งไลจาร์ไว้ในป่า ที่บ้านของมัน..เมื่อคุณมาเยี่ยมเรา”

โอเวนทานอาหารมื้อใหญ่เสร็จแล้วและฟังคำพูดของหญิงชราอีกครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็นำปืนไรเฟิลและไก่งวงอีกตัวไปบอกลานาง และนางก็เดินตามออกมาส่งเขา

“เอาล่ะ โอเวน เร็วๆ นี้คุณจะกลับมาใหม่ เพื่อเจอหลานสาวของท่านผู้เฒ่าอัลที่จะมาที่นี่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ใช่ไหม?”

“ผมคิดว่าผมจะไปเยี่ยมพวกเขาในสักวัน คุณป้า”

โอเวนบอกลาเพื่อนเก่าของเขาอีกครั้งแล้วเดินจากไปอย่างครุ่นคิดและจริงจัง

และสำหรับ แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส แม้เธอจะเป็นธิดาของสหาย แต่เขาก็แทบไม่ค่อยได้เจอเธออย่างจริงจัง ยกเว้นก่อนการเดินทางไปเรียนที่ในคืนที่เธอต้องมาติดพายุอยู่กับเขาและ 'มื้อไก่งวงกับพายลูกพรุน' เพราะปกติส่วนใหญ่เธอจะอาศัยอยู่แต่ในนิวยอร์กทาวน์ เธอต้องเรียนและพักอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ร่วมกับคุณป้าผู้เป็นแม่หม้ายของเธอที่นั่น และเธอก็ยังเคยมีครูพี่เลี้ยงที่แสนสวย อ่อนหวานคนหนึ่งคอยดูแลและติดตามมาด้วยทุกครั้งที่เธอกลับมาที่ไร่นี้ทุกปิดเทอม

หากให้นับ มันคงมีการพบกันที่เป็นเรื่องเป็นราวเพียงหนึ่งครั้งระหว่างเขาและเธอจริงๆ ในช่วงเวลาที่เธอเองน่าจะอายุเพียงแค่สิบสามปี และมันอยู่ในระยะเวลาที่เขายังเป็นหัวหน้าคนงานในคอกปศุสัตว์ให้ท่านผู้พิพากษา คุณตาของเธอ 

มันคือช่วงเวลาที่เขาเองไม่อยากจะคิดถึง … แต่บางครั้งเขาก็ค้นพบว่ามันยากมากที่เขาจะไม่คิด

มันอาจเป็นเรื่องขบขันทุกครั้งที่เขาคิดถึงเด็กสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าสดใสในยามเงียบเหงา หรือในเวลาที่เขาต้องอยู่ลำพังคนเดียว … 'แม่ครัวตัวน้อย' กับเมนูไก่งวงและลูกพรุน

แต่งงานกับเขา … 

มันอาจเป็นหนึ่งเรื่องตลกที่เขารู้ดีว่ามันไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย

………. .⋆。♞˚

ในตอนบ่าย หลังจากทำภารกิจบางอย่างที่เพื่อนเก่าของเขาที่ไพน์แชโดว์สั่งให้เขาทำสำเร็จลงช้าๆ และสุดท้ายโอเวนได้ถูกชี้นำขั้นตอนเพื่อให้มุ่งหน้าไปยังฟาร์มปศุสัตว์ .. ออชินโคลส

กระท่อมหินแบนสี่เหลี่ยมและไม้ซุงขนาดใหญ่ผิดปกติตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ห่างออกไปครึ่งไมล์จากหมู่บ้าน .. บ้านและป้อมปราการเป็นโครงสร้างแรกเริ่มที่สร้างขึ้นในภูมิภาคนั้น และกระบวนการสร้างมีร่องรอยว่าเคยถูกขัดขวางโดยการโจมตีของอินเดียนแดงมากกว่าหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตาม พวกชนชาวเผ่าดุร้ายได้จำกัดการจู่โจมอย่างดุเดือดไว้ที่จุดทางใต้ของเทือกเขาไวท์ และบ้านหลังใหญ่ราวคฤหาสน์ของออชินโคลสเมื่อมองลงมาจะเห็นโรงนาและเพิงและคอกสัตว์ทุกขนาดและทุกรูปทรง และแปลงดินที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างดีหลายร้อยเอเคอร์ ทุ่งข้าวโอ๊ตโบกมือสีเทาและสีเหลืองในยามบ่าย ทุ่งหญ้าเขียวขจีขนาดมหึมาถูกแบ่งโดยลำธารที่มีพรมแดนติดกับต้นหลิว และที่นี่มีฝูงม้าอยู่ และบนที่ราบโล่งที่มีฝูงวัวควายก็ถูกแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง

ฟาร์มปศุสัตว์ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยมาหลายปีและความอุตสาหะของมนุษย์ ลำธารชลประทานในหุบเขาอันเขียวขจีระหว่างไร่กับหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม น้ำสำหรับใช้ในบ้านนั่นก็ไหลลงมาจากเนินเขาสูงที่เป็นป่าของภูเขา .. และเมื่อจะมีคนไปที่นั่นก็จะถูกพาไปโดยวิธีง่ายๆ .. ท่อนไม้สนที่มีขนาดเท่ากันถูกวางเรียงต่อกันโดยมีร่องลึกเข้าไปในนั้น และทำเป็นเส้นแวววาวไปตามทางลาด ข้ามหุบเขา และขึ้นเนินเล็กๆ ไปยังบ้านออชินโคลส

อย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ โอเวนพบท่านเคานต์ไรอันสหายหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งสูบไปป์อยู่ใต้ร่มเงาของระเบียง เขากำลังพูดคุยกับคนเลี้ยงแกะและคนเลี้ยงสัตว์ของเขา ซึ่งท่านเคานต์แห่งฟาร์มออชินโคลสจัดเป็นชายร่างสูง ผอมและเพรียวบาง แต่ทรงพลังและไหล่ไม่ค่อยกว้างมาก เขายังไม่มีผมหงอก และเขาก็ดูไม่แก่ลงเลยสักนิด แต่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า บางอย่างที่คล้ายกับเส้นที่ลาดเอียงของความยากลำบาก สลัว และซีด ซึ่งบอกถึงอายุและความมีชีวิตชีวาที่ลดลง รูปร่างหน้าตาของเขาหล่อเหลาคมคายด้วยปื้นของเคราขนาดใหญ่ที่ถูกโกนทุกวันอย่างสะอาดสะอ้านและสวยงาม และเขามีดวงตาสีฟ้าที่ตรงไปตรงมา แต่ก็ค่อนข้างเศร้า แต่ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ

โอเวนไม่รู้ว่าการมาเยี่ยมของเขาจะเป็นอย่างไร และเขาคงไม่แปลกใจหากถูกสั่งให้ออกจากสถานที่ เขาไม่ได้เหยียบที่นั่นมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เขาเห็นไรอันโบกมือให้คนเลี้ยงสัตว์ออกไปและเดินเข้ามาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ 

“สวัสดีไรอัน! คุณเป็นอย่างไรบ้าง?" โอเวนทักทายสหายผู้สูงศักดิ์ของเขาอย่างเรียบง่าย ขณะที่เขาพิงปืนยาวกับผนังท่อนซุง และท่านเคานต์ไรอันยื่นมือออกมาจับ

“เฮ้! โอเวน ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ โดยที่ผมไม่สามารถวางมือไว้บนหลังของคุณได้” เจ้าของฟาร์มตอบ น้ำเสียงของเขาทั้งยินดีและเต็มไปด้วยสิ่งที่เหน็ดเหนื่อย

“ผมเข้าใจ แต่ผมได้ยินข่าวว่าคุณไม่ค่อยสบาย” โอเวนตอบ “ผมขอโทษนะเรื่องของอัลที่ผมมาไม่ทัน”

“ไม่ มันไม่ใช่ และไม่เป็นไรเรื่องอัล แต่สำหรับผม ผมไม่เคยป่วยในชีวิต นี่ก็เพิ่งออกไปเดินเล่นเหมือนกับเจ้าบ้านที่เข้มแข็งและเต็มใจ และทำมากเกินไป... โอ้ดูสิ แต่คุณดูไม่แก่เลยสักวัน โอเวน คุณอาศัยอยู่ในป่าและกลิ้งเกลือกอยู่กับสิงโตของคุณ”

“ใช่ ผมสบายดี เวลาไม่เคยรบกวนผมเลย”

“สวรรค์ให้พร คุณไม่ใช่คนโง่อย่างนั้น ผมสงสัยเมื่อเร็วๆ นี้ เนื่องจากผมมีเวลาคิด .... แต่โอเวนคุณไม่อยากจะรวยไปกว่านี้หรอ?”

“ท่านเคานต์ ผมมีทุกอย่างที่ผมต้องการแล้ว”

“งั้นคุณก็ไม่สนับสนุนใครเลยสิ คุณจะไม่ได้ทำความดีใดๆ ในโลก”

“ผมไม่เห็นด้วย ไรอัน” โอเวนตอบพร้อมกับยิ้มช้าๆ 

“คิดว่าเราไม่เคยทำหรือไรล่ะ? คุณล้อเล่นเพื่อแสดงความเคารพต่อผมใช่มั้ย?” ไรอัน ยิ้มเนือยๆ

“ไม่ทั้งหมด” โอเวนตอบอย่างครุ่นคิด “ก่อนอื่น ผมอยากจะบอกว่าผมจะจ่ายคืนให้กับแกะที่คุณอ้างว่าสิงโตภูเขาที่เชื่องของผมฆ่าพวกมัน”

“คุณจะบ้า! โธ่ ที่คุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน?”

“มีแกะไม่มากใช่ไหม?”

“ห้าสิบหัว”

“มากมาย! ไรอัน คุณยังคิดว่าไลจาร์แก่ๆ จะฆ่าแกะเยอะขนาดนั้นไหม”

“ฮึ! โอเวน ผมรู้ดีว่าเขาทำอย่างนั้น”

“ไรอัน ตอนนี้คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่รู้ อย่างไรก็แล้วแต่ ผมจะจ่ายแทนค่าแกะที่เสียไปให้คุณ”

“โอเวน คาเมรอน คุณลงมาที่นี่เพื่อจะซื้อหัวแกะห้าสิบตัว!” เสียงอุทานของเจ้านายเก่าด้วยเสียงเอางานเอาการอย่างเหลือเชื่อ

“แน่นอน" เขานั่งลงและจ้องมองด้วยสายตาที่เฉียบคมที่เขามี “ฟังนะ! ผมน่าจะถูกสาป!” 

“มีอะไรอยู่ในหัวคุณ? โอเวน เฮ้! คุณได้ยินเกี่ยวกับลูกสาวของผมที่กำลังจะมาและคิดว่าคุณจะส่องแสงให้กับเธอเหรอ?”

“ใช่ ไรอัน การมาของเธอมีผลดีกับข้อตกลงของผม” โอเวนตอบอย่างมีสติ “แต่ผมไม่เคยคิดที่จะส่องแสงให้กับเธออย่างที่คุณบอกเป็นนัย”

“ลังเล! ลังเล! คุณก็เหมือนปืนโคลท์กระบอกอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีเช่นกัน ที่คุณคงต้องใช้ผู้หญิงช่วยพาคุณออกจากป่า … แต่สหาย .. แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส ลูกสาวของผมจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณ!”

โอเวนรู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงขึ้น อันที่จริง นี่เป็นการสนทนาที่แปลกสำหรับเขา

“ผมพูดตรงๆ ไรอัน...” เขาเริ่ม

“คุณอย่ามาโกหกผมเลย”

“โกหก! ไม่เอาน่า ไรอัน ผมอาศัยอยู่ในป่า ที่ซึ่งไม่มีใครหรืออะไรที่จะทำให้ผมต้องโกหก”

“โอ๊ะ! ไม่ได้ตั้งใจ ผมแน่ใจเลย” ไรอันเจ้าของฟาร์มออชินโคลสตอบ “มีบางอย่างในสิ่งที่คุณพูด ที่เรากำลังพูดถึงแกะที่ถูกฆ่าโดยแมวตัวใหญ่ของคุณ ให้ตายสิ! โอเวน ผมพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดหรอก แต่ความหมายก็คือ: เอ่อ คุณอาจจะคิดว่าผมปรักปรำ เมื่อผมบอกเหตุผลของผม ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่พวกคนเลี้ยงสัตว์พูดถึงเกี่ยวกับการเห็นสิงโตภูเขาในฝูงแกะของผม”

“แล้วมันคืออะไร?” โอเวนถามสหายอย่างสนใจมาก

“สาบานเลย! โอเวน แต่เมื่อหนึ่งปีที่แล้วผมเห็นสัตว์เลี้ยงของคุณ เขากำลังนอนอยู่หน้าร้านและคุณก็อยู่ในช่วงเวลาของการค้าขายของคุณ ผมคิดว่ามันเหมือนกับการเผชิญหน้ากับศัตรูตัวต่อตัว สาปผมได้เลยถ้าผมไม่รู้ว่าสิงโตภูเขาที่อยู่ที่นั่น!"

สหายที่เป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คาดว่าเขาจะถูกหัวเราะเยาะ แต่โอเวนยังนิ่งเป็นศพ

“ไรอัน ผมรู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร” เขาตอบ ราวกับว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องการกระทำของมนุษย์ 

“แน่นอนผมเกลียดที่จะสงสัยไลจาร์เฒ่า แต่เขาเป็นสิงโตภูเขา วิถีของสัตว์นั้นแปลก แต่อย่างไรก็ตาม ไรอัน ผมจะชดใช้การสูญเสียแกะของคุณ”

“ไม่ คุณจะไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้” ท่านเคานต์เจ้าของฟาร์มออชินโคลสตอบอย่างรวดเร็ว “เราจะยกเลิกมัน ผมกำลังหาเรื่องให้คุณทำข้อเสนอ นั่นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นลืมความกังวลเรื่องนั้นไปได้เลยถ้าคุณมี”

“ยังมีอย่างอื่นอีกนะ ไรอัน ผมอยากจะพูด” โอเวนเริ่มด้วยความลังเล “มันเกี่ยวกับบริสลีย์”

ไรอันเริ่มพลุ่งพล่านรุนแรง และเปลวไฟสีแดงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ยกมือใหญ่ที่สั่น โอเวนเห็นในแวบเดียวว่าประสาทของท่านเคานต์หายไปอย่างไร

“อย่าพูดถึง-ไอ้-คนเจ้าเล่ห์-ขี้โกง-นั่นกับผมอีก!” เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ระเบิดออกมา “มันทำให้ผมโมโห โอเวน ผมไม่ได้มองข้ามที่คุณพูดกับผมในวันนี้ ยืนเคียงข้างผม เจ้าของร้านเหล้าในเมืองเพิ่งบอกผมมา และผมดีใจมาก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้ผมจึงลืมการขุ่นข้องหมองใจครั้งก่อนของเรา แต่ไม่ใช่สักคำเกี่ยวกับพวกเจ้าโจรขโมยแกะ .. ไม่งั้นผมจะไล่คุณออกจากที่นี่!”

“แต่ไรอัน โปรดมีเหตุผล” โอเวนท้วง “มันจำเป็นที่ผมต้องพูดถึง...บริสลีย์”

“มันไม่ใช่ ไม่ใช่สำหรับผม ผมจะไม่ฟัง”

“ผมคิดว่าจะต้องทำ ไรอัน” โอเวนตอบกลับ “บริสลีย์ตามหาทรัพย์สินของคุณ ที่เขาจะทำข้อตกลง…”

“โดยสวรรค์! ผมรู้แล้ว!” ไรอันตะโกน โยกเยกด้วยใบหน้าของเขาที่ตอนนี้เป็นสีดำแดง 

“คุณคิดว่ามันคือข่าวใหม่สำหรับผมเหรอ? .. เงียบไปเลยโอเวน! ผมทนไม่ได้”

“แต่ไรอัน ที่แย่กว่านั้น” โอเวนพูดอย่างเร่งรีบ “แย่ลงมาก! ชีวิตของคุณถูกคุกคาม และ..ลูกสาวของคุณ เลดี้แคโรไลน์ เธอต้องเป็น…”

“หุบปาก! ชัดเจนนะ!” ไรอันคำราม โบกมือสีขาวซีดของเขาไปมา 

เขาดูเหมือนใกล้จะพังแล้ว ตัวสั่นไปทั้งตัว เขากลับเข้าไปในประตู ความโกรธไม่กี่วินาทีทำให้เขาเกือบดูกลายเป็นชายชราที่น่าสงสาร

“แต่ไรอัน ผมเป็นเพื่อนของคุณ” โอเวนเริ่มอย่างน่าสนใจ

“เพื่อนเหรอ เฮอะ!” เจ้าของฟาร์มตอบกลับด้วยอารมณ์ที่ขมขื่นและทุกข์ยาก 

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นคนเดียว…. โอเวน คาเมรอน ผมรวยแล้ว และผมเป็นผู้ชายที่ตายยาก ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น … แต่นายพรานป่า ถ้าคุณคือเพื่อนของผม พิสูจน์สิ!... ไปจัดการกับเจ้าพวกร้อยเล่ห์จารบี! ทำอะไรสักอย่าง แล้วค่อยมาคุยกับผม!”

จากนั้นเขาก็เซไปครึ่งตัวล้มเข้าไปในบ้านแล้วกระแทกประตู

โอเวนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หยิบปืนยาวแล้วก็เดินออกไป

ก่อนพระอาทิตย์ตกดินไรอันตั้งใจจะไปที่ค่ายของเพื่อนชาวอินเดียนแดงสี่คนของเขา และเขาก็ไปถึงที่นั่นทันเวลาสำหรับอาหารมื้อเย็น

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

6. แผนชิงตัว

 

จอห์น รอย โจ และฮัล บีแมนเป็นบุตรชายของอินจุนผู้ตั้งรกรากในชุมชนเล็กๆ แห่งไซมอนสโนว์ พวกเขาเป็นชายหนุ่มเมื่อหลายปีก่อน แต่การทำงานหนักและชีวิตที่ยากลำบากในที่โล่งทำให้พวกเขาดูเป็นผู้ใหญ่ อายุห่างกันเพียงปีเดียวระหว่างจอห์นกับรอย รอยกับโจ และโจกับฮัลก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันมาถึงรูปลักษณ์พวกเขายากที่จะแยกแยะออกจากกัน คนขี่ม้า คนเลี้ยงแกะ คนเลี้ยงวัว คนล่าสัตว์ พวกเขาล้วนมีโครงร่างที่สูง แข็งแรง ทรงพลัง รูปร่างผอมเพรียว ผิวสีบรอนซ์ ใบหน้านิ่ง และดวงตาที่เฉียบแหลมและเงียบสงบของผู้ชายที่เคยเปิดเผย

ค่ายของพวกเขาตั้งอยู่ข้างน้ำพุในอ่าวที่ล้อมรอบด้วยต้นแอสเพน ห่างจากไพน์ประมาณสามไมล์ และแม้ว่า โจ จะทำงานให้กับไรอันใกล้หมู่บ้าน แต่เขาก็ได้ขี่ม้าไปๆ มาๆ จากค่ายตามนิสัยที่สันโดษซึ่งมีลักษณะเฉพาะสำหรับพวกเดียวกัน

โอเวนและพวกพี่น้องครอบครัวนี้มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง และความเคารพอย่างอบอุ่นก็เกิดขึ้น แต่การแลกเปลี่ยนความมั่นใจของพวกเขาทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับป่าไม้ทั้งหมด พรานหนุ่มอยู่กินอาหารเย็นมื้อนั้นกับพวกเขา และพูดคุยตามปกติเมื่อเขาพบกัน โดยไม่บอกใบ้ถึงจุดประสงค์ที่เกิดขึ้นในใจของเขา หลังอาหาร พรานหนุ่มออกไปช่วยพวกเขาจับม้า เดินเล่นกับมันในตอนกลางคืน และขี่มันเข้าไปในทุ่งหญ้าท่ามกลางต้นสน ต่อมา เมื่อลมเย็นพัดผ่านป่าไป และไฟของแคมป์ที่สว่างไสวของไรอันก็ได้เจาะลึกถึงวัตถุประสงค์ที่เข้าสิงเขา ที่คนพวกนี้เองนั้นเป็นคนบอกแก่โอเวนในเรื่องราวและแผนการของบริสลีย์ที่จะลักพาตัวหลานสาวของอัล ออชินโคลส และจากนั้นก็จะได้อ้างสิทธิ์ในทรัพย์สินของชายผู้นั้นที่มีทั้งหมด ที่หนึ่งในพี่น้องพวกนี้บังเอิญไปได้ยินได้ฟัง และมีคนหนึ่งที่ได้ทำงานอยู่ในไร่ของท่านเคานต์

“สิ่งที่คุณต้องทำ โอเวน พาเธอหลบไปจากที่นี่! ไรอัน สหายขุนนางที่รักศักดิ์ศรีของคุณนั้นงี่เง่าและหดหู่ใจอาลัยตายอยากต่อความล้มเหลว จิตใจเขาสลายแล้ว สติปัญญาเขาก็ด้วย เขาไม่ยอมฟังสิ่งที่คุณจะพูดและเตือนเรื่องของลูกสาวของเขาที่กำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง” รอย อินจุนพี่คนรองพูด

“เท่าที่พวกคุณไปแอบได้ยินพวกของบริสลีย์ซ่องสุมคุยกัน” โอเวนเริ่มด้วยความลังเล “เธอกำลังจะตกอยู่ในอันตราย”

“มากมาย! โอเวน มันเป็นความจริงที่ฉันได้ยิน ฉันสาบานได้กับทั้งฟ้าและดิน น้ำและไฟ ฉันอยู่ที่นั่น บนหลังคาของพวกมันตอนที่ฉันเดินเท้าและหลงทางในป่าท่ามกลางพายุ โชคดีที่ฉันเจอกระท่อมร้างหลังหนึ่งจึงรีบเข้าไปหลบ แต่พอฝนซาได้สักเดี๋ยวฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวที่ย่ำโคลนและกำลังมุ่งหน้ามา อย่างระมัดระวังภัยที่อาจถึงชีวิตเพราะฉันไม่รู้ว่าพวกที่มาใหม่คือใคร ฉันจึงปีนขึ้นไปแอบซ่อนตัว ดังนั้นฉันจึงได้ยินทุกคำที่พวกมันพูด!” ฮัล น้องสุดท้องเป็นคนพูด

ในยามกลางคืนและพายุฝนฟ้าคะนอง อินจุนหนุ่มไม่ได้มุ่งหน้าไปยังค่ายพักของตัวเอง ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ และเมื่อเขาไปถึงความมืดก็ใกล้เข้ามาอีกครั้งแล้ว เขาเข้าไปใกล้มันด้วยความระมัดระวัง กระท่อมนี้ก็เหมือนกับกระท่อมอื่นๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในหุบเขา อาจมีชาวอินเดียนแดงเผ่าอื่นๆ ที่ไม่ถูกกัน, หมี หรือเสือดำแอบมาอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดอยู่ที่นั่น จากนั้นเขายังศึกษากลุ่มเมฆที่เคลื่อนตัวข้ามท้องฟ้าและรู้สึกถึงความเย็นฉ่ำของสายฝนที่โปรยปรายลงมาบนใบหน้าของเขา ฝนจะตกและตกหนักในตอนกลางคืน จากนั้นเขาก็เข้าไปในกระท่อมไม้ซุง

และในวินาทีต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งเหยาะอย่างรวดเร็ว เมื่อมองออกไป เขาก็เห็นรูปร่างสลัว เคลื่อนไหวในความมืดค่อนข้างใกล้มือ .. ม้าห้าตัวพร้อมคนขี่ .. อินจุนชะโงกออกมาจึงเห็นพวกมันอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่หยาบคาย เขารีบถอยตัวลึกเข้าไปในความมืดเพื่อหาบันไดที่เขารู้ว่าจะนำเขาไปสู่ห้องใต้หลังคา เมื่อพบแล้วเขาก็รีบปีนขึ้นไปบนนั้น ระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้เกิดเสียงดัง นอนลงบนพื้นไม้ค้ำเมื่อเสียงของเท้าที่ก้าวหนักๆ พร้อมกับสเปอร์สที่ส่งเสียงกระทบกัน เดินผ่านประตูด้านล่างเข้าไปในกระท่อมไม้ซุง

“แฟรงก์อยู่ที่นั่น เขาเป็นคนแนะนำให้บริสลีย์ทำแผนนั้น”

หลังจากฤดูหนาวปีเดียวกับที่โอเวนได้พบกับแม่ครัวตัวจ้อยของเขาไม่นาน แฟรงก์ วอคแลนด์ ก็ถูกไล่ออกจากฟาร์มและค่ายหลังจากเขาทะเลาะก่อเรื่องวิวาทกับอินจุนคนหนึ่งในค่าย ซึ่งถือว่าเขาทำผิดกฎและจำเป็นต้องถูกไล่ออก และมันเป็นปีเดียวกันที่โอเวนย้ายตัวเองไปอยู่ป่าและทำตัวเป็นนายพรานอย่างเต็มตัว ขณะที่เขาเองก็รู้ข่าวว่า ภายหลังอดีตหนุ่มผู้ช่วยที่ถูกไล่ออกย้ายตัวเองไปทำงานให้กับบริสลีย์

“พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง” โอเวนกระสับกระส่าย

“พวกมันพูดว่า เพราะเธอคือทายาทที่จะได้รับช่วงกิจการปศุสัตว์ต่อจากผู้พิพากษาอัลตามเจตนารมณ์ของผู้เฒ่า เพื่อที่จะฮุบกิจการของฟาร์มออชินโคลสไว้ทั้งหมดผ่านการสมรสกับเธอ พวกมันจะลักพาตัวเธอไปสำหรับบริสลีย์คนลูก และถ้าเธอไม่ยอม พวกมันอาจจะฆ่าเธอเพื่อปิดปากและปกปิดความชั่วร้ายของพวกมัน ไซมอนสโนว์คือจุดหมาย และฉันรู้แม้กระทั่งรหัส มันคือ 'รถม้าสีแดง' ... ฉันบอกคุณได้เลย โอเวน ถ้าคุณอยากจะรู้” อินจุนหนุ่มน้อยคนเดิมเป็นคนพูด

“เธอจะมาโดยรถไฟในวันที่ยี่สิบห้าที่กำลังจะมาถึงนี่อย่างที่ทุกคนรู้ และพวกมันนัดกันที่ชานชาลาของไซมอนสโนว์ ก่อนที่มันจะมาจอดที่ไพน์ให้เธอได้ลง .. โอเวน ถ้าจะช่วยผู้หญิง คุณต้องรีบ” จอห์น อินจุนพี่คนโตที่สุดบอกแผนการ

“เพื่อจะได้ไม่พลาดและเลี่ยงการเผชิญหน้าที่คุณอาจต้องการเพื่อกันคนอื่นเดือดร้อน ฉันมีญาติอยู่ที่เซนต์เจนัวร์ ฉันจะส่งข่าวไปถึงเขา รถไฟมักจะจอดเพื่อเติมน้ำให้เต็มถังที่นั่นและมันต้องใช้เวลานานราวสองชั่วโมง และเราจะไปดักหน้าเพื่อชิงตัวผู้หญิงที่นั่น ก่อนหน้าพวกมัน เราอาจหลอกเธอได้ว่ารถไฟที่เธอโดยสารมาเสียต้องซ่อม เธอต้องเดินทางโดยม้าไปกับคุณ หรือไม่ บางทีคุณจะอ้างได้ว่าพ่อเธอให้คุณมารับก็ได้ เธอจะเชื่อคุณและจะไปกับคุณโดยไม่ตกใจจนโวยวายให้ใครผิดสังเกต โดยคุณอาจไม่ต้องอ้างจดหมายลายมือจากท่านเคานต์ เพราะคุณกับเลดี้น่าจะรู้จักกัน ใช่หรือเปล่า?” รอยพูดและโอเวนก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ไม่ อย่าให้เขารู้ มันเป็นการดีแล้วที่คุณยืนกรานกับคนอื่นๆ รวมทั้งได้พูดไว้กับท่านเคานต์ไรอันว่าคุณไม่ได้ตั้งใจที่จะแต่งงานกับเธอตามที่เฒ่าอัลและสหายของเจ้าต้องการ บริสลีย์จะได้หละหลวม ไม่ระวังตัวว่าคุณจะไปดักชิงตัวผู้หญิงก่อนหน้าพวกมัน หรือถ้าจะรู้ตัวได้ภายหลัง แต่ใครก็รู้ดีว่าคุณเคยชนะการดวลปืนกับนักเลงพนันที่ลือชื่อมาแล้วในอดีต และเป็นสิ่งที่ร่ำลือกันมาจนทุกวันนี้ว่ากระสุนไรเฟิลของคุณไวปานสายฟ้า ทั้งที่คนที่ท้าดวลคุณชักปืนออกมายิงคุณก่อนซะด้วยซ้ำ นั่นยังไม่รวมสิงโตภูเขาที่ดุร้ายแต่แสนเชื่องและเชื่อฟังยามมันอยู่กับคุณ ดังนั้นบริสลีย์จะต้องคิดหนักหากจะอยากชิงตัวผู้หญิงกลับคืนภายใต้การคุ้มครองของคุณ โอเวน” โจ พูด

โอเวน คาเมรอน หน้าแดงทั้งที่ลึกๆ ในใจเขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องนี้มาก เขาไม่อยากพลาด เขากลัวและกังวล ถึงแม้ว่าแผนการนั้นจะดีมาก แต่เขาก็ห่วงสหายขุนนางชาวต่างชาติของเขา หากแคโรไลน์หายตัวไป บริสลีย์จะต้องย้อนกลับมากดดันไรอันแน่ๆ

“ไม่ต้องห่วงสหายของคุณ” จอห์นพูดโดยเดาจากสีหน้าบุรุษผู้อยู่ป่า “เคานต์ไรอันเป็นคนต่างถิ่น ไม่ใช่ศัตรูของพวกเรา และเขาก็ดีต่อเรามาก มีพวกเราชาวอินเดียนแดงหลายคนได้ทำงานในฟาร์มของเขาตั้งแต่ท่านเคานต์รับช่วงกิจการมาจากเฒ่าอัล ดังนั้นความปลอดภัยของเขาเราจะดูแลให้เอง อย่าห่วง เพราะเราตระหนักดีว่าถ้าขาดท่านเคานต์ จะมีอินจุนอีกหลายคนจะต้องลำบากเพราะการตกงาน แต่สำหรับการดูแลกิจการปศุสัตว์ ฉันแน่ใจ คุณน่าจะมีหนทางทำได้ดีกว่ามาก เพราะในอดีตคุณก็เคยเป็นหัวหน้าคนงานที่นั่น คุณต้องจำได้”

“ไม่กี่วันนี้ก็จะเป็นฤดูต้อนวัว ผมจะกลับไปทำงานให้เขาเพื่อชดใช้ค่าหัวของแกะห้าสิบตัวที่เขาเชื่อว่าสิงโตภูเขาของผมฆ่า และเหลือเวลาเพียงสองสัปดาห์ที่เลดี้แคโรไลน์จะมีกำหนดมาถึง ซึ่งอีกสองวันข้างหน้าผมจะออกเดินทางเพื่อต้อนฝูงวัวของท่านเคานต์มุ่งหน้าไปยังท้องทุ่งหญ้า คอกม้าของไชร์ ที่มันเป็นเส้นเยื้องไปทางฝั่งตรงข้ามกับเซนต์เจนัวร์ ที่เรานัดกันไว้ว่าจะไปดักชิงตัวเธอที่นั่น ผมจะพักฝูงวัวไว้ที่ไชร์ก่อนจะย้อนมารับตัวเธอเพียงลำพังเพื่อป้องกันการจะถูกพบได้ง่ายหากเราไปกันเป็นหมู่คณะ และผมจะพูดคุยกับเธอ ซึ่งถ้าเธอเต็มใจที่จะจดทะเบียนกับผมสักเมืองใดเมืองหนึ่งก่อนที่บริสลีย์จะตามเราพบโดยเต็มใจ บริสลีย์คงจะเลิกตอแยเธอ นอกจากว่าเขาจะมีแผนใหม่” โอเวนครุ่นคิดก่อนที่จะพูด

“จงหว่านล้อมแต่งงานกับเธอให้ไว ไม่เช่นนั้นไรอันอาจจะลำบาก บริสลีย์ต้องกดดันและสะกดรอยเขามากหากยังตามหาผู้หญิงไม่เจอ ซึ่งบางทีเราที่เป็นชาวอินจุนที่อยู่ในไร่ของเขาอาจเผอเรอที่จะปกป้องเขาในบางครั้ง เรากำหนดแผนรับมือแน่ชัดไม่ได้และเราเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าบริสลีย์จะมาไม้ไหน” โจคืออุนจินที่แนะนำ

………. .⋆。♞˚

และเมื่อถึงวันที่กำหนด โชคดีที่สุดที่ไม่มีสิ่งใดติดขัด แผนทุกอย่างสำเร็จลุร่วง เพราะกว่าที่บริสลีย์จะรู้ตัวว่าเลดี้แคโรไลน์ไม่ได้อยู่บนรถไฟขบวนนั้นแล้วมันก็นานมากถึงแปดเกือบเก้าชั่วโมง เพราะโอเวนรีบขึ้นไปรับตัวเธอตั้งแต่รถไฟจอดยังแทบไม่ทันสนิท ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุดที่รถไฟขบวนนั้นเพลาของมันตัวหนึ่งชำรุดและจำเป็นต้องเปลี่ยนซ่อม และต้องรออะไหล่ที่ต้องมีใครสักคนขี่ม้าย้อนกลับไปจากสามเมืองที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเดินขึ้นไปบนรถ เธอประหลาดใจมากที่เห็นเขาที่นั่น แต่เขาก็ไม่เสียเวลาพูดอะไรอื่น เขาบอกให้หญิงสาวรีบเปลี่ยนชุด เพราะท่านเค้านต์ผู้พ่อของเธอตัดสินใจอย่างกะทันหัน เขาอยากจะให้เธอไปร่วมกับขบวนการต้อนวัวพร้อมกับโอเวนในฤดูกาลนี้ และตอนนี้ฝูงวัวของเขาก็ถูกต้อนไปไว้ล่วงหน้า และรอแล้วที่ไชร์ ซึ่งเป็นค่ายของพวกเขาและมันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แต่เพื่อความสะดวกในการดูแลปกป้องเธอ เขาจึงอยากให้เธออยู่ในคราบของคาวบอยฝึกงาน ซึ่งเลดี้ตัวน้อยก็ดูจะสนุกและตื่นเต้นกับข่าวนี้มาก … แต่ก็ยังสงสัยสักนิด

“โอ้ เร็วกว่าที่คิดหรอ?” โอเวนกะพริบตาตอนที่สาวน้อยอุทานและพูดต่อไปว่า “คุณพ่อเคยพูดไว้ เขาบอกแล้วว่าสักวันเขาจะสอนให้ฉันต้อนฝูงสัตว์ของเรา แต่ฉันไม่คิดหรอกว่ามันจะเร็วและเป็นวันนี้”

“ผมเพิ่งกลับมารับตำแหน่งในไร่อีกหน และมันก็ถึงฤดูกาลพอดี ทุกสิ่งกะทันหัน ดังนั้นคุณพ่อของคุณจึงอาจจะลืมและไม่ได้เขียนจดหมายฝากมาให้คุณ แต่ตอนนี้เราต้องรีบออกเดินทางให้ทันฝูง คุณจะสามารถส่งข่าวให้ท่านเคานต์รู้ว่าคุณอยู่กับผมอย่างปลอดภัยแล้วในเมืองถัดไป”

โอเวนเกือบเป่าปากอย่างโล่งใจที่โชคเข้าที่เข้าทางอย่างเหลือเชื่อแล้วรีบสัญญา โดยไม่ได้บอกว่าจดหมายจะถูกต่อไปด้วยเพื่อนชาวอินเดียนแดงของเขา โจ ที่จะระมัดระวังมากพอที่จะถ่วงเวลาการส่งจดหมายไปถึงท่านเคานต์ และนั่นก็จะจนกว่าเขาจะแน่ใจว่าทุกอย่างจะปลอดภัยเพียงพอ

ดังนั้นเมื่อเขาพูดเพียงครึ่ง และโดยที่เลดี้สาวไม่มีท่าทีติดใจสงสัยอะไร เพราะปกตินิสัยของท่านเคานต์ก็เป็นเช่นนั้นเสมอ ใจร้อน ตัดสินใจเร็ว และเอาแต่ใจ และนิสัยนั้นก็ส่งทอดมาถึงเธอในบางหน ดังนั้นเธอรับชุดเด็กชายจากมือเขาโดยง่ายและตรงรี่เข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนมันและเดินกลับมาหาเขาในครู่ต่อมาอย่างร่าเริง จนโอเวนคิดต่อไปว่า บางทีเคานต์ไรอันอาจเคยสัญญากับบุตรสาวเอาไว้ก่อนหน้า ว่าจะให้ผู้ที่ถูกวางตัวเป็นเจ้าของฟาร์มคนใหม่ได้เรียนรู้และฝึกการต้อนวัว สาวน้อยแสนสวยคนนี้จึงไม่มีท่าที่ประหลาดใจหรือสงสัยใดๆ อย่างที่เขานึกกลัวว่าเธอจะไม่เชื่อและระแวงระวังจนไม่ยอมไปกับเขาง่ายๆ ซึ่งทุกอย่างกับผ่านไปด้วยดี 

แต่ที่น่าเป็นห่วงที่โอเวนยังหาโอกาสคุยเรื่องการจดทะเบียนสมรสกับเธอไม่สำเร็จ 

และเนื่องจากบุรุษที่เคร่งขรึมกว่าที่มักจะเตรียมแผนสำรองไว้ตลอดเวลาเสมอ เขาคิดเอาไว้ว่า ในระหว่างที่เลดี้แคโรไลน์ยังไม่ตกลงจดทะเบียนสมรสหรือเข้าพิธีแต่งงานกับเขาอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เขาคงจำเป็นจะต้องให้เธออยู่ในคราบของหนุ่มน้อยคาวบอยคนใหม่ และให้เธออยู่ใกล้ตัวเขาตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยในการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพื่อให้บริสลีย์สืบหาเธอยากมากขึ้น ดังนั้นที่นี่จึงไม่ควรจะมีใครรู้ แม้แต่คนงานต้อนวัวคนอื่นๆ ของเขาว่าเธอคือเลดี้แคโรไลน์ เพราะเธอจะขี่ม้ามัสแตงเคียงข้างกลับไปกับเขาในคราบของหนุ่มคาวบอยฝึกงานที่จะใช้ชื่อเดียวกันกับน้องชายคนเดียวของเขา .. 

'เนล'

………. .⋆。♞˚



ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

7. คาวบอยฝึกหัด

 

เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสซึ่งแต่งกายอย่างไร้ที่ติในชุดนักขี่ม้าแบบชาวอังกฤษ เธอเดินลงบันไดรถไฟอย่างโล่งอก

“คุณคงไม่ว่าอะไรถ้าฉันจะชอบชุดที่ฉันเตรียมมาแล้วมากกว่า”

โอเวนพยักหน้าให้เธอและยิ้มโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่แคโรไลน์ก็ตามเขาไปที่คอกม้าและเฝ้าดูเขาดึงอานม้าออกจากหลังม้า และโยนมันทิ้งไปข้างหนึ่งอย่างไม่ระมัดระวัง 

อานม้าของเขานั้นดูยุ่งยาก ไม่เหมือนกับที่เคยตรวจสอบในร้านค้าขายสินค้าในนิวยอร์กทาวน์ที่เธอเคยไปซื้อมันกับพ่อของเธอ และก็ไม่เหมือนม้าตัวไหนที่เธอเคยขี่ที่ฟาร์มของคุณตาเธอเลยเช่นกัน แต่โอเวนจับมันแล้วยกขึ้นแล้วพูดว่า 

“ลองดูมั้ย!”

“มันหนักไม่ใช่เหรอ?” 

“คุณไม่ชอบรูปลักษณ์ของมันเหรอ?” โอเวนหัวเราะแล้วสอดสายบังเหียนครอบหูม้าของเขา และไล่มันด้วยการตบที่ก้นมหึมาของมัน

“ฉันจำได้ว่าฉันเคยบอกคุณว่าขี่ม้าได้ดี” เธอพูดถึงครั้งที่เธอหลงทางไปจนไปเจอเขาที่กระท่อม

“แต่ตอนนี้มันจะแตกต่างออกไปนิดหน่อย” เขาเสริมอย่างสนุกที่จะเล่าและเลดี้สาวก็กำลังสงสัยว่าเชือกเล็กๆ เหล่านั้นมีไว้เพื่ออะไร จากนั้นเธอก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายและการยืดให้ตรง

“งั้น…ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” เธอโต้กลับ “ใครๆ ก็สามารถเห็นได้ว่าความไม่รู้ของฉันนั้นชัดเจนเด็ดขาดมากเกี่ยวกับการที่ต้องขี่ม้าไปด้วยต้อนวัวไปด้วย และฉันหวังว่าคุณจะไม่หัวเราะเยาะฉัน คุณคาเมรอน”

“เรียกผมว่าโอเวนอย่างที่คุณเคยเรียกก็ได้ เนล” เขากล่าวต่อ “แต่คุณต้องเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอานม้าและสิ่งที่ทำขึ้นมา ตราบใดที่คุณไม่หัวบวมในครั้งแรกที่คุณเหยียบหลังม้าที่ก้าวข้างเล็กน้อย หรือถอยหลังจากการกระแทกแรงๆ สองสามครั้ง คุณก็ไม่เป็นไร เพราะมันจะแย่นิดหน่อย ตรงที่ม้าตัวนี้จะไม่ค่อยเชื่องเท่ากับนางม้าตัวเล็กๆ ตัวโปรดของคุณ”

แคโรไลน์ไม่ได้รับรู้ว่าแม่ม้าตัวโปรดของเธอนั้นไม่ได้อยู่ในแผนลักลอบขโมยตัวเธอ ที่เขาอยากให้เธอออกห่างมาจากเงื้อมมือของตาเฒ่าบริสลีย์ และเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะออกไปและใช้ชีวิตตามแบบที่เขาเข้ามาเพื่อสังเกตการณ์เธอจริงๆ แต่มีบางอย่างไหลผ่านแวบเข้ามาในประสาทและเลือดของเธอ และทำให้เกิดแรงกระตุ้นซึ่งเธอจะยอมจำนนต่อมันโดยไม่ลังเล 

“โอเวน ดูนี่” เธอพูดอย่างกระตือรือร้น “เพื่อที่คุณจะได้ เอ่อ สอนภูมิปัญญาให้ฉัน มันอาจจะหยาบคายสำหรับคุณ แต่ฉันหวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธที่จะรบกวนฉัน ฉันต้องการเรียนรู้ทุกอย่าง และฉันต้องการให้คุณจับผิดเช่นความชั่วร้ายและ เอ่อ กะเทาะฉันให้เป็นรูปร่างถ้าเป็นไปได้” เธอเจียมเนื้อเจียมตัวมากกับความไม่รู้ของเขา และเสียงของเธอก็เป็นจริง

 โอเวนศึกษาเธออย่างจริงจัง 

“เนล” เขาพูดในที่สุด “คุณจะได้รับมัน ตอนนี้คุณดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าทุ่งหญ้าที่มีข้อต่อสีน้ำเงินในเดือนมิถุนายน แต่คุณมีสิ่งที่ถูกต้องในคุณและไปกับผมได้ คุณจะมากับเราหลังจากฝูงแกะตัวนั้น แล้วคุณก็จะมีรูปร่างที่ดีพอ อืมม คุณสูบบุหรี่ไหม?" ที่เขาถามเพราะรู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในชนชั้นสูงชาวตะวันออกบางคนนั้นก็สูบบุหรี่

“ไม่ ฉันไม่ทำอย่างนั้น” แคโรไลน์ส่ายหัวและกะพริบตาปฏิเสธเขา ถึงแม้ว่า…

“พูดสิ คุณไปเอาดอกคาร์เนชั่นนี่มาจากไหน”

“พวกมันถูกผลิตขึ้นในนิวยอร์กทาวน์” 

เขายิ้มอย่างชั่วร้าย และเธอก็ชักเริ่มรู้สึกอึดอัดถึงความแตกต่างที่คมชัดระหว่างเครื่องแต่งกายแบบทันสมัยของเธอกับเครื่องแต่งกายที่ดูไม่น่าเชื่อถือของหัวหน้าคนงานของเธอ

“แต่ … เนล” โอเวนแสดงความคิดเห็น “มันดูมีสไตล์จริงๆ แต่ในเมื่อคุณให้โอกาสผมจับผิด ดังนั้นผมจึงจะบอกว่านี่คือการทำงานที่จริงจัง สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือทิ้งมันไปก่อนที่พวกคนงานคนอื่นในทีมจะมองเห็นคุณ พวกเขาจะแปลกใจกับชุดฟูฟ่องทั้งชุดของคุณแน่นอน อืม” เขาพูดอย่างสบายใจเมื่อเห็นความขุ่นเคืองในดวงตาของเธอ “ผมคาดว่าพวกมันจะดูดีมากหากเป็นทางฝั่งตะวันออก แต่งานของเราที่นี่ เราอยู่ในตะวันตก เราไม่ได้รับการศึกษาให้ยืนหยัดเพื่ออะไรแบบนั้น พวกเขาน่าจะบอกคุณว่าพวกเขาหยาบกร้านเหมือนหนังบนขาหลังของช้าง ซึ่งมันเป็นความจริง และผมไม่อยากพูดเลย หนูน้อย แต่พวกเขาดูเหมือนปีศาจแน่ๆ”

“คุณก็เป็นเช่นนั้นในนิวยอร์กทาวน์” แคโรไลน์หันกลับมาที่เขา

“ทำไม? อ๊ะ แน่นอน แต่นี่ไม่ใช่นิวยอร์กทาวน์ แต่ที่ที่เรากำลังจะขี่ม้าไปกันมันจะคือแคมป์อีกแคมป์หนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของคอกม้าของอัล คุณตาของคุณ ของไรอัน และแม้ต่อไปมันจะเป็นของคุณก็ตาม แต่เรากำลังทำสิ่งที่ทุกคนชอบอยู่ คุณคงไม่อยากให้พวกคนงานอื่นๆ ในแคมป์ของคุณหย่อนคล้อยใช่ไหม? แค่คุณเดินไปตามทางและสวมกางเกง และเมื่อคุณฉลาดขึ้น คุณจะขอบคุณผมมาก ผมกำลังออกไปจากเมืองและเราจะไปถึงอีกเมืองกันก่อนเวลาอาหารเย็น ยังไงก็ตาม คุณจะต้องทำให้ก้นคุณแข็งแรงสำหรับอานม้าและการเดินทางไกล มิฉะนั้นคุณจะนั่งบนเกวียนที่มันจะยิ่งยุ่งเหยิง”

แม้ว่าจะมีอารมณ์ขุ่นเคืองแต่เลดี้แคโรไลน์ในคราบของเนลก็ยังดำเนินไปอย่างสุภาพ และทำตามที่เธอได้รับบัญชาให้ทำ และไม่มีใครช่วย จากนั้นโอเวนและคนบนรถไฟเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เคยเห็นชุดขี่ม้าของชาวอังกฤษของเธอ

“ตอนนี้คุณดูเป็นมนุษย์มากขึ้น” 

เป็นวิธีที่โอเวนแสดงออกถึงการอนุมัติต่อการเปลี่ยนแปลงของเธอ 

“นี่คือม้าตัวเล็กที่ขี่ง่ายและสงบอย่างอ่อนโยน ถ้าคุณไม่ดันเข้าไปที่คอของมัน ซึ่งคุณไม่น่าจะทำได้ในตอนนี้ และไรอันบอกว่าคุณสามารถมีอานนี้ไว้ได้ และเขาเคยขี่มันตอนต้องมาฝึกดูแลฝูงใหม่ๆ ในฟาร์มของคุณตาของคุณ ซึ่งเขาเรียนรู้ได้เร็วและนั่งได้นานเมื่อผมเริ่มให้เขาไล่ตามฝูง แน่นอนว่าคุณจะได้เชือกของคุณสำหรับจูงม้าสิบตัวเหมือนเขา”

เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสในคราบของเนลมองม้าของเธออย่างไม่ไว้วางใจ 

“ฉันคิดว่า” เธอกล่าว “ม้าตัวเดียวก็คงจะเพียงพอแล้วสำหรับฉัน ฉันแทบจะไม่ต้องการพวกมันสักโหล” 

ความจริงก็คือเธอคิดว่าโอเวนกำลังหัวเราะเยาะเธอ

ครูพี่เลี้ยงของเธอเลื่อนอานไปด้านข้างแล้วม้วนบุหรี่อีกมวน 

“ผมยินดีที่จะเดิมพันว่าในฤดูใบไม้ร่วง ว่าคุณจะมีเชือกขนาดพอเหมาะสำหรับม้าที่จะขี่ คุณจะรอ; รอจนกว่ามันจะเข้าสู่กระแสเลือดของคุณ ทำไมน่ะหรือ ผมจะตายถ้าคุณพาผมออกจากพื้นที่ ผมจะรอดูจนกว่าคุณจะออกเดินทางในความมืดบนหลังม้าของคุณแล้วนับดวงดาวและดูดาวกระบวยใหญ่แกว่งไปแกว่งมาในตอนเช้า และฟังเสียงวัวควายหายใจอยู่ใกล้ๆ พวกเขานอนหลับในขณะที่คุณขี่ม้าไปรอบๆ คุณจะได้เล่นบทเป็นเทวดาผู้พิทักษ์เหนือความฝันของพวกเขา ผมจะรอดูจนกว่าคุณจะตื่นขึ้นในยามรุ่งสางและอยู่บนอานพร้อมกับพระอาทิตย์สีชมพูที่จะผุดตัวขึ้น และผมรู้ว่าคุณจะนอนห่างจากที่นั่นสิบห้าหรือยี่สิบไมล์ในค่ำคืนเหล่านั้น และนอนลงในยามกลางคืนด้วยกลิ่นของหญ้าใหม่ที่ปลายจมูกของคุณ ที่เตียงของคุณซ้ำรอยกับพวกมัน”

“อ๊ะ! ทำไมล่ะคู่หู ถ้าฉันเป็นผู้ชาย ฉันจะถูกรังแกจากเจ้าม้าตัวน้อยๆ ของคุณแน่ๆ” โอเวนพ่นควันมองมาที่เธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมันเองอีกหน “เขาชื่ออะไร?”

“ซันฟิซ” ครูฝึกที่ดูเหมือนเคร่งขรึมมากกว่าผู้ชายตัวโตๆ ที่เก้อเขินที่เธอเคยเจอเขาในกระท่อมริมป่ามากจนดูเหมือนแทบจะห่างเหิน โดยเธอเชื่อว่าสัญญาการแต่งงานระหว่างเธอกับเขาที่คุณตาของเธอเหมาเอาเองนั่นน่าจะเป็นสาเหตุ และแม้เธอจะสงสัย แต่เธอก็ตัดสินใจว่าจะยังไม่พูดเรื่องน่าชวนทะเลาะกันในตอนนี้

“โอเค ซันฟิซ ต่อไปนี้เราจะเป็นเพื่อนกัน” จากนั้นเธอก็เหวี่ยงเท้ากลับและกำลังจะปีนไปนั่งบนหลังม้าแสนเชื่องที่เดินหนีวนไปวนมาอย่างต่อเนื่องแต่เธอก็ไม่ลดละ “บา!”

“ผมต้องลงไปที่ร้านขายเสบียง” โอเวนบอกเธอโดยไม่คิดจะปลอบใจเธอในเรื่องเจ้าม้า ที่ดูท่าว่าจะไม่ยอมให้เธอปีนขึ้นไปนั่งบนหลังของมันง่ายๆ ไม่เหมือนนางม้าในไร่ของเธอ

“ฉันออกมาเรียนรู้ และฉันต้องการเรียนรู้อย่างถี่ถ้วน” เธอกล่าวขณะเผชิญกับความไม่สะดวกทางร่างกายอย่างมาก ทันใดนั้นม้าก็ชะลอให้เธอปีนขึ้นบนหลังและเธอก็หายใจแฮกอย่างขอบคุณเหลือเกิน

“ในตอนแรก” เธอเริ่มอีกครั้งเมื่อปรับตัวเองอย่างระมัดระวังบนอานม้าแสนเชื่องราวปีศาจของเขา “ฉันหวังว่าคุณจะบอกฉันว่าคุณจะไปไหนกับเกวียน และสิ่งที่คุณหมายถึงโดยการตามล่าฝูงสัตว์”

“ทำไมล่ะ ผมคิดว่าผมบอกคุณแล้วซะอีกว่าเรากำลังจะมุ่งหน้าไปที่แคมป์ในไชร์” โอเวนตอบอย่างประหลาดใจ “และสิ่งที่เราจะทำเมื่อเราไปถึงที่นั่นคือรับการขนส่งวัวหนุ่มที่จะถูกต้อนมาจากป่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เอ่อ เท็กซัส และเราจะต้องเดินตามพวกมันขึ้นไปจากที่นี่ และปล่อยพวกมันให้ลอยไปในแม่น้ำฝั่งนี้ หลังจากนั้น เราจะเริ่มขับเกวียนสองคัน .. อืมมม รู้ไหม ผมทำงานอีกที่หนึ่ง และโจ และเบ็น จะทำงานอีกทีหนึ่ง แต่เราจะทำงานร่วมกันเกือบตลอดเวลา มันสร้างลูกทีมได้ค่อนข้างมาก ยี่สิบห้าหรือสามสิบคน”

“ฉันไม่รู้” เนลพูดอย่างสงสัย “คุณเคยส่งวัวเข้ามาในพื้นที่นี้หรอ ฉันคิดว่าคุณส่งพวกเขาออกไปซะอีก และพ่อของฉันกำลังจะซื้อมันอยู่ ใช่หรือเปล่า?”

“ไรอันน่ะหรือ? อ่อ เขาบอกผมว่าใช่! ฤดูใบไม้ผลินี้น่าจะซักหกพันตัว เอ่อ และลูกวัวอายุสองปี บางฤดูกาลเราก็มีมากขึ้น ซึ่งเราได้รับคลังสินค้าที่อายุน้อยทุกปีและปล่อยให้คอกเราหลวมจนกว่าพวกเขาจะพร้อมส่ง มันถูกกว่าการเลี้ยงลูกวัวนะรู้ยัง? เอาเถอะ เมื่อคุณไปถึงไชร์ เนล! แล้วคุณจะเห็นวัวของคุณ! ว่าทำไมกลุ่มของเรากลุ่มเดียวจึงต้องสร้างขบวนถึงเจ็ดขบวน และนั่นไม่ใช่การเริ่มต้น ปีนี้โคจากตอนใต้ราคาถูกลง และดูเหมือนทุกคนจะซื้อ ไรอันไม่ได้ซื้อมากเท่ากับของบางฟาร์มเพราะเขาเลี้ยงวัวค่อนข้างเยอะแล้ว เราจะตีตราลูกวัวหกหรือเจ็ดพันตัวในฤดูใบไม้ผลินี้ และไรอันรู้วิธีโกยเหรียญอย่างแน่นอน และนั่นก็เป็นสิ่งที่คุณเองก็ต้องเรียนรู้”

เนลเห็นด้วยอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้สำหรับการส่ายหัว 

พวกเขาพุ่งขึ้นสู่ระดับอีกครั้งและเจ็ดไมล์ด้วยความเร็วปกติของโอเวนทำให้เธอเสียใจกับการเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับอานม้าของเขา และตอนนี้เธอกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เหนือแนวงี่เง่า

และเมื่อพวกเขามาถึงร้านค้าที่มันมีหน้าตาเหมือนฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่ง มีผู้หญิงและแม่ของเธอที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูและเชิญพวกเขาเข้ามา เธอปฏิเสธจนเกือบจะหยาบคาย เพราะรู้สึกว่าถ้าเธอออกไปจากอานแล้วเธอจะขึ้นมาบนม้าตัวนี้ใหม่ได้ยากมาก 

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รอช้า และเนลก็มาถึงแคมป์ที่ไชร์ทั้งเป็นโดยที่ร่างกายไม่ถูกแยกส่วนจากการเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพราะโอเวนบอกว่าที่ไชร์ยังไม่ใช่จุดหมายแท้จริงของฝูง มันแค่แคมป์ที่พักชั่วคราว แต่ด้วยความเย้ายวนใจค่อนข้างหายไปจากตะวันตกของเธอ ถ้าเธอไม่ใช่ลูกของพ่อ และหลานของคุณตาชาวไร่ เธอคงนั่งรถไฟขบวนแรกที่ชี้จมูกไปทางทิศตะวันออก มุ่งสู่นิวยอร์กทาวน์เพื่ออพาร์ทเม้นท์ที่สะดวกสบายของเธอ และเธอจะไม่มีวันเขียนเรียงความเรื่องตะวันตกหรือบทเพลงที่ขับขานความสุขของการควบม้าออกไปตามหา 'เส้นขอบฟ้า' ซึ่งเธอที่อยู่ในคราบของเนลเพิ่งจะควบม้าไปบนเส้นขอบฟ้าที่เคยเป็นมาก่อนเสมอและเธอไม่เคยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและความทรงจำของมันก็ไม่มีเสน่ห์ .. เอ่อ .. อันที่จริง ความคิดถึงในสิ่งต่างๆ ของชาวตะวันตกทำให้เธอสาบานอย่างอ่อนโยนแบบคนเมือง

เธอกำลังสำลักความเกรงขามของพ่อครัวในแคมป์แห่งหนึ่ง และเธอก็ถามเขาอย่างถ่อมตนว่า มีอะไรดีๆ ไหมที่จะช่วยขจัดความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นเธอก็ปีนขึ้นบันไดอย่างราวระบม จับขวดเบียร์ที่เต็มไปด้วยยาทาบ้านๆ ที่ปรุงด้วยยาฉุน .. และโอเวน คาเมรอนก็นั่งมองเธอมาจากมุมห้องพักที่เธอกับเขาต้องพักร่วมกัน

พวกเขายังต้องเดินทางต่อ .. วันนั้นแสงแดดส่องถึงและนิ่ง สาดสีเขียวสดใสกระจายลงบนทุ่งแพรรี และวัตถุที่อยู่ห่างไกลก็ยืนหยัดด้วยเส้นขอบที่คมชัดในบรรยากาศที่ชัดเจน ที่นี่และที่นั่น และเต็นท์สีขาวของชุดขบวนเกวียนบรรทุกที่จอดอยู่ .. พวกนักขี่ม้าควบม้าไปและกลับจากเมืองด้วยความเร็วสูงสุด และขบวนยาวก็พ่นสีแดงสกปรกออกมาที่ข้างโรงเก็บของซึ่งมีฝูงวัวกระหายน้ำส่งเสียงร้องแผ่วเบาราวกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่อยู่ไกลออกไป

การเป็น 'เนล' ช่างแตกต่างจาก เลดี้แคโรไลน์อย่างสิ้นเชิง 

สาวน้อยในคราบของเด็กหนุ่มดูหน้าซีด เธอสูดหายใจเข้ายาวๆ และมองออกไปเหนือผืนน้ำที่เร่งรีบของลานน้ำพุ 

เป็นการดีที่จะมีชีวิตอยู่และยังเด็ก และใช้ชีวิตในกระโจมในที่ราบ เป็นเวลาสองสัปดาห์บนอานได้เปลี่ยนมุมมองของเธออย่างมาก เธอหันกลับมามองฝุ่นและเสียงคำรามของฟาร์มที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งไมล์

“บางที” เธอตั้งข้อสังเกตด้วยความหวัง “รถไฟขบวนต่อไปจะเป็นของฉัน” 

“ไปกันเถอะคู่หู” โอเวนเสนอโดยไม่นำพาเสียงโอดครวญของคนใกล้ตัว “นั่นน่าจะเป็นการจัดส่งของแท่นวง แผงของพวกมันมาจากที่เดียวกับที่เราสั่งมาใช้ และผมต้องการดูว่าพวกมันวางซ้อนกันอย่างไร”

เนลตกลงและไปขึ้นอาน 

หนุ่มคาวบอยตัวสูงใหญ่เกาะอยู่ตรงมุมรั้ว นอกทางเข้า และสูบบุหรี่ในขณะที่เขาเฝ้าดูฝูงวัว และตะโกนเรียกพวกผู้ชายที่เย้าแหย่ สบถสาบาน และโบกมือโห่ฮาให้กับวัวในคอก อีกไม่นานคิวของเขาจะมาถึง แต่ตอนนี้คนตัวสูงก็พอใจที่จะมองดูและผ่อนคลาย

“เพื่อชีวิตของฉัน” เนลร้องโดยนั่งลงข้างโอเวนอย่างเฉยเมย “ฉันมองไม่เห็นว่าพวกเขามาจากไหน ลานเหล่านี้ไม่เคยว่างมาสองวันแล้ว อีกไม่นานประเทศนี้จะกลายเป็นฝูงใหญ่เพียงฝูงเดียว”

“ห๊ะ! สองวัน ไม่เลย สิ่งนี้จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เชียว ลูกชาย” สำหรับในคราบของเนลเขามักเรียกเธอแบบนี้ “รัฐนี้นั้นใหญ่กว่าที่คุณคิด”

แท้จริงแล้วมันเป็นสองสัปดาห์กว่าที่สินค้าจะมาถึง .. สำหรับเนล ทุกวันเป็นเพียงการซ้ำซากของสิ่งที่ผ่านไปแล้ว: เครื่องยนต์สกปรกและพ่นควันร้อนที่วิ่งไปมาบนราง ฝูงวัวหนุ่มที่เหน็ดเหนื่อยไหลลงมาตามรางน้ำสูงชันสู่คอกไม่รู้จบ ตั้งแต่คอกไปจนถึงรางตราสินค้า ที่ซึ่งพวกมันถูกตีตราด้วยเครื่องหมายของเจ้าของใหม่ แล้วเดินเบียดเสียดกันออกไปทางประตูใหญ่ รุมเร้า ขยับหนีจากความยับยั้งชั่งใจ แต่ก็ยังคงถูกคุมขังและนำทางโดยคาวบอยที่ขี่ม้า ออกไปบนทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ซึ่งพวกมันสามารถกินหญ้าหวานได้อีกครั้งและดื่มน้ำจากแม่น้ำที่ใสสะอาดจากภูเขา เดินออกไปตามทางอันยาวไกล และในที่สุดพวกมันก็มีอิสระที่จะเดินเตร่ไปตามความพอใจเหนือดินแดนที่มีลมพัดโชย ได้นอนในที่เย็นและหอมหวานแล้วเคี้ยวเอื้องอย่างสงบ

สัปดาห์ที่สอง ตอนนี้โอเวนเป็นผู้นำที่เยือกเย็นและเหมือนนักธุรกิจในทุกลมหายใจ เขาถือซองจดหมายในมือของเขาและค้นหาเนลซึ่งกำลังฝึกใช้เชือกอยู่ ขณะที่โอเวนเข้ามาใกล้ เธอหมุนบ่วงแล้วเหวี่ยงไปบนยอดของเหยี่ยวราตรีอย่างแม่นยำ

“ทำได้ดี” โอเวนสนับสนุน “ดูนี่สิเนล วัวของเรากำลังจะมาแล้ว” 

เนลศึกษาเรื่องนี้ขณะที่เขาม้วนเชือก 

“ฉันจะรับงานนี้โอเวนถ้าคุณคิดว่าฉันจะทนได้” 

คำพูดนี้คงอาจทำให้ท่านเคานต์ไรอัน อเล็กซานเดอร์ประหลาดใจมากกว่าหนึ่งครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

“อืม” โอเวนตอบกลับ “มันจะเป็นงานศพของคุณเองถ้าคุณพลาด และคุณจะต้องใช้พวกเขาในการเดินทาง”

“ยังมีผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมสีรุ้งขนาดใหญ่ด้วย ถ้าฉันต้องการดูส่วนนี้” เนลพูดล้อเลียน

“ถ้าคุณไม่อยากให้คอของคุณพังก็หมายความว่าอย่างนั้นก็ได้” โอเวนเหวี่ยงใบหน้ามาโต้ข้ามไหล่ของเขา “ค่าจ้างและการเรียนของคุณเริ่มพรุ่งนี้ตอนพระอาทิตย์ตก”

เช้าตรู่เมื่อรถไฟขบวนแรกมาถึง หิว กระหายน้ำ เหนื่อยหอบ เป็นการประท้วงทั่วไปต่อชะตากรรมและรูปแบบการเดินทางของมนุษย์ … เนลถือไม้ค้ำยาวอยู่ในมือ ยืนอยู่บนแผ่นไม้แคบๆ ใกล้ยอดกำแพงรางน้ำ และผลักมันไปข้างหลังอย่างไม่รู้จบ 

เมื่อต้องขี่ม้าออกไปยังค่ายพัก ปวดเมื่อยตามร่างกายและหิวอย่างกระหาย หลังจากทำงานหนักด้วยกล้ามเนื้อเป็นครั้งแรกในชีวิต อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้พูดถึงความกลัวหรืออาการปวดกล้ามเนื้อของเธอกับใครคนไหน เธอไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนที่ชอบคร่ำครวญ

ต่อเมื่อกลับเข้าไปในฝุ่นและเสียงคำรามของฝูงวัว โอเวนสั่งให้เธอดูแลไฟอย่างห้วนๆ เนื่องจากทีมงานทั้งสองจะตีตราวัวในบ่ายวันนั้นและไปเคลียร์คอกสำหรับการขนส่งครั้งต่อไป เนลขอบคุณโอเวนในใจ; เพราะการดูแลไฟตราสินค้าฟังดูเหมือนการเล่นของเด็กที่สุดแล้วสำหรับเธอ

“พูดสิ เนล มันไม่ใช่กองไฟที่เราต้องการ หรือการฉลอง! แต่เป็นความร้อน แค่ให้คุณไปที่นั่นและบันทึกพวกมันทั้งหมด คุณทำได้” 

หลังจากหนึ่งชั่วโมงของการดูแลไฟ เนลตัดสินใจว่ามีบางสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายมากกว่า แต่ในช่วงบ่ายอันยาวนาน เธอยังคงทำงาน และเธอก็เดาว่าคนอื่นๆ ก็ไม่สนุกเหมือนกัน โอเวนและผู้ช่วยชาวอินจุนคนหนึ่งของเขา ที่ไม่ใช่แฟรงก์ เด็กหนุ่มจอมกระฟัดกระเฟียดที่เธอเคยพบเขาที่กระท่อมของโอเวนเมื่อหลายปีก่อน(ที่เธอเองก็เพิ่งรู้ว่าเขาถูกไล่ออกจากฟาร์มเนื่องจากเขาก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับคนงานคนหนึ่งในค่าย)ก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ พวกเขากำลังสร้างตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ภายใต้ฟาร์มปศุสัตว์ของเธอ 

จนกระทั่งอาทิตย์อัสดงทอแสงสีแดงผ่านกลุ่มควัน ก่อนที่เนลจะปล่อยไม้ที่ไหม้ไฟครึ่งหนึ่งออกจากกันและเทน้ำลงบนพวกเขาตามคำสั่งของโอเวน

ตอนค่ำ เนลคืบคลานเข้าไปในผ้าห่มของเธอ เธอรู้สึกว่าเธออยากให้ค่ำคืนนั้นยาวนานอย่างน้อยสามสิบหกชั่วโมง เธอเพิ่งตั้งรกรากอยู่ในเก้าอี้ในฝันที่หรูหราและหุ้มด้วยหนังเมื่อเสียงของโอเวนตะโกนเข้าไปในเต็นท์:

“ออกไปเถอะ เด็กๆ .. พวกเรากำลังดึงรถไฟเข้ามา!”

มีการแต่งตัวอย่างรวดเร็วในความมืดของเต็นท์นอน การเร่งรีบ และการขี่ม้าท่ามกลางอากาศเย็นในยามเช้ามืดอย่างเร่งรีบ รางน้ำใช้เวลานานหลายชั่วโมง เคลื่อนลงมาที่แนวเงาที่เคลื่อนตัวไปมาขณะที่ “กระบวยใหญ่” แขวนอยู่บนท้องฟ้าสว่างไสว และโคมที่จุดไฟส่องไปมาตามรถไฟโบกสัญญาณให้กันและกัน ในช่วงเวลานั้น เสียงของโอเวนเล็ดลอดผ่านความสับสนวุ่นวาย ออกคำสั่งกับคนที่เขามองไม่เห็น

ทางทิศตะวันออกสว่างเป็นสีเหลืองซีดในที่สุดเมื่อทั้งสองปีนขึ้นไปบนอานม้าและควบออกไปที่ค่าย เพื่อรับประทานอาหารเช้าอย่างเร่งรีบ เนลปลอบประโลมร่างกายที่ปวดเมื่อยด้วยการสัญญาว่าจะพักผ่อนและนอนหลับ แต่วัวสามพันตัวกำลังกัดกินอย่างไม่อดทนในโรงเก็บ ดังนั้นตอนนี้เธอจึงพบว่าตัวเองกำลังพ่นไฟเล็กๆ ที่อ่อนล้าด้วยหมวกคาวบอยของเธอ ในขณะที่พยายามจะเก็บควันจากดวงตาสีฟ้าที่อ่อนล้าของเธอ อันที่จริงพ่อและแม่คงจะจ้องเขม็งมาแน่ๆ เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้

แต่เมื่อโอเวนเดินผ่านไปเธอก็ยิ้มให้เขาอย่างเคร่งขรึม 

เขาหยอกล้อเธอ แต่เนลยุ่งเกินกว่าจะตอบ การใช้ชีวิตในความงดงามได้หรี่ตาลงเพราะเธอเห็นได้แค่ความเครียด

คืนนั้นเนลหลับราวกับเธอตาย แต่เธอก็ตื่นขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ และขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีวัวให้ขนและตีตราอีกต่อไป

แต่เมื่อเธอออกไปเลี้ยงสัตว์กลางวันในบ่ายวันนั้น เธอคงจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

และหากเธอสงสัยความจริงที่ว่าโอเวนได้วางแผนอย่างรอบคอบใดไว้บ้าง นั่นอาจเป็นเหตุว่าทำไมยามกลางคืนจึงไม่มีใครมาจับความลับได้ว่าเธอคือผู้หญิง และในคราบของเด็กหนุ่มตัวเล็กที่หัวหน้าคนงานต้องตามประกบแทบจะตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเขาทิ้งแคมป์ในไชร์ไว้ข้างหลังหลายไมล์จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือเลดี้แคโรไลน์

แน่นอน การเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและการเรียนรู้ทำให้เธอลืมเขียนจดหมายถึงพ่ออีกหน

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

8. พายุฝน

 

มันเป็นคืนที่สามที่พวกเขาเดินทางมาถึงแคมป์ใหม่ มีรายละเอียดบนกระดานการทำงานซึ่งกินเวลาตั้งแต่สิบเอ็ดโมงถึงสองทุ่ม ทีมทำงานชุดนั้นของเธอตั้งค่ายอยู่ใกล้ตาต้นน้ำที่เป็นแอ่งน้ำตื้น ยาว ที่มีลำห้วยไหลผ่านตามริมฝั่งที่คดเคี้ยวของมัน พวกเขากางเต็นท์สีขาวเพื่อเดินตามฝูงสัตว์อีกเจ็ดตัว วัวตัวผู้มีจุดสีน้ำตาลขนาดใหญ่ตัดกับสีเขียวเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน 

โอเวนก็ส่ายศีรษะสำหรับการพยากรณ์อากาศ ขณะที่เนลเลือกจะนิ่งเงียบอย่างระมัดระวัง เพราะเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และโอเวนก็ให้คำแนะนำสั้นๆ เกี่ยวกับการขี่ม้าของเธอ และวิธีเปลี่ยนสัตว์เร่ร่อนให้กลับเข้ามาในฝูงโดยไม่รบกวนตัวอื่นๆ

สัตว์ตัวหนึ่งออกไปทางขวา และร่างสีดำเคลื่อนออกมาจากเงามืด

โอเวนเหวี่ยงตัวเองไปทางนั้น และรูปร่างของเขาก็ละลายอีกครั้งในจุดเงาของฝูงสัตว์ที่หลับใหล 

เขาขยับไปทางซ้าย 

“คุณสามารถไปทางนั้นได้ และคุณต้องการที่จะร้องเพลงอะไรบางอย่างหรือเป่านกหวีดเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้ว่าคุณคืออะไร” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนตั้งแต่รับเธอมาไว้ในค่าย และดูเหมือนเขาจะล่องลอยไปในความมืด และในไม่ช้า เสียงของเขาก็ดังขึ้น และร้องเพลงข้ามมาจากฝูงสัตว์ ขณะที่เขาเข้าใกล้เนลมากขึ้น เธอก็จับคำพูดเขาได้ แม้ในตอนแรกมันจะไม่ปะติดปะต่อและไม่ชัดเจน จากนั้นก็ชัดเจนขึ้นเมื่อพวกเขาพบกัน … มันเป็นเพลงที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน 

โอเวนเหยาะย่างม้าของเขาห่างไป และมีเพียงเสียงสูงๆ ที่ส่งผ่านไปยังเนลซึ่งส่งเสียงเบาๆ ขณะที่เธอฟัง จากนั้นเมื่อพวกเขาใกล้เข้ามาอีกครั้งในรอบที่สอง คำพูดก็คร่ำครวญอีกครั้ง

เนลขี่ม้าช้าๆ ราวกับตกอยู่ในความฝัน และแรงดึงดูดในระยะไกลของดินแดนนั้นมันก็ให้ความรู้สึกที่รุนแรงกับเธอ .. การหายใจลึกๆ ของวัวที่หลับ กลิ่นแรงของสัตว์สามพันตัว ค่ำคืนอันมืดที่ค่อยๆ มืดมิดลงทุกขณะ และเสียงร้องเพลงของคาวบอยที่ขับขานตามจังหวะที่ไหลลื่นและใสกระจ่าง 

ถ้าเขาสามารถพูดออกมาได้ ถ้าเขานึกภาพความนิ่งและความมืดครึ้มได้ 

“เอ๊ก ..เอ๊อ…เอ๊ก …

กบกระโดดไปมาตามริมลำห้วยที่เต็มไปด้วยต้นกก 

หมาป่าฝูงหนึ่งกำลังยื้อย่องกันอยู่บนยอดเขาที่ห่างไกล

จากทางตะวันตกเฉียงใต้ .. เสียงพึมพำอย่างท้าทายและเป็นลางไม่ดี 

สายลมกระซิบอะไรบางอย่างกับหญ้าขณะที่มันคืบคลานลงมาในหุบเขา

เธอไม่ใช่แม่ไก่ในฤดูใบไม้ผลิ … ไม่ใช่!

เธอยังเด็กเกินไป…และเขาก็เป็นแค่คนดอยคนป่า

พวกเขายืนอยู่ในลานแห่งอีฟ … ท่องคำสัญญาที่หน้าโบสถ์

ขณะที่พระอาทิตย์อัสดงลดตัวลงเพื่อประดับในทิศตะวันตก

พระอาทิตย์อัสดง…ลดตัวลงเพื่อประดับพระองค์ไว้ในทิศตะวันตก”

เขาคือ โจ ชาวอินจุนคนหนึ่งที่ขี่ม้าเข้ามาใกล้ เธอเคยเห็นเขาอยู่กับโอเวนหลายหนจากระยะไกล แต่เธอกับชายชาวอินเดียนแดงคนนี้ก็ยังไม่เคยคุยกันเลย

“คุณสบายดีใช่ไหมเจ้าหนู; เอ่อ ใช่ ให้เธอเดินหน้าต่อไป” 

เขาทักทายอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาผ่านเธอไป เนลหยุดครู่หนึ่งกำลังจะพูดทักทายเขากลับไป แต่เสียงของโอเวนก็ร้องเตือนขัดจังหวะมาจากที่ใดที่หนึ่งว่า 

“รักษาเธอไว้ให้ดี เนล เจ้าเด็กดื้อ!” 

ดังนั้นเนลจึงหายใจเข้าและหัวเราะกับความไม่ลงรอยกันของบทเพลงที่คาวบอยเปลี่ยนเนื้อร้อง 

“พูดสิ” โอเวนเริ่มเมื่อเขาเข้ามาใกล้พอ “คุณรู้จักคำว่า เอ่อ ประโยคนั้นไหม? มันคือลูกพีช ฉันหวังว่าคุณจะร้องเพลง” 

เขาขี่ต่อไป และเหล่าคาวบอยยังคงคร่ำครวญถึงความทุกข์ยากของหญิงสาววัยเด็กที่อยู่ในงาแต่งงานของเธอ

เนลเชื่อฟังขณะที่เสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานมาจากเนินสูง

คนคัดท้ายก้าวออกจากฝูงอย่างกระสับกระส่าย และม้าของเนลซึ่งได้รับการฝึกฝนมาทำงานด้วยความตั้งใจของเธอเองก็หันหลังให้เขาอย่างนุ่มนวล

แต่ฟ้าร้องดังมาจากทางทิศตะวันตก กลบคำพูดด้วยเสียงคำรามด้วยเสียงต่ำและลึก

ซันฟิชตอบสนองต่อการสัมผัสของเนลบนบังเหียนที่เธอเร่งให้เขาวิ่งเหยาะๆ แต่การวิ่งจ๊อกกิ้งไม่เอื้อต่อการแสดงออกถึงเสียงที่ดีที่สุด และนักร้องก็ยังอุตสาหะอยู่:

“เธอไม่ใช่แม่ไก่ในฤดูใบไม้ผลิ … ไม่ใช่!

เธอยังเด็กเกินไป…และเขาก็เป็นแค่คนดอยคนป่า

พวกเขายืนอยู่ในลานแห่งอีฟ … ท่องคำสัญญาที่หน้าโบสถ์

ขณะที่พระอาทิตย์อัสดงลดตัวลงเพื่อประดับในทิศตะวันตก

พระอาทิตย์อัสดง…ลดตัวลงเพื่อประดับพระองค์ไว้ในทิศตะวันตก”

แสงแฟลชสว่างวาบ! ฟ้าแลบตัดผ่านเมฆพายุ และโอเวนก็ผิวปากในขณะที่เธอรอฟังเขาออกคำสั่ง:

ราวกับว่ามันมีระเบิดเกิดขึ้นเหนือศีรษะ ฝูงสัตว์ทั้งหมดลุกขึ้นและยืนชิดกัน หางของพวกมันหันไปสู่พายุที่กำลังมา ตอนนี้ม้ากำลังวิ่งวนอย่างต่อเนื่องในวงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ความเร็วที่พวกมันสามารถจับได้เป็นชั่วโมงหากจำเป็น ชั่วพริบตาเดียวที่เนลมองเห็นไกลออกไปในหุบเขา จากนั้นม่านสีดำก็ตกลงมาทันทีที่มันยกขึ้น

“ตะโกนต่อไปเนล!” คำสั่งก็มาถึง และหลังจากนั้น เสียงของโอเวนก็ดังขึ้นเหนือเสียงคำรามที่ดังสนั่น

เนลรู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอมาก เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของเธอได้รับการปกป้องจากความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติเสมอ เธอไม่เคยออกไปใต้ท้องฟ้ายามราตรีมาก่อนเมื่อยามที่มันคุกคามเหมือนตอนนี้ เธอสะดุ้งเมื่อเสียงแตกที่หูซึ่งได้ยกม่านสีดำขึ้นอีกครั้ง และแสดงให้เธอเห็นที่ราบในแสงสีขาว และในความมืดที่ตามมาก็มีเสียงกีบเท้าเป็นจังหวะตามลำห้วย และเสียงหนึ่งที่ดังขึ้น 

ซันฟิชเงยหน้าขึ้นและฟัง กล้ามเนื้อของม้าใต้เธอที่สั่นเทา

“มีการวิ่งกันพล่านเลย” โอเวนเรียกจากอีกฟากหนึ่งของฝูงสัตว์ที่หวาดกลัว 

“ม้าถูกฝึกไว้แล้วเนล ถ้าพวกมันชนเรา คุณต้องหันหัวซันฟิชและออกไปข้างนอก!”

เนลตะโกนตอบว่า “ก็ได้!” แต่เสียงคำรามของฝูงที่แตกตื่นก็กลบเสียงของเธอ และลมบ้าหมูที่บ้าคลั่งได้พัดพาตัวเธอ 

ลูกวัวอายุสองขวบจำนวนสองร้อยห้าสิบตัว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้อะไรในตอนนั้น แต่จิตใจของเธอก็มึนงง ประโยคเดียวที่คดเคี้ยวไปมาราวกับฟ้าแลบเหนือศีรษะของเธอก็คือ “ให้ซันฟิชหันหัวของเขา และออกไปข้างนอก!”

นั่นคือสิ่งที่ช่วยเธอไว้ เพราะเธอมีเหตุผลที่จะเชื่อฟัง 

“หลบไปเนล หันซันฟิซ คุณต้องหลบออกไปก่อน!” โอเวนตะโกนเรียกเธออย่างรีบเร่ง

เขาเป็นห่วงเธอมากเหลือเกินจนหัวใจกระตุก แต่เขาต้องอยู่คุมฝูงทางนี้ และเขาเองก็มองหาโจ ชาวอินจุนที่จะมาช่วยดูแลเธอไม่เจอเช่นกัน เพราะทุกอย่างกำลังเริ่มชุลมุน และเขาต้องควบคุมมันให้ได้

หลังจากการแข่งขันหอบหายใจอยู่สองสามนาที เสียงคำรามดังก้องอยู่ในหูและเสียงแตรที่กระทบกัน และดวงตาเป็นประกายระยิบระยับบนส้นเท้าของม้าของเธอ เนลพบว่าตัวเธอเปียกและแห้งในขณะที่ความโกลาหลวุ่นวาย และการถูกกวาดต้อน ตอนนี้เธอควบม้าไปข้างหลังฝูงและสงสัยว่าเธอไปที่นั่นได้อย่างไร แม้ว่าซันฟิชอาจรู้ดีพอ

ฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบบนหลังของเธอขณะที่ซันฟิชพาเธอวิ่งออกไป ความเย็นเยียบที่กระทบกับผิวหนัง เธอนึกถึงนกขมิ้นที่ตัวสั่นในเต็นท์นอนของเธอ และตอนนี้เธอได้ยินเสียงผู้ชายเรียกหาเธอว่า 'เนล' และอีกครู่หนึ่งเธอก็เห็นรูปร่างสลัวของผู้ขับขี่บางคนที่อยู่ใกล้ๆ 

เขาตะโกนรหัสผ่านของช่วงนั้น “สวัสดี!”

“นี่ทีมอะไร” ชายคนนั้นร้องอีกครั้ง

“ไพน์แชโดว์ ออชินโคลส!” เนลตะโกนชื่อไร่ของเธอ และชื่อที่ตั้งของมัน

“นายทำอะไรลงไปวะเฮ้ย! นายปล่อยให้วัวของนายหนีไปหมดแล้ว”

จากนั้น เธอก็รู้สึกโกรธเคืองผู้มีอำนาจชั่วคราวและเธอก็คิดว่าถ้าโอเวนมาได้ยินเขาคงต้องโกรธด้วยแน่ๆ

และฝูงสัตว์ของเธอน่าจะถูกกวาดต้อนไปตามทางยาวของหุบเขา ถูกรวมไปกับสัตว์ฝูงอื่นๆ และผู้ขับขี่คนอื่นๆ 

มันไม่ใช่เรื่องดีหรือน่าขบขันที่จะควบม้าอย่างบ้าคลั่งหลังจากเกิดเหตุเหยียบกันตายในตอนกลางคืน และต้องคอยออกติดตามหาวัวที่แตกฝูงเร่ร่อนและรับโอกาสที่คอจะหักเพราะฝนตกเพื่อทำให้เรื่องแย่ลง

โอเวน คาเมรอนออกมาตามหาเนลด้วยเสียงตะโกนมากมาย และเขาก็พบเธอ

พี่เลี้ยงหน้านิ่งเสมอของเธอมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดเพราะเขาซ่อนมันไม่มิดในตอนนี้ และเธอเองก็ดีใจที่เจอเขาจนเกือบจะร้องไห้โฮ และอยากโผเข้าไปกอดเขาอย่างสุดใจ โอเวนขี่ม้าของเขาเข้ามาจับบังเหียนของเธอไว้แน่น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ขี่เคียงข้างกัน และฟ้าร้องก็โห่ร้องอยู่เหนือศีรษะเสมอ และด้วยฟ้าแลบ เนลมองเห็นทะเลที่ปั่นป่วนของฝูงวัวที่กำลังหลบหนีที่เธอไม่รู้ว่าที่ไหนหรือทำไม ด้วยความกลัวที่บดบังส้นเท้าของพวกเขาจนมืดบอด

เสียงของพวกมันปลุกเร้าค่ายขณะที่ฟ้าร้อง ผู้คนลุกขึ้น มองออกจากเต็นท์นอนขณะที่การแตกตื่นกวาดผ่านไป สาปแช่งความล่าช้าที่จะเกิดขึ้น และหวังว่าคงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และขอบคุณพระเจ้าที่เต็นท์ตั้งไว้ใกล้ลำห้วยและออกห่างมาจากเส้นทางของฝูงสัตว์ที่บ้าคลั่งอย่างหวุดหวิด

จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะกลับไปนอนรอเวลาของแสงตะวันตามหลักปรัชญาที่ดี

แต่เมื่อซันฟิชสะดุดเข้ากับกระแสน้ำตื้น และส่งเนลให้แล่นถลาไปเหนือศีรษะของมันอย่างไม่สวยงาม โอเวนก็รีบคว้าและดึงเอวเธอขึ้นได้ทันต่อจากนั้นก็วางลง และเขาเองก็เลื่อนไถลตัวลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว

“คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เนล” เขาร้องถามอย่างกังวล โน้มตัวเข้ามาหาเธอ ลูบมือคลำไปตามร่างเธอเพื่อสำรวจอาการที่อาจจะบาดเจ็บหรือกระดูกที่อาจจะหักได้ของเธออย่างรวดเร็วแต่ยังคงสุภาพและระมัดระวัง

เขาไม่ใช่ผู้ชายที่เอาแต่มองดูสวัสดิภาพของเธออย่างสงบเสงี่ยมเฉยเมยเหมือนแต่ก่อนมาอีกต่อไป โอเวน คาเมรอนไปไกลกว่านั้น และเธอรู้สึกซาบซึ้งสุดหัวใจ และเสียงของเขาเมื่อเขาพูดก็แสดงความกลัว กังวลอย่างเห็นได้ชัดเจนมากมายในยามนี้

เนลลุกขึ้นนั่งและโอเวนก็เช็ดโคลนออกจากใบหน้าของเธอ จับแขน ไหล่ หลังและขาของเธอราวจะสำรวจว่ามีส่วนใดแตกหักหรือบาดเจ็บ เพราะถ้ามันไม่ได้มืดขนาดนั้น แต่เขาอยากให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้เจ็บตรงไหนโดยที่เธออาจจะชาจนไม่รู้ตัวเอง

“ไม่ .. ฉันไม่เป็นอะไรมาก ขอบคุณ” และเธอก็สบถ “แล้วม้าเจ้าปีศาจของคุณตัวนั้นอยู่ที่ไหน?”

โอเวนยืนเหนือเธอและยิ้มท่ามกลางความมืด

“ผมประหลาดใจ, เนล! ครูโรงเรียนวันอาทิตย์ของคุณจะพูดอะไรถ้าเธอได้ยินคุณสบถเป็นชุด? อย่างไรก็ตาม คุณไม่ได้รับการเรียกร้องให้สาปมัน เจ้าซันฟิช; เขาไม่ควรถูกตำหนิ เขาคุ้นเคยกับคนที่สามารถขี่ได้”

“หุบปากไปเลยโอเวน!” เนลสั่งอย่างไม่เรียบร้อย “ฉันอยากเห็นคุณขี่มันบ้าง เมื่อจู่ๆ มันก็อยากจะวิ่งกลับหัว!”

“เอาน่า ไปเถอะ” โอเวนรีบยกเลิกการโต้เถียง “พวกเราจะพลัดจากฝูงถ้าเราไม่รีบเร่ง”

โอเวนช่วยดันเธอขึ้นนั่งบนอานม้าอีกครั้งและขี่ต่อไปพร้อมเสียง และสายตาที่หาดูได้ยากที่ฟ้าแลบส่องผ่านพายุออกไปทางทิศตะวันออก

“ใครคุมฝูง” เธอถามเพราะโอเวนอยู่กับเธอที่นี่

“โจและเบ็น” เขาตอบง่ายๆ และเธอก็พยักหน้าในความมืด เพราะเธอรู้ว่าทั้งคู่เป็นมือขวาที่ไว้ใจได้ของเขา

“คุณหนาวหรือเปล่า?” 

โอเวนร้องอย่างเห็นอกเห็นใจจากหยดฝนที่ไหลลื่นและตัวที่สั่นไหวของเธอ และพวกเขาเองก็ไม่มีผ้าผืนใดที่แห้ง

“ฉันเปียกไม่น้อยไปกว่าปลาสักฝูงในแม่น้ำ!” เนลที่อยากดิ้นหนีออกจากเสื้อผ้าที่เปียกโชกบ่นอย่างประชดประชัน

ฝูงวัวกำลังเร่ร่อนอยู่ก่อนที่พายุจะมา ซึ่งตอนนี้มันก็นำมาสู่สายฝนที่ตกลงมาอย่างซ้ำซากจำเจ มีนักขี่ม้าชายสองหรือสามคนสำหรับทุกฝูงที่ตกอยู่ในความตื่นตระหนก พวกเขาวิ่งวนรอบแนวรั้วโดยไม่มีรหัสผ่าน .. ดูเหมือนคืนนั้นจะไม่มีใครที่จะได้รับความโล่งใจใดๆ ของพวกเขา และพวกเขาก็รู้ดีในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงได้ตั้งรกรากกับการรอคอยอันยาวนานของรุ่งเช้า

เนลขี่มาถึงจุดประจำการที่เป็นสถานีของเธอที่อยู่ถัดจาก โจ; เธอขี่ไปจนเจอคาวบอยคนต่อไป แล้วถอยวนกลับมาจนเจอโจอีกครั้ง .. ขี่จนโลกดูไม่ใช่ความจริงและอยู่ห่างไกลออกไปโดยไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากยามราตรี และการขี่ม้าก็วนเวียนกลับไปกลับมา และฝนที่ไหลซึมผ่านเสื้อผ้าของเธอและไหลลงมาอย่างไม่สบายตัวในผ้าพันคอของเธอ เธอเสียเวลาไปทั้งหมดและต้องตกใจเมื่อในที่สุดรุ่งสางก็มาเยือน 

เมื่อแสงสีเทาสว่างเจิดจ้าขึ้น ดวงตาสีฟ้าของเธอก็เบิกกว้างและลืมการอดนอนของเธอไปซะสิ้น เธอไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ เธอกำลังขี่ม้าข้ามด้านหนึ่งของฝูงสัตว์ที่ใหญ่กว่าที่จินตนาการของเธอเคยจินตนาการไว้ 

ฝูงวัวสามพันตัวสำหรับเธอดูเหมือนฝูงใหญ่ แต่ที่นี่มีมากกว่าสองหมื่นตัวก็ได้มังในตอนนี้

แน่นอน สัตว์จากฝูงต่างๆ เบียดเข้ามาผสมปนเปกันระหว่างพายุ พวกมันเปียกและถูกลากจูง หลังของพวกมันลู่ลงอย่างน่าเวทนาจากฝนซึ่งหยุดไปครึ่งชั่วโมงแล้ว 

เธอยังคงจ้องมองและสงสัยและเมื่อเธอเห็นโอเวน เธอจึงขี่ขึ้นไปหาเขา

“ในนามฟ้าและดิน! เนล คุณเป็นไงบ้าง! คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าไม่บาดเจ็บจริงๆ?” 

เขาดึงม้าเข้ามาใกล้เพราะเมื่อมีแสง เขาก็ได้มองเห็นสภาพที่แท้จริงของเธอ

“ไม่เลย .. มีแต่เจ้าปลาปีศาจซันฟิช!” 

เนลตะโกน และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่โอเวนจะไม่ตอบกลับเธอในทันที 

จากนั้นเธอก็ขี่ม้ากลับกันมาถึงแคมป์พร้อมกับพี่เลี้ยงของเธออย่างเงียบๆ .. กินอาหารเช้า ทำความสะอาดตัวเองด้วยถังน้ำอุ่นที่คาวบอยตัวโตพี่เลี้ยงของเธอนำมาให้ในห้องส่วนตัวที่พวกเขาพักกันอยู่เป็นสัดส่วนได้เพียงสองคน .. เมื่อได้สวมเสื้อผ้าที่แห้งสนิทแล้วเธอจึงออกไปผูกเครื่องสำหรับการตั้งแคมป์ไว้ด้านหลังของอานม้าของเธออย่างตั้งใจ และให้แน่ใจว่ามันจะปลอดภัยและแน่นหนาพอ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องตรงเข้ามาในดวงตาของเธอและท้องฟ้าก็ส่องแสงระยิบระยับพอสมควร และมันก็เป็นเมฆที่สะอาดมาก

โอเวนมองมาที่เธอด้วยดวงตาที่ฉายแววหัวเราะ 

“นายหญิงของผม คุณเป็นบุตรีของขุนนางที่มีความทะเยอทะยาน” และเขาก็หัวเราะจริงๆ อีกหน “และคุณก็มีคำถามที่สั่นคลอนอยู่ในใจแล้ว ผมเห็นเลยว่าคุณเรียนรู้ทุกอย่างได้เร็วและง่าย; ปกติมันต้องใช้เวลาสองหรือสามครั้งในการเรียนรู้สำหรับคนบางคน”

“เราต้องกลับไปช่วยฝูงสัตว์ใช่ไหม?” เนลถาม “แต่ไม่มีม้าตัวอื่นอยู่ที่นี่เลยสักตัว”

“ใช่ พวกเขาจะอยู่ข้างนอกด้วยกันจนถึงเที่ยง มาเถอะ เราต้องขึ้นไปนอน”

จนกระทั่งหลังอาหารเย็นเธอก็ขี่ม้ากลับไปที่ฝูงใหญ่เพื่อค้นหาวัวที่กระจัดกระจาย พลัดหลงแยกออกไปเป็นหลายๆ ฝูง และเหล่าคาวบอยคนอื่นก็ได้แยกย้ายกันไปทำงานในแต่ละบริษัทของเขาเองเช่นกัน ส่วนเธอเองที่ยังอ่อนหัดเกินกว่าจะทำอะไรได้ แต่เธอก็ต้องการจะขี่กลับเข้าไปในกลุ่ม ไต่ลงเนินเขาลงไปตามทางลาดชันขณะที่เธอก็เห็นว่าคนอื่นๆ ก็ทำมันอย่างคล่องแคล่ว

โอเวนบอกเธอว่านี่เป็นการผสมผสาน ปะปนหลงฝูงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา และแล้วชายหนุ่มคนที่เป็นหัวหน้าคาวบอยก็ขี่ม้าของเขาเข้าไปในทุกพื้นที่ที่ฝูงวัวจะไปเกาะกลุ่มกันอยู่ในป่าจนขยายตัวเป็นฝูงสัตว์ที่ใหญ่โต เขาเข้าไปอยู่ในฝูงที่หนาแน่นที่สุด เนลเฝ้ามองดูสหายของพ่อของเธอทำงานราวกับว่าเขาไม่รู้จักความหมายของคำว่าเหนื่อยล้า เธอมองดูเขาเดินเข้าและออกจากฝูงสัตว์ที่กระสับกระส่าย เพียงเพื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยไม่คาดคิดที่ขอบรั้วด้วยม้าคู่ใจตัวใหญ่แสนรู้ของเขา รีบแยกออกจากหมู่คนอื่นๆ หรือขับม้าพุ่งไปทางนี้และทางนั้น ขณะที่ฝูงสัตว์พยายามจะเลี่ยงหลบและพวกมันมักจะหลุดพ้นจากชัยชนะ และเธอก็สงสัยว่าเธอจะเรียนรู้ที่จะทำแบบเขาได้บ้างหรือไม่

จากนั้นเขาก็เตือนเธอเรื่องที่พวกเขาจะแยกตัวเข้าไปในเมือง โอเวนมีนัดเจรจาธุรกิจกับลูกค้าที่จะซื้อขายวัว และเขาเห็นว่าเธอควรเรียนรู้ที่จะฟัง และหลังจากการเจรจา เขาจะต้องเขียนจดหมายถึงพ่อของเธอเพื่อรายงานผลของการพูดคุยตกลงกันทุกครั้งและอาจต้องรอการตัดสินใจของไรอันหากการเจรจาครั้งนั้นมันเป็นเรื่องยากที่เขาจะตัดสินใจได้เพียงลำพัง และทั้งเขาทั้งเนลอาจต้องใช้เวลากันในเมืองอย่างน้อยสามถึงสี่วัน และสำหรับฝูง โจผู้ช่วยของเขาจะทำหน้าที่นำฝูงล่วงหน้าไปก่อน และพวกเขาจะต้องตามไปสมทบกับฝูงที่ 'เส้นทางตะวันตกสายเก่า'

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค II

9. ทุกค่ำคืนที่ทุกข์ทรมาน

ขอ CUT จ้าาาาา มี NC : อ่านได้ที่ฉบับ EBook นะคะ


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

10. เจ้าบ่าวของหัวหน้าคาวบอย

 

ที่ร้านเหล้า ซี ยู ทเวนตี้นาย ซาลูน … โอเวนถือแก้วในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือบุหรี่ พร้อมกับเสียงหึ่งๆ

บาร์เทนเดอร์กำลังเช็ดบาร์ ระมัดระวังที่จะทิ้งระยะห่างไว้รอบๆ หัวหน้าหนุ่มคาวบอยกล้ามโต ตัวล่ำบึก

คนเลี้ยงแกะที่ยืนอย่างไม่มั่นคงกำลังทำงานอย่างหนักกับปัญหาของเขา เขาหัวเราะเบาๆ และขยิบตาให้นักร้องสาว แต่โอเวนไม่ได้สังเกตหมอนั่นและปัญหาทางตรรกะของชายคนนั้นเท่าไหร่ และหัวหน้าคาวบอยของไร่ออชินโคลสก็กำลังทำให้ตัวเองสดชื่นจากแก้วโดยการปล่อยให้ของเหลวที่เหลืออยู่ลดต่ำวูบลงอย่างเห็นได้ชัด .. มันเป็นแก้วเนื้อหนาขนาดใหญ่ที่มีหูจับ และข้างในนั้นมีฟองเป็นโฟม .. เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วร้องเพลงคร่ำครวญ:

“เธอไม่ใช่แม่ไก่ในฤดูใบไม้ผลิ … ไม่ใช่!

เธอยังเด็กเกินไป…และฉันก็เป็นแค่คนดอยคนป่า

“คุณหนาวหรือเปล่า?” ฉันถามเด็กสาว

“ไม่หรอมัง! … ฉันแค่เปียกเหมือนปลา” เธอกล่าวอยู่ใต้ลานเงาของเมฆฝน

ขณะที่พระอาทิตย์อัสดงลดตัวลงเพื่อประดับพระองค์ในทิศตะวันตก

พระอาทิตย์อัสดง…ลดตัวลงเพื่อประดับพระองค์ไว้ที่ทิศตะวันตก”

“พับผ่า! เธอไม่ใช่เด็ก!” คนเลี้ยงแกะประณามอย่างจริงจังกับเรื่องนี้มาก “ฉันพนันกับแกเลย แกไม่กล้าแต่งงานกับเด็กนั่น!” เสียงคนเลี้ยงแกะเองก็เมามาย

“หุบปาก และออกไปได้แล้ว!” โอเวน คาเมรอนที่เริ่มเมามายกว่าแนะนำด้วยน้ำเสียงรำคาญอย่างสุดซึ้ง เพราะเขากำลังไต่สวนทบทวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นแม่บ้านของ 'เจ้าตัวเล็ก' ที่ลึกลับในกระท่อมกลางฤดูหนาวของเขา และเขาก็เกลียดการถูกขัดจังหวะ

“แกไม่กล้า!” คนเลี้ยงแกะขี้เมาคนเดิมพูด

“ไม่กล้าอะไร!” โอเวนฉุนเฉียวและยืนโงนเงน

“พนันกันไหม ถ้ามีใครเปิดประตูเข้ามาตอนนี้แกจะแต่งงานกับคนที่เปิดประตูเข้ามา” คนเลี้ยงแกะท้าทาย

“เดิมพันคืออะไร” ชายอีกคนหนึ่งถาม

“ปศุสัตว์ของฉันที่โรไลโอ! ที่มีฝูงแกะห้าร้อยตัว”

มีคนเมามายหลายคนฮือฮา และดูคล้ายจะสนใจรางวัลที่ระบุออกมานั้นอย่างไร้สติ

โอเวนกะพริบตา .. แกะห้าร้อยตัวนั้นมากพอที่จะใช้คืนท่านเคานต์ไรอัน ผู้ที่มั่นใจว่าสิงโตภูเขาแสนเชื่องของเขาฆ่ามันไปได้อย่างสบาย แต่ชายหนุ่มหุ่นล่ำยังไม่ได้ตอบอะไร .. ทันใดนั้น ประตูหน้าร้านเหล้าก็มีใครบางคนเปิดมันออกอย่างขี้อายและปิดอีกครั้ง แต่คนตัวสูงที่เมามายยังไม่เห็นว่าใครเข้ามา .. เขาไม่ได้มอง .. เขาถือแก้วเปล่าที่มีฟองและเป็นโฟม และกำลังชายตามองข้ามไหล่กว้างหนาของเขาเพื่อดูว่าบาร์เทนเดอร์เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย และจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเพียงพอจนยอดฟองโฟมจะฟูฟ่องอย่างข่มขู่ว่ามันจะท่วมมือของหัวหน้าคาวบอยตัวสูงหรือไม่ และใบหน้าที่จริงจังของโอเวนก็ค่อนข้างจะเข้าครอบงำจิตใจของเจ้าของบาร์เหล้าที่น่าสงสารอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อชายหนุ่มแห่งไร่ขนาดใหญ่ที่กำลังจะยกตัวเองจากเก้าอี้อีกครั้งและกำลังจะพุ่งเดือยเหล็กเงาวับของเขาไปที่บาร์ แต่จิตใจของเขาก็ถูกมอบให้กับการดำเนินการบางอย่างที่เกิดขึ้นของกลุ่มคนบางกลุ่มในขณะนั้น

“เฮ้ย มีคนเข้ามาแล้ว!” ขี้เมาคนหนึ่งในวงพนันหันมาพูด

“พับผ่า! เสียใจว่ะเพื่อน นั่นเด็กผู้ชาย” แล้วขี้เมาอีกคนหนึ่งก็พูดตาม

แต่ต่อจากนั้นเพียงครู่ก็มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นตรงมุมสว่างอย่างสลัวใกล้ประตู .. ผู้ชายครึ่งโหลรวมตัวกันที่นั่นโดยหันหลังให้กับโอเวนและพวกเขากำลังพูดคุยและหัวเราะ แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเสียงโห่ร้องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ และเสียงหัวเราะของพวกเขาบางคนก็เป็นเสียงคำราม 

โอเวนตรวจสอบบุหรี่ของเขาอย่างจริงจัง ซึ่งมันดับไปแล้ว เขาวางแก้วลงและหาไม้ขีดอย่างขยันขันแข็ง

“อ๊ะ ออกมากับฉันสักอันสิวะ!” หัวหน้าคาวบอยหนุ่มเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์กับกลัดไม้ขีดของเขาในมือ

"เจ้าหนู ดูดิ! ตัวแกเปียกไปหมดแล้วด้วยวิสกี้ แกไม่สามารถเลี้ยงวัวป่ารอบๆ นี้ได้ … ไม่เอาน่า อย่าเป็นไอ้งี่เง่าเลย!”

โอเวน คาเมรอนพบไม้ขีดของเขาแล้ว แล้วถือมันไว้โดยไม่จุดไฟ แต่สายตาคู่คมกริบกำลังจับจ้องดูความโกลาหลตรงนั้นจากคอนของเขาที่บาร์อย่างเริ่มไม่พอใจ

ก่อนออกมาก็เตือนแล้วใช่ไหมว่าในเมืองมีแต่ขี้เหล้าหยาบคาย ทำไมเธอไม่เชื่อเขาวะ 'เจ้าตัวเล็ก!'

เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสในคราบของเนลยืนตั้งตรงตระหง่านอย่างถือดี ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคาวบอยป่าเถื่อนที่เมามายกลุ่มหนึ่ง และดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะอธิบายในรูปแบบที่สุภาพและด้วยไวยากรณ์และเสียงที่ดัดให้ทุ้มของเธอเอง และเสียงกล่อมที่น่าจะเป็นอุบัติเหตุได้ส่งคำพูดไปยังคาเมรอนอย่างชัดเจน และทำให้เขาต้องหันมามองอย่างตั้งใจ

“ขอบคุณคุณสุภาพบุรุษ ผมไม่สนเรื่องความสดชื่นเลยจริงๆ ผมแค่เข้ามาหาเพื่อนที่สัญญาว่าจะค้างคืนกับผม เขากำลังจะเข้านอนแล้ว … ถ้าคุณต้องการ แต่ผมเหนื่อยเกินกว่าจะเข้าร่วมกับคุณ ผมขอให้สนุกนะครับ สุภาพบุรุษ”

“ผัวใครวะ! มาตามหาเมียมัน?” 

คนเลี้ยงแกะผู้ขบขันตะโกนด้วยความพยายามที่จะหาผลรวมของสิบสองและสิบสี่ และมีหลายคนส่งเสียงหัวเราะ

"หุบปากแกซะ และออกไป!" โอเวนสั่งอีกครั้ง เขาเน้นคำพูดของเขาโดยเอนตัวและเทของเหลวที่มียอดเป็นฟองโฟมที่อยู่ในแก้วของเขาให้เรียบร้อย 

“ใจเย็นๆ ไอ้แกะดำ!”

คนเลี้ยงแกะลืมทุกอย่างหลังจากนั้น แต่คาเมรอนผู้นั่งและยกรองเท้าติดเดือยของเขาขึ้นๆ ลงๆ ที่ด้านหน้าของบาร์ที่เน่าเปื่อยและยิ้มเยาะใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างมุ่งร้าย 

“ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะแยกชิ้นส่วนแกทิ้งทั้งหมด” เขาเร่งเร้าอย่างเหนื่อยหน่าย เสียใจกับเบียร์ดีๆ ที่เสียไปอย่างไม่สมเหตุสมผล “เลิกโวยวายได้แล้ว ฉันไม่อยากฟังอยู่ตรงนี้”

“แกจะต้องเข้ากับคนง่าย ไม่งั้นแกจะหยุดอยู่ไม่ได้ในเมืองนี้” 

คนเลี้ยงแกะเปล่งเสียงยืนกราน จับคนตัวเล็กราวเด็กชายไว้อย่างรุนแรงและพยายามดึงไปที่บาร์

"มาดื่มกันเถอะ!" เจ้าคนทึ่มพูด

“ท่านสุภาพบุรุษ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก!” เนลทักท้วง มองไปรอบๆ ตัวอย่างเศร้าสร้อย “ฉันไม่ดื่มสุรา ฉันต้องยืนกรานให้คุณหยุดทันที!” หนุ่มน้อยกำมะลอยืนกรานยืนยันอย่างมืดมน “ฉันหมายความว่าอย่างนั้น สาบาน”

และเมื่อมาถึงจุดนี้โอเวน คาเมรอนก็ตัดสินใจที่จะพูด 

“นี่ หลบไปทางนั้น!” เขาตะโกนก่อนจะผลักคนเลี้ยงแกะคู่ต่อสู้ไปข้างหนึ่ง “ปล่อยเจ้าตัวเล็กนั่น! นั่นคือคนของฉัน!”

เลดี้แคโรไลน์ได้รับการปล่อยตัว เธอสบตาโอเวนที่นั่นและหยุดการปฏิเสธต่อหน้าคาวบอยวัยคุณอาหน้านิ่งของเธอ

“มันเริ่มดึกแล้ว” โอเวนตั้งข้อสังเกตและมีร่องรอยประณามเล็กน้อยในน้ำเสียง “ผมคิดว่าคุณควรจะพาตัวคุณเองกลับไปที่ห้องของผม ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”

แคโรไลน์มองตรงมาที่เขา “แล้วคุณล่ะ?”

“อืม ผมคงยุ่งอยู่อีกสักพัก” เขาปฏิเสธ “ผมต้องเลียลูกปืนจอมโผงผางที่ชอบเข้าใจผิดเพราะอยากจะกินผมทั้งเป็น และผมก็ต้องจับตาดูเพื่อนของคุณที่ด้านหลังนั่นที่เขาชอบพูดถึงคุณ .. เนล มองมาที่ผมแล้วฟัง มันอาจดูเหมือนกับว่าผมจะต้องยุ่งอยู่กับการสะกดจิตให้คุณวิ่งกลับไปที่เตียงและอย่ามายุ่งเกี่ยวกับผมอีกคืนนี้”

“เรื่องไม่เร่งด่วนนักหรอก แต่ฉันจะรอจนกว่าคุณจะพร้อมกลับไปกับฉัน” 

แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสบอกเขาอย่างเงียบๆ แต่ดื้อดึง และด้วยการตัดสินใจว่าเธอจะพุ่งตรงมันเข้าไปหาโอเวนอย่างอดทน

โอเวน คาเมรอนไม่รู้ว่าเหตุใดจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่มันก็เป็นอย่างนั้น และเขาใช้มาตรการทันทีเพื่อบรรเทาความรู้สึกนี้ เขาหันกลับมาอย่างหงุดหงิดและใส่กุญแจมือคนเลี้ยงแกะที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีหัวใจต่อการสู้รบจริงๆ แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการถูกกล่าวหาอย่างมากและเกือบจะน้ำตาไหล 

“อ๊ะ หุบปาก!” โอเวนคำราม “เอ่อ เสริมอีกหน่อยว่าฉันจะเริ่มต้นและเรียนรู้มารยาทหยาบคายบางอย่างได้ แม้ว่าฉันจะไม่ต้องการมันอีกต่อไป แกได้ยินไหม”

“แกแพ้พนันฉันแล้วว่ะ!”

“พนันอะไร?” คราวนี้เนลเป็นฝ่ายถามโอเวนงงๆ แต่คาเมรอนมองคนเลี้ยงแกะอย่างแค้นเคืองก่อนจะตะโกน

“บาทหลวงมีมั้ยที่นี่” 

และดูเหมือนว่าบาร์เทนเดอร์จะหันไปทางชายเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในนั้นพอดีราวอัตโนมัติ .. ที่มุมห้องเกือบมืด มีชายที่แต่งกายคล้ายชาวสเปนผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น และโอเวนก็เดินตรงไปยังเขา .. เนลไม่ยักจะรู้ว่าเขาพูดภาษาสเปนได้คล่องจนถึงตอนนี้เอง ชายสองคนส่งภาษาเจรจากันเพียงครู่ ที่ดูเหมือนชายที่มีผ้าคลุมไหล่สีสดใสไม่ยินยอม โอเวนคว้าปืน ส่ายไปส่ายมาจนเนลต้องรีบยกมืออุดปากตนเพื่อกลั้นเสียงกรีดร้อง

และดูเหมือนผู้ชายทุกคนในซาลูนจะหันมามองดูที่พวกเขาอย่างฮือฮาและขบขัน ในขณะที่คนเลี้ยงแกะที่เงียบเสียงหัวเราะแล้วยืนทำหน้าเหลอหลา

โอเวนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก เขาลากแขนชายคนนั้นที่ไม่ค่อยจะยินยอมให้เดินตรงมาที่เธอ ถูลู่ถูกังอีกทั้งยังส่งภาษาสบถสาปแช่งกันรัวๆ พวกเขามายืนโต้ตอบกันต่อหน้าต่อตาเธอแล้วบังคับให้ชายคนนั้นที่หันมาพูดใส่เธอรัวๆ ในภาษาที่เลดี้แคโรไลน์ไม่มีทางเข้าใจ แต่พอเธอขอให้ชายหนุ่มสหายของพ่ออธิบายความเป็นไปให้เธอเข้าใจด้วย แต่เขาก็ไม่ยอมเอ่ยปากอะไรเลย และพอชายสเปนหยุดพูดด้วยเสียงรัวๆ หัวหน้าคาวบอยที่เมามายก็หันมาหาเธอ บอกให้เธอพยักหน้า ซึ่งสาวน้อยก็ทำตามที่เขาสั่งอย่างงุนงงโดยไม่เข้าใจอะไรเลย จากนั้นคนตัวใหญ่คว้ามือซ้ายของเธอไปให้ชายคนนั้นตรวจสอบด้วยสายตา จากนั้นเขาก็ส่งภาษากันอีกระรัว และอีกเช่นเดิมที่เขาหันมาพูดกับเธอว่า

"เอาละเพื่อให้ทุกอย่างจบด้วยดี .. พูดคำว่า ... Si ... เร็วๆ มิสอเล็กซานเดอร์" 

โอเวนผู้เมามายยืนโงนเงนเอ่ยชื่อเธอเสียงเบาและเร็วปรื๋อ เร่งเร้าเธอและทำท่าจะส่ายเจ้าโคลท์มาทางเธอซึ่งทำเอาแคโรไลน์ตกใจเป็นอย่างมากจนเธอรีบยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาชูเสมอบ่าแล้วพูดคำว่า "Si" 

“ดีมากที่รัก!” แล้วพอโอเวนพูดชื่อและนามสกุลของเธอกับชายคนนั้น และชาวสเปนก็พูดทวนชื่อของเธอรัวๆ เร็วจนฟังแทบไม่ทันเพราะกลัวตายจากเจ้าโคลท์ที่หันมาจ่อหัวเขาอยู่ไม่วาง

โอเวนหยิบแหวนที่แม้แต่แคโรไลน์ก็ไม่เคยรู้ว่าเขามีมันได้อย่างไร และเสกมันขึ้นมาได้ตั้งแต่เมื่อไรมาสวมที่นิ้วนางให้เธอ

ด้วยอาการลุกลน แคโรไลน์ตัวน้อยพยายามสะบัดมือออกแต่คนเมาที่โงนเงนไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือง่ายๆ เขาพยายามสวมแหวนที่หลวมต่อนิ้วน้อยๆ อย่างผิดๆ ถูกๆ แต่ก็สำเร็จเสร็จสรรพแล้วเขาก็ก้มลงจูบมือเล็กๆ ของเธอ

แคโรไลน์ตัวชาวาบ หัวใจสั่นระรัวเพราะเกิดมาเธอไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้มาก่อน

“เฮ้ย! แก ไอ้ขี้โกง แกแต่งงานไม่ได้ นั่นมันเด็กผู้ชาย!” 

ในตอนนี้เองที่คนเลี้ยงแกะที่มึนงงและตื่นตะลึงเพราะไม่รู้ภาษาสเปนก็พึ่งนึกได้ว่าควรตะโกนใส่โอเวนเพื่อคัดค้านการแต่งงานแบบฟ้าแลบของทั้งคู่

“หุบปาก! ใครก็ไม่มีสิทธิ์ค้านแล้ว แกแพ้พนัน เอาล่ะ ตอนนี้ฉันแต่งงานกับคนแรกที่เปิดประตูเข้ามาในบาร์ตามข้อตกลง และแกะห้าร้อยตัวจะเป็นของฉัน”

“อะไรกัน!!” เลดี้แคโรไลน์เองก็ยังเกือบจะเผลอสบถคำหยาบคาย

“ไม่มีทาง ไอ้ก้อนอึขี้โกง!”

และมันก็เป็นความจริงที่บางครั้งเรื่องมโนสาเร่ชุลมุนก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในฝูงคนที่เมามาย 

โอเวนกระโดดลงมาจากบาร์เพื่อให้คำขู่ของเขาดีขึ้น หลังจากนั้นสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดความสับสน .. คนอื่นเริ่มกระสับกระส่ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเสียงโห่ร้องก็ดังมากจนได้ยินเสียงออกมาตามถนนอย่างง่ายดาย และเกือบจะว่างเปล่าในร้านเหล้าตรงอื่นเพราะทุกคนต่างออกมายืนมุงดู

“หยุดนะโอเวน! อ๊ะ! อย่ายิงส่งเดช เดี๋ยวจะโดนคนอื่น” 

เนล คาเมรอน ที่น่าจะเป็นเจ้าสาวหมาดๆ ตะโกนร้องด้วยอาการเกือบกรี๊ดท่ามกลางความโกลาหล และเธอเหลือบตาไปเห็นใครบางคนส่ายปืนอยู่ตรงหน้าต่าง แต่โอเวน คาเมรอนกำลังสาละวนจับหน้าชายคนหนึ่งไว้แน่นให้แนบกับผนังไม้อีกด้าน และบางครั้งก็ใช้หมัดของเขาทุบมันอย่างนุ่มนวลโดยมีแคโรไลน์ คาเมรอนในคราบของเนลซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงแขนและเธอกำลังยืนมองภาพชุลมุนทั้งหลาย หันซ้ายหันขวา ขณะที่มีคนเลี้ยงแกะและขี้เมาอีกคนก็ถูกจับได้ ที่คอ โดยหัวหน้าคาวบอยตัวใหญ่ล่ำบึกที่เอื้อมมือทั้งสองข้างจับพวกเขาไว้ จากนั้นชายทั้งสองก็ถูกจับเอาหัวโขกกันอย่างเคร่งขรึมจนพวกเขาร้องหอนอย่างโหยหวน

“ไอ้เชี่ย! เมียแกสั่งว่าอย่ายิงไงวะ”

ขี้เมาคนหนึ่งโวยวายหยาบคาย เมื่อมีเสียงปืนดังปังซึ่งก็ไม่รู้ว่าจากปืนของใคร แต่เนลก็โดนคุณอาคาวบอยของเธอกระโจนข้ามบาร์มาดึงให้เธอหลบอยู่ข้างหลังร่างที่ใหญ่โตของเขาอย่างปกป้องเต็มที่ และแม้มันจะเป็นเพียงชั่วแว่บวินาทีเดียวโดยเธอแน่ใจว่าตนไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ ดูเหมือนเขาจะห่วงเธอมากจากเสียงปืนที่ดังจนผิวสีน้ำตาลไหม้ของเขาขาวซีด ในขณะที่บาร์เทนเดอร์เพิ่งจะโยนคนเลี้ยงแกะอีกคนออกไปทางประตูหลังได้สำเร็จ และเขาก็กำลังเช็ดมือและรู้สึกพึงพอใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายจบลงและใครๆ ก็สามารถบอกได้อย่างแน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้น 

“ฉันน่าจะไล่เขาออกไปตั้งนานแล้ว ตอนที่เขาเริ่มสร้างปัญหา” 

เจ้าของบาร์ตั้งข้อสังเกต โดยไม่มีการเจาะจงจะพูดกับใครเป็นพิเศษ 

โอเวนที่พอถึงตอนนี้คงรู้สึกเบื่อหน่ายมากกว่าที่จะเมตตา เขายืดตัวขึ้นและเนลก็รู้สึกถึงกลไกที่ทำให้เขาสวมหมวกของเขา 

ดวงตาของเขาสบกับความเศร้าโศก สับสน งุนงงของเลดี้แคโรไลน์ที่ตอนนี้น่าจะยังไม่รู้สึกตัวว่าเธอโดนเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว

“ทิ้งฝูงชนที่ดื้อรั้นนี้ไว้” เธอระเบิด “และไปที่ห้องของเรา นี่มันหลังห้าทุ่มแล้ว!” 

แม้แคโรไลน์จะรู้สึกราวกับว่าปัจจุบันของเธอไม่น่าพอใจแต่จำเป็น และราวกับจะทำให้โอเวนพอใจ แต่เธอแน่ใจว่าเธอน่าจะสามารถรักษามันไว้ได้โดยไม่มีกำหนด

โอเวน คาเมรอนยังยืนนิ่ง จ้องมองอีกฝ่ายและสิ่งที่เธอทำในขณะที่เนลเองก็จ้องมองเขาและสงสัย

มีบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวใจของหัวหน้าคาวบอยและค่อนข้างเปลี่ยนชะตากรรมของเขาไม่น้อยเลย

และเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร .. หรือเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ในขณะนั้นเขาตระหนักได้เพียงความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่แคโรไลน์ยังคงมีกิริยาสุภาพ พูดจาถูกต้อง นัยน์ตาสีฟ้าสดใสคมคาย และ…เอ่อ…น่ารัก

โอเวนกำลังคิดว่าเขาควรจะยืนทุบหัวชายสองคนซึ่งถือว่าค่อนข้างรับมือยาก .. ซึ่งแน่นอนว่าคนหนึ่งน่าจะเป็นคนเลี้ยงแกะขี้เมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "นักแสดงที่ไม่ดี" เมื่อพูดถึงการชก 

และในขณะที่เลดี้แคโรไลน์เองก็เป็นเด็กคาวบอยฝึกงาน; ตัวเล็ก หัวดื้อที่น่าปกป้อง

แต่ .. เอ่อ .. ก่อนหน้านี้โอเวน คาเมรอนรู้สึกสงสารเธออย่างน่าขบขัน และสัญชาตญาณทั้งหมดทั้งมวลของเขาก็คือการปกป้องเธออย่างแรงกล้า แต่ตอนนี้เขาอาจรู้สึกว่าน่าจะไม่มีวันต้องรู้สึกแบบนั้นอีก (ก็ได้มั้ง?) .. เพราะดูเหมือนว่าสาวน้อยหัวรั้นของเขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบและเยี่ยมยอด

ที่ข้างตัวเธอมีขี้เมาคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ และที่เป้าตาข้างหนึ่งของเขาก็บวมปูด .. เขียวปั๊ดจากการถูกกำปั้นเล็กๆ ชก

“เราไปกันเลยไหม?”

แคโรไลน์ทรงตัวอีกครั้งและยังทำได้ดีงาม ถึงเวลานี้ทุกคนในห้องต่างจับตามอง แต่เธอมีสายตาที่มองแต่เขาเท่านั้น

“มันจะเป็นอย่างที่คุณพูด” โอเวนยอมรับอย่างนอบน้อม

มาดามคาเมรอนตัวน้อยส่ายหน้า ลากผู้ชายที่ถูกชกจนตาบวมไปที่เก้าอี้แล้ววางเขาลงอย่างไม่ค่อยอ่อนโยนนัก 

“ดูซิว่าพวกคุณจะประพฤติตนได้ดีหรือไม่” 

เธอแนะนำด้วยน้ำเสียงที่ท่านเคานต์พ่อของเธอน่าจะเคยใช้กับเด็กรั้นๆ สองคน

“คุณทำตัวหยิ่งทะนงและน่าขายหน้ามาทั้งคืน เป็นคุณเองนะที่ชี้นำฉันผิดๆ วันนี้คุณไม่เคยทำตัวเหมือนสุภาพบุรุษตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ ฉันควรจะเสียใจที่คิดว่าพวกคุณไม่น่าจะโง่เง่า หยาบคาย และไร้อารยะเช่นนี้” 

เลดี้ในคราบเด็กหนุ่มพูด แต่สายตายังคงจ้องมาที่ใบหน้าคมเข้มของโอเวน คาเมรอนก่อนจะพยักหน้าไปที่ประตู และเขาก็ก้มลงอย่างไม่มั่นคงสำหรับหมวกที่ผล็อยตก และเขาก็ค้นพบมันได้ที่ใต้ฝ่าเท้าในหนนี้ ก่อนจะเดินตามภรรยาที่เขาเพิ่งสวมแหวนให้และตามเธอออกไปด้วยท่าทางสุภาพอย่างที่สุด

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

11. ร่างสัญญา…ที่ปรึกษาพิเศษ

 

โอเวน คาเมรอนลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แต่ด้วยทุกความรู้สึกในระดับปกติของการเตรียมพร้อมซึ่งเป็นแบบที่เขาควรจะเคยคุ้นที่เกิดจากการหลับใหล .. เขานอนหลับอย่างหนักและเขาจำได้ว่าไม่ฉลาดนักในการดื่มวิสกี้สี่แก้วแล้วเปลี่ยนเป็นเบียร์อย่างขาดความรับผิดชอบ 

ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าและเขากำลังนอนอยู่กลางเตียงพร้อมกับรองเท้าบู๊ตที่ห้อยอยู่เหนือขอบเตียง ผ้าพันคอสีแดงถูกโยนทับอยู่บนใบหน้าเขา และเขาก็สงสัยว่าทำไม .. เขามองไปรอบๆ ห้องและพบว่าเลดี้แคโรไลน์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกขนาดใหญ่ 

ซึ่งมันใหญ่พอสำหรับคนตัวเล็กอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันก็ไม่น่าจะสบาย เพราะเท้าของเธอวางไว้บนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง และมือของเธอก็วางไว้ที่ใต้เข่าที่พับอย่างน่าที่จะทำให้เกิดการทรมานจากเหน็บชาและอย่างน่าเวทนามาก เธอกำลังหลับโดยที่หัวของเธอพิงอยู่บนพนักพิงและใบหน้าของเธอแม้จะงดงามมากกว่าที่เคย แต่ก็แลดูจะอ่อนระโหยมากขึ้น 

โอเวนสังเกตตัวเองได้ว่าดวงตาของเขาจมลึกและมืดสนิท เขาลุกขึ้นนั่งทันที และเหวี่ยงผ้าคลุมออกอย่างฉุนเฉียว 

“สาปแช่งฉันเถอะ สำหรับไอ้ก้อนขี้เมา!” เขาอุทานและทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ “นี่ เนล” เพื่อช่วยชีวิตเธอ เขาไม่สามารถละเว้นจากการพูดกับเธอได้ “ทำไมไม่ตะโกน ทำไมไม่เตะผมให้ตื่น แล้วลากผมลงจากเตียงของคุณ คุณให้ผมทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร และคุณทรมานตัวเองทั้งคืน … โอ้ นี่เป็นความทรงจำที่แย่จริงๆ!”

แคโรไลน์กลับมาจากความฝัน เธอลืมตาและจ้องเขม็ง

“คุณช่างไม่อดทนเลยตอนที่ฉันพยายามจะปลุกคุณ” เธออธิบายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “และคุณมีวิธีวางมือบนปืนพกของคุณเมื่อฉันยืนยันจะลากตัวคุณลงจากเตียง แต่ดูเหมือนว่าคุณจะพาฉันไปเป็นคนเลี้ยงแกะและไม่เป็นมิตรมาก ดังนั้นฉันคิดว่าฉันควรจะปล่อยให้คุณอยู่อย่างที่เป็นอยู่ แต่ฉันเกรงว่าคุณจะไม่ค่อยสบายนัก และคุณสามารถนอนพักระหว่างผ้าปูที่นอนได้ดีกว่ามาก คุณไม่คิดอย่างนั้นหรอกหรอ?” เธอเสริมอย่างเศร้าสร้อย “โอ้! แต่อย่างน้อยก็ดีหน่อยที่คุณยอมให้ฉันถอดรองเท้าให้คุณด้วย”

และก่อนที่แม่สาวตัวน้อยจะลืมมันไป เธอถอดแหวนหลวมๆ แล้วยื่นให้ และโอเวนก็ถึงกับหน้าแดงเพราะอับอาย

“เอ่อ นี่! เอาแหวนของคุณคืนไป และทีหลังอย่ามางี่เง่ากับฉันอีก”

โอเวน คาเมรอนเก็บแหวน นั่งลงที่ขอบเตียง และจ้องไปที่เลดี้แคโรไลน์อย่างเป็นนามธรรม บางทีเขาอาจไม่เคยรู้สึกรังเกียจตัวเองอย่างที่สุดมาก่อนหรือตระหนักดีถึงข้อบกพร่องของเขาอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ และมันทำให้เขาย้อนไปนึกถึงบิดาของเธอ มองย้อนไปในอดีตของเธอกับเขาที่แม้แต่เด็กผู้หญิงก็ไม่เคยถนอมน้ำใจเขาอย่างสมบูรณ์เท่ากับชายที่อายุยืนยาว ผอมแห้งและผิดหลักไวยากรณ์จากอังกฤษเช่นท่านเคานต์อเล็กซานเดอร์ เอ็ม. ไรอัน

“ผมเข้าใจ ผมแน่ใจในที่ที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ เนล” เขาพูดช้าๆ และหยุดนิ่ง รู้สึกถึงกลไกที่ก่อให้เกิดควันบนใบหน้า “โอเวน คาเมรอนผู้ไม่มีคำจะพูดสำหรับตัวเขาเอง แต่ถ้าคุณไม่ป่วยและรังเกียจกับปรากฏการณ์ที่ผมสร้างขึ้น คุณจะวางใจผมได้จนนรกเป็นลานสเกต ผมนี่แหละ ตลอดไปนี้ ผมมีคำสัญญาอย่างชัดเจน”

มันไม่มากนัก แต่มันก็ยืนหยัดเพื่อคำสาบานของเขาว่าจะจงรักภักดี และสาวน้อยแห่งออชินโคลสก็นั่งตัวตรงและฟัง 

“ฉันหวังว่าคุณจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอกล่าว “ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ต่อหน้าพ่อของฉัน และการล่อลวงคือ … เอ่อ .. แต่เราจะไม่พูดถึงมัน ฉันจะขอบคุณมากสำหรับมิตรภาพของคุณ และ...”

“ปลื้มปีติ!” โอเวนสูดลมหายใจ มีรอยยาสูบหกบนพรมที่ปูพรมสีซีดๆ ก่อนที่เขาจะเข้านอนเมื่อคืน “ขอบคุณ...นรก!”

เลดี้แคโรไลน์มองมาที่เขาครู่หนึ่งและอยู่เบื้องหลังความโหยหา แต่เธอไม่ได้พูดถึงมิตรภาพของโอเวน คาเมรอนอีกต่อไป .. ซึ่งเขาเองก็ควรทำเช่นกัน แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเมื่อเขาเริ่มต้นพูด

“คุณรู้จักนายบริสลีย์ ที่เป็นเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ข้างคุณใช่ไหม?” 

เลดี้แคโรไลน์เงียบไปครู่หนึ่งอย่างทบทวน เธอรู้เรื่องที่แม่เขียนจดหมายถึงเธอคร่าวๆ แม้จะไม่บอกอะไรตรงๆ แต่เด็กสาวก็จับความกังวลของแม่ได้ และพอจะปะติดปะต่อว่าบิดาของเธอกำลังเพี่ยงพล้ำกับเล่ห์กลคนเลวร้าย สับปลับและจอมหลอกลวง

โอเวนถือเอาความนิ่งเงียบของหญิงสาวเป็นคำตอบรับกับคำถามของเขาดื้อๆ และครั้งนี้เขาก็ตัดสินใจพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา

“ผมอยากให้คุณรู้ ว่าตอนนี้ผมกับเพื่อนชาวอินจุนของผมกำลังหาทางช่วยกันสืบหาหลักฐานการถูกฉ้อโกงของไร่ของคุณอยู่อย่างลับๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เนล เพื่อความปลอดภัยของคุณ ไร่อันเป็นที่รักของคุณตาของคุณ รวมถึงพ่อแม่ของคุณ และเนื่องจากไรอันโกรธผมมากที่เขาเข้าใจว่าสิงโตของผมทำร้ายแกะของเขาไปหลายตัว และอาจด้วยความเครียดจากแรงกดดันอื่นๆ นั่นจึงทำให้เขาไม่ยอมฟังผมอธิบายอะไรเลย ดังนั้น…ฟังนะ เลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลส .. คุณ-ต้อง-แต่งงาน-กับ-ผม .. แต่เพื่อความสะดวกสบายใจของคุณ เราจะแต่งงานกันเพียงแค่ในนาม และผมสาบานว่า ทุกอย่างที่ทำลงไปนั่นมันทำไปเพื่อความปลอดภัยของคุณและไร่ที่รักของคุณตาของคุณอย่างแท้จริง” โอเวนยืดตัวตรงและสูดลมหายใจแรงๆ อีกครั้ง ขณะที่เลดี้แคโรไลน์ยังคงนิ่งเงียบและทบทวน “ที่เมืองนี้มีทนายหลายคน ดังนั้นคุณสามารถร่างสัญญากับการแต่งงานและทรัพย์สินของคุณได้โดยที่ผมจะไม่ต้องเข้าไปแตะต้อง .. ถ้าคุณต้องการ เราจะหาตัวเขาได้ไม่ยากเย็นนัก”

และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาทั้งสองจึงนั่งห่างกันบน 'สำนักงาน' ด้านที่มีแดดส่องถึงของ 'สำนักงานการจดทะเบียนสมรส' ของโรงแรมซึ่งเคยเป็นร้านเหล้าด้วย และตอนนี้เมื่อพวกเขากลับกันมาที่ห้องพัก พวกเขายังได้พูดคุยถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เริ่มต้นจากการเปิดบทสนทนาของคุณนายคาเมรอน 

“มองมาที่ฉัน” เธอพูดกับสามีระหว่างรอยฟันซี่น้อยๆ ที่ขบเม้มบนริมฝีปากที่แดงสดของเธอ รู้สึกละอายใจบ้างนิดหน่อยที่เธอเพิ่งจะระลึกได้ว่า .. “อย่างน้อยๆ ฉันควรได้รู้ประวัติความเป็นมาของสามีตนเอง แม้จะเพียงในนามก็ตามที”

“มีหลายเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของผมที่น่าคลางแคลงใจ” คราวนี้โอเวนอธิบายอย่างเงียบๆ “แต่เชื่อเถอะว่าผมจะกล่าวแต่ความจริง .. ก่อนที่ผมจะอายุสิบสี่ ผมเคยอาศัยอยู่ภายในยี่สิบไมล์จากบ้านเกิดของผมเสมอ ผมมีพี่สาวและน้องชาย และ 'เนล' ที่ผมเรียกคุณตอนนี้ก็คือชื่อของน้องชายของผม พ่อและแม่ของผมเป็นเจ้าของฟาร์มเก่าแก่ขนาดกลาง และร้านค้าเล็กๆ ที่พวกมันจ่ายให้พวกเราได้ดี จากนั้นเมื่อแม่ที่เป็นสาวชาวอินเดียนแดงก็ป่วยและเสียชีวิตลง และสถานที่แห่งนั้นก็ดูไม่เหมือนเดิมสำหรับพวกเราในปีเดียวกัน มันมีการสร้างทางรถไฟผ่านเมืองและที่ดินที่พ่อของผมเป็นเจ้าของในตอนนั้นเรียกได้ว่ามันมีมูลค่ามหาศาล พ่อของผมมีทำเลที่ยอดเยี่ยมสำหรับร้านค้าสมัยใหม่ แต่เมื่อไม่มีแม่แล้วพ่อของผมที่รักแม่มากจึงยังไม่มีแก่ใจที่จะคิดจะทำธุรกิจอะไรอย่างนั้นในตอนที่สูญเสียแม่ไปใหม่ๆ ดังนั้น เขาจึงขายทุกอย่างออกไป ร้านค้า ที่ดิน ฟาร์มที่บ้านและทั้งหมดและเราก็ได้รับตัวเลขที่ดีมาก แต่ถึงกระนั้นพ่อก็ยังตัดสินใจที่จะออกไปเริ่มต้นที่อื่น แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น ผมจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านและมุ่งหน้ามาทางตะวันตกและตั้งใจที่จะสร้างฟาร์มปศุสัตว์ด้วยมือของผม และผมเชื่อเช่นนั้นมาตลอดว่าผมจะทำมันได้ดี ผมอยู่กับสนามแข่ง โยนบ่วง จนกระทั่งผมได้บังเอิญพบกับไรอัน หนุ่มขุนนางอังกฤษที่กำลังหลงทาง ผมยินดีพาเขามาที่ไร่ของคุณตาของคุณ และมีความสุขกับการที่ตอนหลังผมได้กลายมาเป็นหัวหน้าคาวบอยในไร่ของเขา … แต่ต่อมาเมื่อการคบหาสหายที่เป็นชาวอินเดียนแดงของผมพร้อมกับการเลี้ยงสิงโตกลายไปเป็นศัตรูของปศุสัตว์ในที่สุด มันทำให้ผมคิดว่าผมคงจะไม่มีวันกลับเข้าเมืองมาอีก แต่จนแล้วจนรอด สหายชาวอินเดียนแดงของผมเขาบังเอิญไปได้ยินแผนการร้ายกาจของบริสลีย์ที่จะฮุบไร่และปศุสัตว์ของคุณ ผมอดห่วงไม่ได้ แต่เมื่อพอผมไปพบไรอัน คุณพ่อของคุณแล้วเขาไม่เชื่อใจ ไม่ฟังผม … แต่ไม่ว่าจะอย่างไร .. พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน แต่ตอนนี้เขาและครอบครัวของเขากำลังตกอยู่ในอันตราย จะให้ผมนิ่งดูดาย ผมคงทำไม่ได้จริงๆ” 

เขาหยุดพูดแต่เมื่อพบว่าเธอยังนิ่งเพื่อที่จะฟัง ดังนั้นเขาจึงพูดต่อไปอีก 

“บริสลีย์เฒ่ามุ่งมั่นจะให้คุณแต่งงานกับลูกชายของเขาให้ได้เพื่อหวังยึดครองฟาร์มของคุณผ่านการสมรส เพราะฮัลสั่งเสียเอาไว้ว่าถ้าคุณแต่งงาน มีทายาท ไร่ออชินโคลสนี้ก็จะเป็นของคุณและทายาทของคุณ” โอเวนกล่าวโดยสรุป “เอ่อ .. คุณอาจจะคิดว่ามันแปลกและอาจฟังดูว่ามันจะย้อนแย้งสักนิด แต่ผมคิดถึงทางเลือกที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว และที่สำคัญในการดูแลคุณได้ง่ายกว่าและเพื่อสะดวกต่อการสืบหาหลักฐานความผิดของบริสลีย์ถ้าผมจะอยู่ในตำแหน่งสามีของคุณ โดยที่ยังไม่มีคนภายนอกรับรู้ โดยเฉพาะบริสลีย์ที่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าคุณหายตัวไปไหน .. อันที่จริง เขามีแผนจะลักพาตัวคุณไป แต่สหายของผมรู้ข่าวและนำมันมาบอกผมก่อน ผมจึงมาชิงตัวคุณตัดหน้าเขา และมันทำให้แผนของบริสลีย์พังจนทำเขาหัวเสียขนาดหนักจึงได้เผลอทำเรื่องโง่ๆ โดยการสั่งปล้นขบวนรถไฟขบวนที่คุณนั่งมาขบวนนั้น ซึ่งลูกน้องของเขาก็ได้ทิ้งหลักฐานที่จะสาวถึงตัวเขาเอาไว้เพียบ และตอนนี้เขากำลังโดนทางการไล่ล่าตัว เพราะสินค้าที่เขาปล้นไป ส่วนใหญ่นั้นเป็นของเหล่านายทุนที่มีเงินหนา และมีการซื้อเบี้ยประกันในการจี้ปล้น และพวกเขาก็ไม่คิดจะยอมสูญเสียสินค้าของเขาไปฟรีๆ ดังนั้นพวกเขาจึงลงขันกันเพื่อล่าโจร”

เลดี้แคโรไลน์ยังคงนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง พลางมองข้ามไปยังซียูทเวนตี้นายซาลูน ซึ่งแทบจะว่างเปล่าและค่อนข้างสงบ 

และเธอเองก็รู้ด้วยสิว่าทั้งคุณตาและคุณพ่อของเธอเองก็ต้องการให้เธอแต่งงานกับผู้ชายคนนี้

“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ในคราบของ..เนล งั้นสิ” คนพูดพยักหน้าให้ตนเองอย่างเข้าใจอะไรโดยง่าย

เพราะการใช้ชีวิตในสนามเป็นเวลานานทำให้ความเงียบเป็นเรื่องง่าย โอเวนสูบบุหรี่และไม่พูดอะไร

“คุณคาเมรอน” ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเลใจที่เคยใช้เมื่อเธอพบเขาครั้งแรก “ในเมื่อคุณบอกว่าเราจะแต่งงานกันแต่เพียงในนาม ใช่ไหม? และถ้าเรื่องของนายบริสลีย์จบลง เราก็จะหย่ากัน ใช่ไหม? เช่นนั้นต่อไปเราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ และในเมื่อคุณบอกว่าคุณรู้จักประเทศนี้ และทำงานด้านการเลี้ยงปศุสัตว์มาหลายปี...”

“มากกว่าสิบสอง” โอเวนเสริมแต่เธอไม่ทันสังเกตว่าเขาขยับตัวอย่างอึดอัด "ผมเปลี่ยนวัวตัวแรกเมื่อผมอายุสิบหก"

“ดังนั้นคุณต้องคุ้นเคยกับธุรกิจอย่างสมบูรณ์ ฉันยอมรับตามตรงว่าฉันไม่คุ้นเคยกับมัน ถึงแม้ว่าฉันจะมีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สันทัดและรู้จักมันดีเท่ากับคุณ และก่อนหน้านี้ฉันกับพ่อก็เคยคิดอย่างจริงจังที่จะเสนอตำแหน่งให้คุณเองในฐานะที่ปรึกษาพิเศษหากคุณต้องการ ในเมื่อตอนนี้ฉันแต่งงานกับคุณแค่ในนาม แต่ฉันต้องดูแลไร่ของคุณตาของฉันต่อ ใช่ไหม? ดังนั้น เกี่ยวกับมัน ฉันคงต้องการใครสักคนที่สามารถติดตามฉัน และป้องกันฉันไม่ให้เกิดความผิดพลาดที่น่าสังเวช ใช่ไหม? หลังจากที่รับมอบไร่แล้วฉันจะต้องการคนที่คุ้นเคยกับธุรกิจและจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของฉันโดยสุจริต และช่วยฉันในรายละเอียดจนกว่าฉันจะได้ความรู้เชิงปฏิบัติเกี่ยวกับมัน ซึ่งฉันคิดว่าฉันจะสามารถจัดการเรื่องดังกล่าวนี้ได้ เพื่อประโยชน์ของคุณเองและของตัวฉันเอง ตั้งแต่เริ่มแรก เงินเดือนก็จะเท่ากับที่ปกติจะจ่ายให้กับหัวหน้างานแต่มากกว่าที่คุณอาจเคยได้รับมันจากคุณตา … ซึ่งคุณจะพูดว่าอะไรนะ?"

สำหรับพื้นที่อันทรงคุณค่า แต่โอเวน คาเมรอนก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

12. ฝันกลางวัน

 

หลังจากนั้นก็ใช้เวลาหลายวันในการขี่ไปๆ มาๆ ที่เธอยังต้องอยู่ในคราบของเนลไปจนกว่าบริสลีย์จะถูกจับ หรือเมื่อเธอกลับถึงบ้าน จะมีการแต่งงานระหว่างเธอกับเขาโดยที่นายบริสลีย์จะตั้งตัวไม่ทัน 

และในการขี่นั้น เรียกได้ว่า แคโรไลน์สาวน้อยเลือดขุนนางผู้ดีอังกฤษก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของโอเวน หนุ่มลูกครึ่งอินเดียนแดงคนแดนเถื่อนอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจวิถีทางที่ห่างไกล และเขายังพูดสอนเธอได้ค่อนข้างง่ายเกี่ยวกับธุรกิจ 'การเลี้ยงโคป่าสำหรับตลาดตะวันออก' ซึ่งติดอยู่กับคำศัพท์ที่ทำงานหนักนั้น

เขาสามารถสอนเธอให้นอนห่มอานให้เรียบและไม่มีรอยย่น ตบอานและรัดให้แน่นโดยไม่ต้องจับที่ไหล่หรือที่ก้นของสัตว์ขี่ที่ทนทุกข์ทรมานมายาวนาน เธอสามารถเหวี่ยงตัวเองโดยไม่ทำให้ตัวเธอเสียหาย และพวกเขาก็ขี่ม้าไปตามทางที่ควรจะเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้พูดถึงความตั้งใจที่ซื่อสัตย์ของที่ปรึกษาที่เป็นความลับของเธอ

โอเวนผู้เคร่งขรึมนั่งโคลงเคลงอยู่เหนืออาน ขณะที่จิตใจของเขายังคงรู้สึกหนักอึ้งกับความคิดอันไม่พึงประสงค์ โดยเหลือบมองเพื่อนร่วมทางอย่างไม่มั่นใจสองครั้ง และก็เป็นสองครั้งที่เขาอ้าปากเพื่อพูด แต่ก็ต้องปิดมันลงอย่างเงียบๆ และหันกลับไปทางที่ไม่สม่ำเสมออีกครั้ง

เลดี้แคโรไลน์ ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณนายคาเมรอนไปแล้วหลังจากเซ็นทะเบียนสมรสและอีกรั้งสัญญาจ้างให้เขาเป็นที่ปรึกษาของฟามร์ปศุสัตว์ออชิโคลสที่โรงแรมในเมืองก่อนที่พวกเขาจะขี่มาออกมา .. สามสี่ชั่วโมงสำหรับการขี่ม้าพ้นเมืองเธอก็นั่งหน้าหงิกหน้างอบนอาน แต่ถ้าใครจะตัดสินจากใบหน้าของเธอ นั่นคงเป็นเพราะเธออาจจะหนาวจนตัวเย็นชา สายลมเย็นเหมือนจะพัดมาจากทางเหนือและพวกเขาต้องหันหน้าไปทางนั้น เส้นทางที่พวกเขาเดินไปตามทางนั้นแข็งและเมฆสีเทาที่สัญญาไว้ว่าฝนจะตก โหนกแก้มของเธอเป็นสีเข้ม และปลายจมูกของเธอก็เป็นสีแดงมาก น้ำตาวาววามอยู่ในดวงตาของเธอครู่หนึ่งและพวกมันก็จะถูกลมพัดพาไปจากตรงนั้น

“ตอนนี้เราอยู่ห่างจากเส้นทางสายเก่าตะวันตกที่เรานัดไว้กับโจมากแค่ไหน” เธอถามสามีในนามอย่างหงุดหงิด

“แค่ห้าไมล์เท่านั้น” โอเวนส่งเสียงเชียร์ 

“และใช่ สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่สามารถทำได้ดีกว่านี้” 

แคโรไลน์กระชับปกเสื้อของเธอให้สูงขึ้นอีกนิดหรือคิดว่าเธอทำอย่างนั้น และมองที่โอเวนอย่างสงสัย จากนั้น ราวกับว่าคำพูดธรรมดาๆ ทำให้สิ่งที่เขาคิดในใจจะพูดได้ง่ายขึ้น เขาก็หันมาหาอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ แต่โอเวนไม่ได้ตอบอะไร เขาคลำสายคาดบนเสื้อโค้ตหนังคูน พยายามดึงหมวกให้ต่ำลงและดูไม่มีความสุขโดยสิ้นเชิง เพราะเขากำลังนึกถึงเลดี้แคโรไลน์ อเล็กซานเดอร์ ออชินโคลสในวัยเยาว์ตอนที่เธอหลงมาเจอเขาที่กระท่อม และวิธีที่เธอบังคับให้เขาพกปืนไปด้วยเมื่อเขาตั้งใจจะทิ้งมัน 

เธอยังคงดูจะเป็นเธอเหมือนคนเดิมในแง่นั้น กล้าหาญ เด็ดขาด ฉลาดและเข้มแข็ง และยังพยายามทำให้เขาละทิ้งความปรารถนาของตัวเองอยู่เสมอ

และโอเวน คาเมรอนก็ปรารถนาอย่างคลุมเครือว่าการร่อนเร่พเนจรของเธอจะพาพวกเขากลับไปที่ไร่ออชินโคลสได้ง่าย แทนที่จะพาพวกเขาไปไกลกว่าเสมอ .. อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้เธอจะนั่งม้าอยู่ข้างกายเขา แต่เขายอมให้ตัวเองสงสัยว่าเธอเคยเล่นไพ่กับคนอื่นหรือเปล่า หรือเธอลืมเกมพวกนั้นไปแล้ว … และอีกหลายๆ อย่างที่เขาจำได้ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับเธอในวันวาน

จนต่อเมื่อพวกเขามาถึงเมืองที่นัดหมายแต่พวกเขาก็ยังไม่ได้เดินทางไปร่วมกับฝูง โอเวนยังมีธุระให้จัดการ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับความอบอุ่นและอาหารในโรงแรมที่สะดวก และเมื่อโอเวนกำลังคิดเรื่องการนอนหลับอย่างจริงจัง แคโรไลน์ คาเมรอนก็เข้ามานั่งข้างเขาอย่างเคร่งขรึม .. โอเวนลอบแอบมองดูเท้าที่มีรูปร่างสมส่วนงดงามของเธอที่มันมักมีผลกับเจ้าทิ่มของเขาบ่อยๆ โดยที่เธอไม่เคยรู้ตัว และแม้ว่าเธอจะเว้นระยะห่างจากรอยยิ้มเย้ยหยันของเขา แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามจะตั้งโจทย์คำถามของเธอ

“ฉันสงสัยมาตลอด คุณโอเวน ถ้าคุณเคยมีแผนของตัวเองเกี่ยวกับธุรกิจเลี้ยงปศุสัตว์ในวัยเด็กของคุณอย่างที่คุณเคยเล่า ซึ่งคุณอาจจะคิดว่ามันน่าจะดีกว่าของฉัน แต่คุณลังเลที่จะแสดง ถ้าคุณมี ฉันหวังว่าคุณจะรู้สึกอิสระที่จะ .. เอ่อ .. วางมันไว้กับเจ้าของบริษัทฝึกหัดเช่นฉันตอนนี้ และคุณอาจสนใจที่จะรู้ว่าฉัน 'ล้มเหลวในการเชื่อมต่อ' ใช่ไหม? .. ดังนั้นถ้าคุณมีความคิดใดๆ ที่…”

“โอ้ ผมเหนื่อยกับเรื่องพวกนั้นแล้ว” โอเวนโต้กลับในลักษณะที่เขาตั้งใจจะประชดประชัน 

“แล้วฉันหวังว่าคุณจะไม่ลังเล..” แต่เธอก็ค่อนข้างจริงจัง

“ฟังนะ เนล” เขาพูดขึ้นระหว่างไรฟันอย่างยอมจำนนคนตัวเล็กช่างตื๊อ “จำไว้ว่า เงินของคุณอาจจะมีมากพอที่จะเลี้ยงนกหงส์หยกสักกรงใหญ่ๆ และมันเป็นสิทธิพิเศษของคุณที่จะโยนมันทิ้งไปให้เหมาะกับตัวเอง .. เอ่อ แน่นอน ผมอาจฝันกลางวันว่าผมจะเริ่มต้นธุรกิจวัวอย่างไรดีถ้าผมเป็นเศรษฐี…"

“ฉันไม่ใช่เศรษฐี” มาดามคาเมรอนรีบแก้ไข “สองสามแสนก็ประมาณนั้น...” เธอขยับเปลี่ยนมาไขว้ขาอีกข้างแล้วมองเท้าที่ห้อยอีกข้างหนึ่งของเธอเล่น “ฉันน่าจะชอบแผนของคุณมากกว่า” เธอพูดเป็นนัยๆ อย่างอ่อนโยน “ให้คุณบอกฉันแบบนี้ ..เอ่อ.. อย่างที่คุณเรียกมันว่า .. ฝันกลางวัน”

โอเวน คาเมรอนเอนหลังพิงเก้าอี้ มองดูหมู่ควันบุหรี่ที่จับต้องไม่ได้พลางหลับตาลง เขาพบคำอธิบายของปราสาทในอากาศที่เขาสร้างขึ้นในวันที่มีแดดจ้า เมื่อฝูงวัวสองฝูงเล็มหญ้าอย่างสงบ หรือในคืนที่มีพายุเมื่อเขานั่งอยู่คนเดียวในกระท่อมซุงกลางป่าและเล่นไพ่คนเดียวกับสายลมที่พึมพำและคร่ำครวญ หรือเดินทางไกลเพียงลำพัง เมื่อเส้นทางเดินที่เป็นทางเรียบต่อหน้าเขาและทุ่งหญ้ากว้างออกไปไกลถึงเส้นขอบฟ้าอันไกลโพ้น และเมฆขาวลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือศีรษะของเขาและรอบๆ ตัวเขา ทุ่งหญ้าก็ร้องเพลง … และเขาก็เริ่มต้นพูดอย่างอิสระมากกว่าที่เขาตั้งใจจะทำเมื่อเธอเปิดหัวข้อนี้ในไม่กี่นาทีก่อน

“จำไว้ว่านี่เป็นเพียงความฝันกลางวัน” เขาเริ่ม “แต่ถ้าผมเป็นเศรษฐี หรือถ้าผมมีเงินสองแสนดอลลาร์ และสำหรับผม ฟังดูก็ไม่ได้ต่างกันมาก .. ผมจะเริ่มชุดวัวทันที แต่ผมจะไม่ซื้อ แต่ผมจะลงไปทางใต้สู่เท็กซัสและจะซื้อลูกวัวอายุสองปีมาเลี้ยงบนนี้ และปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระจากพื้นที่เปิดโล่งที่ดีที่สุดที่ผมรู้จัก และผมก็รู้จักลูกพีช อีกสักหนึ่งปีหรือประมาณนั้น ผมจะกลับไปทำแบบเดิมอีกครั้ง และจะเก็บมันไว้ในขณะที่เงินของผมงอกเงยออกมา ผมจะสร้างฟาร์มปศุสัตว์ที่บ้าน หรือที่ไหนสักแห่งบนเนินเขาที่มีน้ำมากมายและมีที่กำบังมากมาย และผมจะจ้างกลุ่มคนที่จะมาเลี้ยงวัว วางพวกเขาไว้บนหลังม้า จะไม่ลดความเคารพตนเองของพวกเขาทุกครั้งที่พวกเขาคร่อมขี่ม้า และแล้วผมก็ขี่ไปรอบๆ และดูตัวเองร่ำรวย และ…"

เขาหยุดจะพูดถึงความฝันของเขาต่อไปอีกอย่างเงียบๆ เพื่อวุ่นวายกับบุหรี่ของเขา

“แล้ว?” แคโรไลน์กระตุ้นเขาหลังจากนั้นครู่หนึ่ง

“แล้ว .. ผมที่แต่งงาน มีภรรยา มีลูก และผมจะเลี้ยงเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งเพื่อทำธุรกิจเมื่อผมแก่ตัวและอ้วน และขี้เกียจเกินไป … ขี้เกียจที่จะออกไปเดินเล่น”

แคโรไลน์ผู้ที่ยังไม่ชินกับสถานะคุณนายคาเมรอน และลืมไปว่าเธอจดทะเบียนและอยู่ในสถานะหญิงสาวที่สมรสแล้วกะพริบตาและใช้เวลาสามนาทีในการชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ จากนั้นเธอก็พูดอย่างขบขัน: 

“ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเด็กๆ ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่แต่งงานแล้ว .. แต่เพียงแค่ให้มันรวดเร็วต่อการตัดสินในส่วนอื่นๆ ของเรื่องนี้ .. ฉันจะบอกคุณว่ามันฟังดูดีและเป็นไปได้”

………. .⋆。♞˚

โอเวนบอกกับตัวเองว่ามันเป็นปีที่เปียกชื้นบนเส้นทางตะวันตกสายเก่า

จากทางเหนือของแม่น้ำที่มีสีแดงและตลอดไปจากด้านหลังของฝูงสัตว์ มันถูกน้ำท่วมโดยน้ำในแม่น้ำที่หนุนสูง .. ทีมของโอเวนนอนอยู่บนเรือแคนนูมานานเกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นเพียงกลุ่มเดียว เพราะมีฝูงสัตว์อีกห้าฝูงที่เป็นของบริษัทอื่นๆ ที่ก็กำลังรอให้น้ำลด .. โจบอกเขาว่ามีน้ำไหลบ่าเข้าฝั่งมาที่แม่น้ำสายนี้หลายวันแล้ว และเศษไม้ที่ลอยลงมาจะทำให้ฝูงวัวที่จะต้องว่ายน้ำข้ามมันไปเป็นอันตราย

โอเวนคาดว่าจะมาถึงที่นี่สักราวต้นเดือนมิถุนายน แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ มันก็ช้ากว่าเวลาไปสองสัปดาห์

แคโรไลน์สังเกตเห็นว่า โอเวน ผู้เป็นหัวหน้าของฝูงเริ่มร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่พูดอะไรเลยหลังจากที่รับฟังรายงานของโจ คนเลี้ยงวัวคนอื่นๆ ที่นอนล้อมรอบที่หลบภัยซึ่งมีฝูงสัตว์อยู่บนเส้นทางนั้น และพวกเขาจะไม่ได้ยินอะไรจากคนของพวกเขา แต่จากประสบการณ์และความมั่นใจในทีม โอเวนเดาได้ว่าสาเหตุมาจากน้ำ 

โอเวนส่งคนไปตู้ไปรษณีย์เพื่อไปรับเสบียง และสอบถามเส้นทางของฝูงซึ่งให้แน่ใจว่าจะยังไม่มีฝูงไหนผ่านมาบนเส้นทางนี้ ที่ดูเหมือนหัวหน้าฝูงจะร้อนใจจนแทบรอไม่ไหว เนื่องจากเขารู้ดีว่าเขาและไรอันกำลังมีผู้ซื้อที่คาดหวังอยู่ในมือ และความล่าช้าในการปรากฏตัวของฝูงสัตว์อาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับผู้ซื้อได้มาก

เนลยืนอยู่เคียงข้างเขา เฝ้ามองดูฝูงวัวที่ดูดีราวกับผ้าไหม ซึ่งเธอแน่ใจว่าการได้หยุดพักนั้นช่วยชุบชูพวกมัน ม้าอยู่ในสภาพเรียบร้อย เมื่อพิจารณาจากสภาพอากาศที่เปียกชื้น โอเวนมีโคสองและสามฝูง จากนั้นพวกเขาก็ออกจากเท็กซัสตะวันตกพร้อมพวกมันราวกว่าสามหมื่นสองร้อยตัว และไม่มีฝูงไหนที่จะสามารถนับได้มากไปกว่านี้นอกไปจากฝูงปศุสัตว์ของออชินโคลสที่โอเวนนำมา

หัวหน้าคาวบอยหนุ่มพาเนลเข้าไปในแคมป์ที่แสนสบายตั้งแต่หัวค่ำ สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดอยู่ในมือ ไม้ น้ำ และหญ้า คนเลี้ยงวัวในสมัยนั้นภูมิใจในเครื่องแต่งกายของพวกเขา และท่านเคานต์ไรอันก็เป็นคนมีรสนิยมและอะลุ้มอล่วยมากพอ

เมื่อมีวัวอยู่ในมือ การดื่มก็หมดปัญหาใดๆ ดังนั้นวิธีเดียวที่โอเวนจะแสดงให้เห็น ก็คือการนำกล่องซิการ์มาให้พวกเหล่าคาวบอย ซึ่งเขาจะต้องนำซิการ์เหล่านั้นมาจากเท็กซัสแน่นอน เพราะมันถูกห่อด้วยสำเนายี่ห้อดัง ประทับตราว่าเป็นของเดือนเก่าและบรรจุอยู่เต็มห่อ

ในคืนนั้นรอบๆ แคมป์ ควันจากซิการ์เหล่านั้นม้วนตัวเป็นเมฆ เมื่ออาหารเย็นสิ้นสุดลงและเวรยามก็ถูกจัดวางไว้สำหรับคืนนั้น 

สำหรับชายผู้ซื้อวัวคนนี้ เขาอาศัยอยู่ในแคนซัสซิตี้ ที่จะมารับซื้อวัวที่ดีของปศุสัตว์ออชินโคลสหลายครั้งตลอดมา

เนลและโอเวนรวมถึงคาวบอยทุกคนต่างก็ชื่นชอบมิตรสหายชายผู้ซื้อวัวผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาเป็นนักพูดที่น่าสนใจ ในขณะที่เขาก็ยังคงเป็นคนเมือง แต่เขาก็มักจะผสมผสานเข้ากับเหล่าคาวบอยด้วยเสรีภาพบางอย่าง ละทิ้งสิ่งที่ง่ายและเป็นธรรมชาติ และทุกคนต่างก็ค่อนข้างรู้สึกเสียใจที่ในวันรุ่งขึ้นเขาและชายชราจะต้องเดินทางจากพวกเขาไป

มันเป็นคืนที่เหมาะ .. ดวงดาวนับล้านดวงกระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้า และดูเหมือนจะยังไม่มีใครยอมนอน

และแล้วการเล่านิทานรอบกองไฟก็ดำเนินไปตามลำดับจากชายชราที่เขาเล่าเรื่องได้สนุกและมอบความรู้เก่าๆ ที่มีได้มาก

“คืนนี้คุณจะให้ฉันไปเฝ้าอะไร” เนลกระซิบถามหัวหน้าคาวบอยและเป็นที่ปรึกษาของไร่ตัวโตเมื่อคิดว่าทุกคนหมดเรื่องจะเล่าหน้ากองไฟ

“เรามีทีมแล้ว” โอเวนเกริ่น “ถ้าคุณกังวลหรือเพื่อจะทำอะไรสักอย่างสำหรับคืนนี้ แต่ผมได้บอกให้เบ็นจัดเตียงให้คุณ และดูว่าคุณจะเข้าไปนอนได้อย่างปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย”

แต่อย่างดื้อดึง เนลหันไปทางอินจุน; โจ

“สมัยเด็ก ฉันได้ยินคุณตาของฉันเล่าเรื่องของชาวเชอโรกีเหล่านั้น” เนลกล่าว “พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในจอร์เจีย เป็นคนอินเดียนแดงพวกนั้น พวกเขาต้องเป็นคนซื่อสัตย์แน่ๆ เพราะคุณตาของฉันชอบเล่ายามมีแขกมาบ้านว่า ครั้งหนึ่งในรัฐเก่า ขณะที่พวกเชอโรกีอาศัยอยู่ที่นั่น คุณตาเคยจ้างคนในเผ่าของพวกเขาให้นำทางไปที่ภูเขา มีทางผ่านภูเขาที่ใช้และรู้จักเฉพาะชาวอินเดียนแดงเหล่านี้ คุณตาของฉันใช้เวลาหกสัปดาห์ในการเดินทางไปมาและดูแลธุรกิจ และเล่าว่าเขาได้จ้างคนนำเที่ยวทั้งหมดเป็นเงินสี่สิบดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขหนึ่งคือ พวกเขาต้องจ่ายเงินล่วงหน้า .. เช้าคือกำหนดของจุดเริ่มต้น และคุณตาของฉันก็พาคุณลุง ที่เป็นลูกชายคนโตของเขาไปด้วย คุณตาบอกด้วยว่าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์”

“ไม่แปลกหรอก” โจพูด “ถ้าคุณไว้ใจผู้ชายหรือมั่นใจในตัวเขา เขาจะไม่ทรยศคุณ”

“ผมจะไม่ลอง เพราะผมพอใจมากพอที่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรโดยไม่ต้องทดสอบ” โอเวนกล่าวพร้อมกับจุดซิการ์มวนใหม่

“เมื่อไม่กี่ปีก่อนเป็นช่วงที่การเลี้ยงแกะเฟื่องฟู และจนทุกวันนี้ทุกคนคลั่งไคล้แกะ” อินจุนหนุ่มเสริม “ทำไมคุณถึงไม่เคยเล่าประสบการณ์ที่คุณมีครั้งหนึ่งในหมู่โจรจาระบี”

“ไม่มีอะไรตลกสำหรับผม” โอเวนตอบ “และผมเคยบอกกับตัวเองไม่ควรพูดถึงพวกเขาซ้ำสอง”

“อ๊ะ! ทำไม บอกฉันสิ คุณโอเวน” เนลกระตือรือร้น “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ โปรดอย่าทิ้งเรื่องเล่าของคืนนี้ไป”

“อืม” โอเวนตั้งท่าจะปฏิเสธแต่เมื่อสบตาสีฟ้าคู่โต มันเกินต้าทาน และก็นับเป็นอีกหนที่เขาต้องยอมที่จะเล่าโดยสุภาพ

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

13. เรื่องเล่าข้างกองไฟของสหายคาวบอย

 

“นานมาแล้ว เมื่อหลายปีก่อน แต่เหตุการณ์นั้นชัดเจนมากในความคิดของผม; ผมทำงานเพื่อรับค่าจ้างหนึ่งเดือน จากนั้นตัวผมเองที่กำลังต้อนฝูงสัตว์ออกจากไพน์แชโดว์ ที่ผมรับตำแหน่งหัวหน้าคนงานให้ท่านผู้พิพากษาอัล ออชินโคลส ผมได้ทำสัญญากับฝูงสัตว์ที่อยู่ห่างไปประมาณสี่ร้อยไมล์ทางตอนใต้ของฟาร์ม สองสัปดาห์ก่อนผมส่งเสื้อผ้า เกวียน ม้า และคนของฟาร์ม แต่ผมถูกกันไว้ข้างหลังเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าวัว ก่อนวันที่ผมจะเริ่มต้นเดินทาง คนของผมดึงเงินออกจากธนาคารมา 28,000 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนบัตรขนาดใหญ่ พวกเขาเดินสายไปข้างหน้าและได้ว่าจ้างคนนำทางเพื่อพาผมออกจากสถานีที่ผมจะลงจากรถไฟไปยังฟาร์มปศุสัตว์อีกแห่งหนึ่งที่ห่างไปอีกราวประมาณเก้าสิบไมล์

ผมจำได้ว่าผมซื้อชุดหนังตัวตุ่นซึ่งเป็นที่นิยมมากในตอนนั้น ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าถือใบเล็กๆ และมันบรรจุเพียงปืนหกกระบอก ผมซื้อหนังสือมาอ่านบนรถไฟ มีเงินคาดเอวไว้อย่างปลอดภัย และเริ่มต้นด้วยสีสันที่พุ่งไปราวจะบินได้ ทางรถไฟวิ่งผ่านภูมิประเทศที่น่าเบื่อ ไม่คุ้มค่าที่จะมองอีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นผมจึงอ่านหนังสือเล่มใหม่ของผม. และเมื่อผมไปถึงสถานี ผมก็พบว่ารถม้ากำลังรอผมอยู่ .. แผนการคือผมต้องนั่งรถไปอีกครึ่งทาง และพักค้างคืนที่ไร่แห่งหนึ่ง.

คนขับรถม้ายืนยันที่จะออกรถทันที โดยบอกผมว่าเราจะไปถึงเมืองที่ผมต้องไปได้ภายในเวลาสิบนาฬิกาในคืนนั้น ซึ่งเท่ากับการเดินทางของผมครึ่งหนึ่ง .. ผมมีที่นั่งสองที่นั่ง ขณะที่มีชาวเม็กซิกันสองคนบนเบาะหน้า ส่วนเบาะหลังว่างเปล่า .. ครั้งหนึ่ง ขณะเราอยู่บนท้องถนน ผมสนใจตัวเองจนเกือบลืมไปว่าตอนนั้นผมมีเงินของคนอื่นที่อยู่กับตัวผมเอง เย็นวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ผมไปถึงฟาร์มปศุสัตว์ขนาดเล็กๆ ที่ซึ่งผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการเปลี่ยนม้า ดื่มกาแฟ และอาหารกลางวันเบาๆ

ก่อนออกไปผมสังเกตเห็นม้าตัวหนึ่งผูกติดกับต้นไม้ด้านหลังบ้านในระยะหนึ่ง และขณะที่พวกเรากำลังจะซื้อม้าจำนวนหนึ่ง ผมเดินกลับมาและมองดูม้าตัวนี้อย่างละเอียด เขามีสีของเครื่องหมายที่แปลกประหลาดมากในแผงคอของมัน ดังนั้นผมจึงถามหาเจ้าของม้า แต่พวกเขาบอกผมว่าตอนนี้เขาไม่อยู่ มันเริ่มค่ำแล้วเมื่อเราเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง 

ตอนเย็น อากาศอบอุ่นและร้อนอบอ้าว และฝนกำลังตกหนัก ผมกำลังเดินทางไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเมื่อผมรู้ว่าเราออกจากถนนใหญ่และกำลังชนกันบนถนนสายย่อย ผมถามคนขับม้าถึงเหตุผลนี้ และเขาอธิบายว่ามันเป็นทางแยกและเป็นการลดระยะทาง ซึ่งนี่จะทำให้เราประหยัดไปได้สามไมล์ และเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ด้วยเหตุอื่น เขาจึงแสดงความคิดเห็นว่าคืนนั้นฝนจะตก และเขากระวนกระวายที่จะไปถึงไร่ให้ทันเวลา ผมสนับสนุนให้เขาขับรถเร็วขึ้น ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จภายในอีกชั่วโมงหนึ่ง 

จนตอนนี้ผมสังเกตเห็นว่าเรากำลังลงไปตามถนนที่แห้ง ขรุขระ ซึ่งมีฝักของเมสกีตเต็มอยู่ทั้งสองด้านของถนน ซึ่งดีกว่าเส้นทางเล็กน้อย ความสงสัยของผมไม่เคยถูกกระตุ้นมากพอที่จะเปิดกระเป๋าถือบนมือ เข็มขัดใบเล็กและปืนหกกระบอก 

ผมกำลังฝันไปพร้อมกันเมื่อเราหยุดกะทันหันก่อนที่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกระท่อมที่ถูกทิ้งร้าง

ชาวเม็กซิกันพึมพำบางอย่างซึ่งกันและกันอย่างผิดหวัง เมื่อคนขับพูดกับผมว่า:-

'ที่นี่ เราจะพักกันทั้งคืน .. นี่คือไร่' 

เขาทั้งสองลุกออกไปและยืนกรานให้ผมออกไปด้วย แต่ผมไม่ยอม ผมเอื้อมมือไปหยิบที่จับเล็กๆ ของผม และกำลังจะเปิดออก เมื่อมีคนคนหนึ่งจับแขนผมแล้วกระชากผมออกจากที่นั่ง ลงไปที่พื้น ผมรู้เป็นครั้งแรกว่าผมทำมันอย่างจริงจัง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมสามารถป้องกันตัวได้ดีเช่นนี้ เพราะภายในหนึ่งนาทีผมทำให้ทั้งคู่ตาบอดด้วยเลือดของตัวเอง ผมรวบรวมพลัง ปีนขึ้นไปบนโขดหินและทำให้พวกเขาโบยบินเมื่อผมได้ยินเสียงกีบเท้าม้าที่ดังราวกับมันเป็นกองทัพ

พวกมันเข้ามาใกล้ผมมากจนผมต้องแอบหลังพุ่มไม้ 

ไม่มีหมวก เสื้อโค้ต หรือปืนพก 

ผู้ชายที่พกปืนทั้งชีวิตของพวกเขามักไม่เคยมีมันเมื่อพวกเขาต้องการ … นั่นคือการแก้ไขของผม 

ความมืดอยู่ข้างผม แต่ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหนหรือไปทางไหนมากกว่าเด็กทารกจะรู้ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือผมพยายามที่จะออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลางคืนมืดมาก ประมาณสี่ทุ่มฝนก็ตกหนัก ผมเดินต่อไปทั้งคืน แต่ก็คงจะวนไปวนมา

ในตอนเช้าผมมาถึงที่ซึ่งมีน้ำไหลอยู่เต็ม ความคิดของผมคือการทำให้สิ่งนั้นอยู่ระหว่างผมกับที่เกิดเหตุ ผมจึงถอดรองเท้าบูตเพื่อลุยน้ำ เมื่อข้ามไปได้ประมาณหนึ่งในสาม ผมก็ก้าวตกจากตลิ่งหรือไถลลงไปในบ่อน้ำ และเมื่อขึ้นมาถึงผิวน้ำ ผมว่ายไปสองสามครั้งและตกลงในกอหญ้าหนวดแมวซึ่งผมเกาะอยู่ ลุกขึ้นยืน และลุยไปฝั่งตรงข้าม และผมนอนอยู่ตรงนั้นจนรุ่งสาง

สิ่งที่ผมจำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือกลิ่นแปลกๆ ของผิวหนังตัวตุ่นเปียก หากมีศิลปินเดินเตร็ดเตร่มองหาภาพแห่งความสิ้นหวัง ผมคงจัดการให้เขาได้เต็มกระเป๋า แขนเสื้อฉีกออกจากเสื้อผมแน่ๆ ใบหน้าและแขนของผมถลอกปอกเปิกและมีเลือดไหลออกมาจากหนามของหินเมสไคต์ หากมีใครที่ได้เห็นผมในตอนนั้นคงไม่เคยคิดฝันว่าผมจะเป็นคนที่รับฝาก "เงินของคนอื่น" 

เมื่อแดดดีผมเริ่มออกเดินเท้าต่อไปอีกหนและพยายามเก็บพุ่มไม้ไว้เป็นที่กำบังเพื่อซ่อนตัวของผมเอง และหลังจากเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมงผมก็ออกมาในทางแยก และห่างออกไปประมาณหนึ่งไมล์ผมเห็นสิ่งที่ดูเหมือนลิ่วล้อ ผมสังเกตเห็นควันที่เกิดขึ้นโดยตรง แล้วผมก็รู้ว่ามันเป็นที่อาศัย แม้ว่าผมจะมิได้มีลักษณะตามที่ปรารถนาที่ใครจะอยากพบ แต่ผมก็ก้าวเข้าไปหามัน

ตามเสียงเคาะประตูของผม ผู้หญิงคนหนึ่งเปิดมันออกกว้างประมาณสองนิ้ว และดูเหมือนเธอจะสนใจที่จะตรวจสอบกายวิภาคของผมมากกว่าจะรับฟังปัญหาของผม หลังจากที่ผมพูดอย่างหนักแน่นจริงจังแล้วเธอก็ถามผมเป็นภาษาสเปนว่า

'ไม่ใช่คนบ้าใช่ไหม?'

ผมรับรองกับเธอว่าผมมีสติสัมปชัญญะดีและสิ่งที่ผมต้องการคืออาหารและเสื้อผ้าซึ่งผมจะจ่ายให้เธออย่างดี และการปรากฏตัวของผมทำให้เธอเห็นอกเห็นใจเพราะเธอยอมรับผมและให้อาหารผม

“ผู้หญิงคนนั้นมีเด็กหญิงอายุน่าจะสักสิบขวบได้ เด็กหญิงคนนี้เอาน้ำมาให้ผมล้างตัว ส่วนแม่ก็เตรียมอาหารให้ผมกิน ในกระเป๋าเสื้อของผมมอบเงินของผมให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ ซึ่งเธอก็นำไปมอบมันให้แม่ของเธอด้วยในขณะที่ผมดื่มกาแฟและรับประทานอาหารเช้า จากนั้นเธอก็หยิบเสื้อออกมายื่นให้ผม

ทันใดนั้น เสียงเห่าของสุนัขดึงเธอไปที่ประตู เธอกลับมาหายใจหอบและพูดเป็นภาษาสเปนอย่างดีว่า 

'เพื่อเห็นแก่พระเจ้า วิ่งให้เร็ว! บินให้ไว! อย่าให้สามีและน้องชายของฉันเจอคุณอยู่ที่นี่ เพราะพวกมันกำลังกลับบ้าน' 

เธอยื่นเสื้อใส่มือผมแล้วชี้บอกทิศทางที่ผมควรไป .. จากจุดลับๆ ของพุ่มไม้ ผมเห็นชายสองคนขี่ม้าขึ้นไป และหนึ่งในนั้นขี่ม้าตัวที่ผมเคยเห็นเมื่อวันก่อนหน้า

ผมใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดผมก็ออกมาที่หมู่บ้าน ที่นี่ผมพบฝูงแกะและคนดูแลพวกมัน คนเลี้ยงแกะคนนี้รู้ว่าผมอยู่ห่างจากถนนสายหลักประมาณสิบไมล์ เขาหยิบรองเท้าแตะจากเท้าของเขาเองผูกมันไว้กับผม และบอกทางให้ผม 

และในตอนกลางคืนผมก็ไปถึงไร่องุ่นที่ซึ่งผมได้รับการต้อนรับและดูแลเป็นอย่างดี เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คนนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามไปและให้พวกเขากวาดภูมิประเทศแถบนั้นเพื่อค้นหาตัวโจร ผมถูกควบคุมตัวอยู่เกือบหนึ่งสัปดาห์เพื่อดูว่าผมจะสามารถระบุคนขับรถม้าของผมได้หรือไม่ .. อย่างไรก็ตาม พวกเขายังพาตัวเจ้าของม้าตัวที่ผมเคยเจอมันมาด้วย และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือสามีของผู้หญิงที่ช่วยชีวิตผม

หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ผมก็ได้กลับมาเข้าร่วมทีมของเรา และผมไม่เคยได้ยินภาษาใดที่ฟังดูไพเราะเท่ากับภาษาของเราที่พูดจากลิ้นของผมเอง ผมคงกลับไปเป็นพยานปรักปรำเจ้าของม้าที่เห็น ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พึ่งพาเขา ที่เขาเป็นโจร"

"เอาล่ะ สาวๆ" เบ็นเดินมาพูดกับโอเวน เนล และโจ "ผมสร้างเตียงให้พวกคุณจากผ้าปูที่นอน และดึงผ้าห่มสองสามผืนมาจากคาวบอย คุณจะพบเตียงนั้น มันอยู่ใต้ลิ้นเกวียน และผมได้กางมุ้งเพื่อไล่น้ำค้างให้ห่างจากตัวคุณ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับอพาร์ทเมนท์ของคุณ พวกคุณจะคลานไปหามันได้เมื่อหมดเรื่องเล่าหรือง่วงนอน"

“คุณไม่มีเรื่องเล่าให้เราฟังบ้างเหรอ?” เนลถามผู้ช่วยอีกคนที่อาวุโสของโอเวน

"นี่ไม่ใช่เวลาที่จะทิ้งขว้างหรือปฏิเสธที่จะเข้ากับคนได้ง่ายนะเบ็น" อินจุนหนุ่มเย้าหยอกคู่หูที่ชอบถือสันโดษของเขา

“เอาล่ะ เกี่ยวกับการปล้นเงินที่หัวหน้าค่ายของผมเพิ่งจะเล่าให้พวกคุณฟัง” เบ็นพูดขณะที่เขากัดซิการ์มวนใหม่ “มันจึงทำให้ผมนึกถึงช่วงที่ต้องกักตัวที่เหมืองซานโก สมัยผมอยู่กับเจ้านายเก่าในชนบทของโคโลไลน์ พวกเราขับรถเข้าไปในค่ายขุดแห่งนั้นเพื่อเอาเนื้อวัวก้อนเล็กๆ และขายมันให้เป็นประโยชน์ วันนั้นหลังจากทีมนั้นกลับไปแล้ว และผมยังคงอยู่ข้างหลังเพื่อรวบรวมวัว โดยคาดว่าผมจะขึ้นถนนและแซงทีมของผมนั้นลงไปที่แม่น้ำ แต่ผมละเลยที่จะจองตั๋วเดินทางล่วงหน้า ดังนั้นเมื่อพร้อมที่จะเริ่ม ผมจึงต้องพอใจกับที่นั่งด้านบน ผมจำจำนวนเงินที่ผมมีไม่ได้ มันเป็นรายได้ของบางอย่างเช่นผึ้งหนึ่งร้อยห้าสิบตัวที่อยู่ในกระเป๋าใบเล็กพร้อมกับเสื้อผ้าเก่าๆ จำนวนหนึ่งของผม แม้ไม่มีสักบาท..แต่ผมยังต้องดูแลมัน

 คนขับรถม้าที่จะมุ่งไปยังซาวพาว เขาขับม้าหกตัว และมีฝูงชนที่สนุกสนานอยู่ข้างบน พอใกล้เที่ยงคืน พวกเราก็แกว่งไปมา และขณะที่เราเลี้ยวไปตามถนน ผมสังเกตเห็นแสงริบหรี่อยู่ข้างหน้าเป็นระยะซึ่งดูเหมือนถ่านคุๆ ของแคมป์ไฟ ขณะที่เรามุ่งหน้าไปจนเกือบจะตรงข้ามกับแสงนั้น และเมื่อแสงดวงนั้นใหญ่พอๆ กับไฟหน้าของเครื่องยนต์ .. มันก็ถูกเปิดเผย 

กระป๋องน้ำมันเปล่าห้าแกลลอนถูกผ่าครึ่งแล้วใช้เป็นแผ่นสะท้อนแสง สาดส่องไปที่ถนน จากนั้นก็มีคำสั่งตามมาซึ่งหมายถึงภารกิจ 

'ยิงผู้นำ ถ้าพวกเขาข้ามสิ่งกีดขวางนั้น!' 

'ฆ่าใครก็ตามที่บุกมาฝั่งตรงข้าม!' 

'คนขับ ขยับขึ้นไปอีกสองสามฟุต!' 

'เอาล่ะ ทุกคนออกไปทางด้านนี้ของรถ…เร็วเลย เร็วเข้า!'

ชายผู้ออกคำสั่งเหล่านี้ยืนอยู่หลังโคมไฟไม่กี่ฟุตและลับตาคน แต่ปากกระบอกปืนของวินเชสเตอร์มองเห็นได้ชัดเจนและดูเหมือนจะบังทุกคนบนถนน … ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเราไม่เชื่อฟัง เราลงไปในแสงจ้าเต็มดวงและเรียงแถวโดยหันหลังให้โจร ยกมือขึ้นบนอากาศ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่คลุมหน้าอยู่บนถนน ซึ่งเขาขอร้องให้เธอถือแสงสว่างให้เขาโดยยืนยันว่าเขาไม่เคยปล้นผู้หญิง ชายผู้สวมหน้ากากคนนี้หายตัวไปในเวลานั้น และเมื่อแสงส่องถึงเขาอีกหน เขาก็เอาหมวกสีดำคลุมพวกเราแต่ละคน ค้นหาอาวุธจากทุกคน จากนั้นเขาก็ลงมือปล้นพวกเรา รวมถึงถุงไปรษณีย์

เขาใช้เวลากว่าชั่วโมงในการทำงาน ซึ่งดูเหมือนเขาไม่รีบร้อน

ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้รับอะไรจากถุงใส่จดหมาย แต่ผู้โดยสารเช่นเราก็ได้ให้รายได้แก่พวกเขารวมกันไปประมาณเก้าร้อยเหรียญ ขณะที่เงินในกำมือของผมบนรถม้าโดยสารมีสามเท่าที่ถูกห่อด้วยเสื้อสักหลาดสกปรก เมื่อเขาหายตัวไป พวกเราเป็นผู้ชายกลุ่มที่น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้ และเป็นเรื่องน่าขบขันที่จะได้ยินข้อแก้ตัว คำขู่ และอื่นๆ .. แต่ความจริงก็ยังเหมือนเดิม .. คือพวกเราหลายสิบคนถูกปล้นโดยโจรคนเดียว .. และผมก็รู้สึกโล่งใจเพราะเงินในกำมือของผมถูกมองข้าม

เอาล่ะ เราเคลียร์สิ่งกีดขวางบนถนนและขึ้นรถโดยสารอีกครั้ง ประมาณสี่โมงเช้าเราก็มาถึงที่หมายช้าไปสองชั่วโมง ในสำนักงานของโรงแรมที่ถนนไปหยุดอยู่นั้น ชายผู้ปล้นเราเขามาถึงก่อนเราหนึ่งชั่วโมง และยังมีหน้ามาสนใจฟังเหตุการณ์ตามที่เล่าขานกันเป็นอย่างมาก … เช้าวันนั้นมีรถไฟออกจากเมืองแต่เช้า และ ณ สถานที่ที่พวกเราหยุดรับประทานอาหารเช้า เขาก็นั่งที่โต๊ะพร้อมกับอีกหลายคนซึ่งเป็นผู้ฟังที่ตั้งใจฟังที่สุด

แต่เขาก็ถูกจับในวันเดียวกัน .. อันเนื่องมาจากเขาจ้างม้าตัวหนึ่งจากคอกม้าเพื่อขี่ออกไปดูฟาร์มปศุสัตว์ที่เขาคิดจะซื้อ มีคนสังเกตเห็นว่าเขาเดินกะเผลกเล็กน้อย เพราะเขาเคยชนเข้ากับกระสุนตะกั่วในเท็กซัส .. อย่างที่ทราบในภายหลังว่าม้าที่มีคนซื้อออกไปจากไร่เมื่อวันก่อน มันกลับมาเข้าคอกในโรงเรือนในเวลากลางคืนโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงเกิดความสงสัยแก่ชายที่เดินกะเผลกคนนั้น ครั้นลงจากรถไฟ เขาก็ต้องเดินปวกเปียกเข้าไปในอ้อมแขนของเจ้าหน้าที่ที่ทำเครื่องหมายเขาไว้อย่างชัดเจน”

นั่นเป็นเรื่องเล่าสุดท้าย และที่สุดโอเวนก็กล่าวขอบคุณทุกคนและบอกราตรีสวัสดิ์ขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่เป็นแขกของเราทำท่าจะหาว และผู้ซื้อก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน

“มาเถอะ หมดแล้วสำหรับเรื่องเล่า” โอเวนจับแขนคนตัวเล็กที่ทำท่าจะสัปหงกราวนกจะจากตกคอน แล้วเธอก็ถูกเขาลากฉุดไปยังเต็นท์ของแคมป์ “และผมต้องพาคุณไปเข้านอนให้ดี”

………. .⋆。♞˚

มันมากกว่าหนึ่งเดือน การขี่ม้าทางไกลของทีมใกล้จะสิ้นสุดแล้ว โอเวนบอกเธอเมื่อคืน

เนลหันไปมองรอบๆ เพื่อจะมองหาโอเวน และเขาก็อยู่ที่นั่นใกล้ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ และโจก็ขี่ม้ามาใกล้เธอ เขามองตามสายตาเธอแล้วพูด

“นั่นคือพี่ชายของฉัน” เขาพูดโดยที่เธอยังไม่ทันถาม 

“เขาคุยอะไรกัน?” เธอเริ่มห่วงพ่อและเธอก็เพิ่งจำได้ว่าเธอลืมเขียนจดหมายหาเขา “โอเวนดูหน้าตาเคร่งเครียด”

“ฉันเองก็ไม่รู้” โจสั่นหัว

“เราจะไปฟังเขาได้ไหม?” 

“น่าจะได้” โจยักไหล่ ขณะที่เนลพูดและหันซันฟิชก่อนแล้วตรงไปทันที

โอเวนกำลังอยู่กับรอย อินจุนที่เป็นพี่ของโจที่เธอไม่เคยเห็นหน้า

“โลกได้เคลื่อนไปบ้างไหมในขณะที่เราไม่อยู่?” 

โอเวนถาม และดูเหมือนรอยจะประกาศด้วยน้ำเสียงของคนที่มีข่าวจะบอกและสนุกกับการเล่าอย่างละเอียด

“คุณคงคิดถึงเขา ใช่ไหม เฒ่าบริสลีย์? พวกเขาถูกนายอำเภอลอมันจับเข้าคุกพร้อมกับแฟรงก์ วอคแลนด์ และกับลูกน้องมือขวาอีกคนหนึ่งของเขา หลังจากท่านเคานต์ไปแจ้งความว่า แคโรไลน์ บุตรีแสนรักแสนหวงของเขาหายตัวไป จากนั้นจึงมีการสืบค้น และเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง เฒ่าลอมันสหายเก่าของคุณกับผู้ช่วยของเขาออกตามล่าอย่างร้อนแรงกับคนอื่นๆ ที่เหลือ; และหลังจากที่พวกเขามีหลักฐานชัดเจนแล้วว่าบริสลีย์ชรามีส่วนเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังการปล้นรถไฟและขโมยม้าของคนในเมืองของเราและเมืองข้างเคียงไปขาย รวมทั้งแกะของท่านเคานต์เองก็ใช่ด้วย และเมื่อหลายวันก่อนตามที่จอนห์ได้ส่งข่าวมาแล้วถึงคุณ และคุณก็บอกเขาว่าเมื่อใดก็ตามที่จอนห์เห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัย ก็ให้ไปกระซิบแจ้งข่าวกับท่านเคานต์เรื่องลูกสาวของเขาว่าเธอปลอดภัยดีและอยู่กับคุณ .. แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บริสลีย์ก็จะถูกส่งไปยังคุกในเท็กซัส เพราะเขาเองก็ปล้นรถไฟที่มาจากรัฐนั้นไปเป็นมูลค่ามหาศาลและมีการฆ่า .. ดังนั้นพวกเหล่านายทุนหลายคนต่างก็พากันลงขันแจ้งความจับเขาที่นั่น .. เขาคงอาจต้องติดคุกอยู่ที่นั่นสักราวสิบปีถึงสิบห้าปีเป็นอย่างน้อย และดูเหมือนว่าสิงโตภูเขาของคุณเองก็คงพ้นข้อหาขโมยแกะไปกินได้ด้วย”

และเมื่อเธอขี่ม้ากลับมาหาโอเวนและได้ยินบางส่วนท้ายๆ พอดี เธอพอจะรู้จักเฒ่าบริสลีย์และรู้ว่าเขาชั่วร้าย

“ไลจาร์ .. สิงโตป่าของคุณน่ะหรอ คุณอาโอเวน ฉันจะมีโอกาสได้เจอเขาไหม?” เนลยิ้มและถามคนตัวสูงที่ยังอยู่บนหลังม้า

“แน่นอน” โอเวนก้มมอง เขาหัวเราะอย่างสบายใจให้บุตรสาวเพื่อนของเขาที่ยังอยู่ในคราบของเนล “ถ้าเขาจะยอมมาปรากฏตัวในเมือง”

………. .⋆。♞˚

มันกำลังจะสิ้นสุด แม้แต่ดวงตาสีฟ้าสดใสของเนลก็ยังเป็นประกายเมื่อเธอเห็นเนินเขาที่อยู่ไกลออกไปบนเส้นขอบฟ้าซึ่งยืนย่อๆ อยู่หลังบ้านไร่ของออชินโคลส เดือนที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างรวดเร็วภายใต้เงื่อนไขใหม่ และเมื่อเห็นพวกมัน ดูเหมือนว่าเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่ที่เธอมองเห็นแนวเนินเขาที่พังทลายและบ้านไร่ที่โดดเด่นในคูลีเบื้องล่างเป็นครั้งแรก

ฝูงสัตว์ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเหวี่ยงตัวพวกมันเองลงจากเนินยาวมุ่งไปสู่หุบเขาและแม่น้ำ ก้าวออกไปอย่างรวดเร็วขณะที่พวกมันเห็นน้ำเย็นในระยะไกล หนึ่งเดือนกว่าสิ่งที่เหนื่อยยากก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาได้ผ่านพ้นไปจากใจของเนลและถูกนำกลับมาอย่างสดใสดังเช่นเหตุการณ์ในยามเช้า มีไร่ของเธอซึ่งอยู่ห่างจากเต็นท์ที่ได้ส่องประกายอยู่บนค่ายสุดท้ายบนเส้นทางยาวเพียงครึ่งไมล์ ควันจากเต็นท์ทำอาหารที่บอกถึงเนื้อและพุดดิ้งรสเผ็ด 

และความคิดที่เปลือยเปล่าทำให้ม้าของเธอหันหัวของมันอย่างรีบร้อน และดวงตาของเธอก็จ้องมองอยู่ที่นั่นนานที่สุด 

อย่างไรก็ตาม ในบ้านของเธอ ครึ่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นฝ้ายยักษ์ และเธอก็สงสัยว่าแม่ของเธอจะยังยิ้มให้เธอด้วยการยกขึ้นที่มุมปากที่หวานละมุนอวดลักยิ้มที่น่ารักของเธออย่างอ่อนโยน หรืออย่างพอใจหรือไม่ 

โอเวนเอื้อมมือไปหยิบซองบุหรี่ของเขา และเนลก็ไม่คิดจะพูดอะไรเลย ทั้งที่เธอยังมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับคุณตาของเธอที่ต้องการจะให้เธอแต่งงานกับเขา ทำไมเธอจะไม่รู้ ไม่ได้ยินข่าวว่าเขาพูดว่า … 'ไม่' … ทั้งที่เมื่อก่อนนั้นเธอเองจะเคยได้ยินแล้วและเธอก็เข้าใจว่าตนเองโล่งใจในคำตอบของเขา 

แต่ตอนนี้…มันต่างออกไป

เธอกับเขาแต่งงานกัน แม้มันจะชุลมุนชุลเกมากมายแค่ไหนก็ตามแต่

แต่เธอก็รู้ดีว่าโอเวนมีวิธีที่จะเก็บเรื่องต่างๆ ไว้กับตัวเอง

ยังไงก็ตาม ถ้าโอเวน คาเมรอนยืนยันว่า 'ไม่' เธอก็หวังว่าเขาจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไรและไม่ได้ดูถูกเธออย่างลับๆ 

เพราะตอนนี้เขากลายเป็นผู้ชายที่เธอต้องบอกกับตัวเองอย่างขมขื่นว่า .. ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

14. เงาร่วงหล่นลงมาอย่างแผ่วเบา

 

เหนือที่ราบสูงอันเขียวขจี สู่หุบเขาเล็กๆ และก้นห้วยที่เชี่ยวกรากก็กวาดล้างรอยล้อเกวียนที่ยุ่งเหยิง เสียงเจื้อยแจ้วและแสนยานุภาพบนทุ่งหญ้าสดที่ไร้ราง และเกวียนขนของและตามมาด้วยการตั้งแคมป์อย่างเร่งรีบในสถานที่ที่คาเมรอนกำหนดไว้สำหรับการนอนพักสั้นๆ และการกินมื้อสั้นๆ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของแล้วรีบข้ามทุ่งหญ้าไปยังจุดต่อไป 

ที่นี่ .. หุบเขาเล็กๆ ทอดตัวนอนหาวอย่างเฉื่อยชาท่ามกลางแสงแดดพร้อมกับฝูงปลาเทราท์ที่ซุบซิบกัน มีนกแห่งทุ่งหญ้าส่งเสียงกระเพื่อมร้องอย่างไพเราะออกมาจากพุ่มไม้และวัชพืช คอยล่าหนอนและแมลงสำหรับครอบครัวในรังของมันที่วางอยู่บนพื้นที่รกร้าง มีโกเฟอร์ที่เลื้อยตัวผ่านหญ้าสูงอย่างฉับไวเพื่อออกไปสู่ใจกลางพื้นที่แห้งแล้ง ที่ซึ่งดินสีเหลืองเต็มไปด้วยกองดินเล็กๆ 

เต็มไปทั่วพื้นผิวดินมีแพรี่ด็อกตัวอ้วนท้วมนั่งอยู่บนหางกุดๆ ในขณะที่พวกมันกระสับกระส่ายอย่างมีไหวพริบและระแวดระวัง และเหนือสิ่งอื่นใดคือท้องฟ้าสดใส มีเมฆล่องลอยอย่างเกียจคร้านและทอดทอเงาวางตัวยาวไปทั่วชุมชนของชาวแพรรี่ด็อก และหุบเขาเล็กๆ และลำธาร ตลอดจนสายลมอ่อนๆ ที่พัดพายอดหญ้าให้พลิ้วไปพลิ้วมา 

จากนั้นแพรรี่ด็อกจะยืนเขย่งปลายเท้าเพื่อฟัง เหล่าเมดเดิลลาร์คจะหยุดร้อง แม้แต่เงาที่ติดตามก็ดูเหมือนจะสั่นคลอนอย่างไม่แน่นอน และมีเพียงลำธารเท่านั้นที่จะไหลรินเรื่อยไปโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น คดโค้งเพื่อที่จะทำให้เกวียนของฝูงสัตว์ของออชินโคลสสั่นสะเทือน โดยมีผู้ขับขี่วิ่งเหยาะๆ นำหน้าไปก่อนคนเดียวเพื่อชี้ทางที่จะลงไปถึงฝั่งของลำห้วยที่เอื่อยเฉื่อย ซึ่งพวกเขาจะไปอย่างเร่งรีบ และเต็มไปด้วยเสียงกึกก้องของการตัดฟืน การยกเต็นท์ และเสียงเล็กๆ น้อยๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นเกี่ยวกับชีวิตในค่ายและการทำอาหาร จะมีเสียงโห่ร้องของเหล่าหนูตะเภาที่เพิ่มเข้ามา และต่อมา ผู้ขับขี่ที่เหน็ดเหนื่อยก็บึ่งเข้าไปในหุบเขาเล็กๆ และจากหลายเสียงที่พูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

ทุกสิ่งเหล่านี้ ทำให้ชาวเจ้าของพื้นที่ในทุ่งหญ้าต้องพลุกพล่านตัวสั่นสะท้านอยู่ในบ้านของพวกเขา ความทุกข์ทรมานอันเงียบงันแห่งความกลัวเข้าครอบงำร่างเล็กๆ ของพวกเขา มีเพียงลำห้วยและร่องเหวระหว่างหุบเขาเวิ้งว้างที่เกียจคร้านและเมฆที่ตามมาและสายลมอ่อนๆ เท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรเลย

พระอาทิตย์ขึ้นอีกหนพร้อมเสียงโห่ร้อง เสียงก้องกังวานของการขับขี่ การเหยียบย่ำ จากนั้นเสียงระเบิดและเสียงสั่นครั้งสุดท้าย แล้วเสียงเหล่านั้นก็จางหายไปจากระยะไกล ห่างออกไปหลายไมล์เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานที่ตั้งแคมป์ถัดไป จากนั้นชาวแพร์รี่ตัวน้อย อย่างเช่นพวกเหล่าโกเฟอร์, แพรรี่ด็อกอ้วนท้วน, หนูและกระต่ายจะนิ่งฟังอยู่นานก่อนที่พวกมันจะคลานออกไปสูดอากาศที่เปื้อนฝุ่นอย่างสงสัยและตรวจดูรอยแปลกๆ ที่หลงเหลืออยู่บนพื้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และด้วยความเกลียดชังโดยสัญชาตญาณ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างไม่ใช่แค่ฝันร้ายอันน่าสยดสยอง

ดังนั้น ภายใต้เมฆและดวงอาทิตย์เมื่อลมพัดแผ่วเบา และเมื่อมันพัดกระหน่ำเหนือแผ่นดินที่หดเล็กลงเมื่อฝนที่เย็นยะเยือกพัดพา และได้ยินผู้ปรุงอาหารบ่นพึมพำเพราะฟืนก่อไฟเปียก น้ำไหลลงมาที่ท่อเตา และคนหิวต้องทนรอเพราะเตาก่อไม่ติด

ออชินโคลสกำลังเผชิญปัญหา ม้าเติบโตอย่างไร้น้ำหนักและอานที่ไม่เหมาะสมทำงานด้วยความประสงค์ชั่วร้ายของพวกเขาบนหลังที่หดเหลือเพียงสัมผัสของเช้าวันรุ่งขึ้น ฝูงวัวป่าถูกต้อนเป็นฝูง กระสับกระส่าย กระวนกระวายในช่วงกลางวันที่ร้อนและยาวนาน หรือนานกว่านั้นในช่วงบ่ายที่ร้อนกว่า ในขณะที่ลูกโคที่ไม่รู้จักความโชคร้ายเลยนอกจากหลังที่เปียกชื้นหรือลมที่กระหน่ำ พวกเขาตื่นตระหนก ความทุกข์ทรมานจากการถูกจับกุมและการจัดการที่หยาบด้วยเชือกที่ตึง และสุดท้ายที่เลวร้ายที่สุดคือเหล็กที่ไหม้เกรียม

มีไม่มากนักในโรงเรียนแห่งชีวิต 

หัวหน้าของเหล่าคาวบอยนั่งบนหลังม้าและนับเหยื่อในหนังสือเล่มเล็กโทรมของเขา เริ่มรู้จักการจมดิ่งของวิญญาณของชายคนหนึ่งเมื่อเขาพบว่าสิ่งต่างๆ ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นน้อยกว่าที่เขาคิดไว้ .. มีซากศพที่เหี่ยวแห้งกระจัดกระจายไปตามพื้นหุบเขาเล็กๆ และตามเนินเขาด้านข้างซึ่งมีเวลาพอสมควรที่จะทำให้วัวสักตัวหนึ่งที่น่าสงสารและอ่อนแอจะปีนขึ้นไปได้ 

การสูญเสียไม่ได้ทำให้หมดอำนาจ แต่มันยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้ 

พายุบางลูกซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ใต้ชีนุกและหญ้าที่อายุสั้น บางครั้งบางหน มันก็ทำหน้าที่เพียงเพื่อทำให้พื้นผิวหิมะนิ่มลงเพื่อให้ความหนาวเย็นที่ตามมาอาจทำให้น้ำแข็งยิ่งแข็งยิ่งขึ้นเท่านั้น

มันไม่ใช่ฤดูหนาวที่ยากเย็นแสนเข็ญยามเมื่อมันผ่านพ้นไป แต่การสูญเสียวัวนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยและผลผลิตของลูกวัวที่อยู่ด้านล่าง .. และโอเวน เนล และเคานต์ไรอันก็ต้องเผชิญกับความจริงของธุรกิจปศุสัตว์ที่ว่าและในที่อื่นๆ เป็นครั้งแรกในปีนี้ 

'มีลดลงเพื่อให้ตรงกับการเพิ่มขึ้น' … ในการสร้างปราสาทของพวกเขา และจนถึงตอนนี้การตระหนักถึงความฝันของพวกเขา … ที่พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงความตกต่ำมากนัก

ดังนั้นเมื่อโอเวนและเนลพากันหันหลังกลับจากเขตสงวนและตั้งค่ายพักแรมที่ลองวิลโล่ตอนล่าง และเนลรู้สึกโหยหาฟาร์มปศุสัตว์และได้เห็นครอบครัวของเธอที่อยู่ที่นั่นแม้จะปราศจากคุณตาที่รักของเธอ

สำหรับข้อแก้ตัวที่เขามีจดหมายและความปรารถนาตามธรรมชาติที่จะปรึกษากับเคานต์ไรอัน เพื่อที่ว่าเมื่อเขาสั่งการกับเบ็น และบอกโจให้เคลื่อนไหวไปจนถึงพรุ่งนี้หรือวันรุ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับการเยาะเย้ยของคนทั้งเมือง หากนั่นเป็นราคาที่เขาต้องจ่ายเพื่อเอาชนะความปรารถนาอันลึกล้ำของเขา แต่ก็ยังยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินทางต่อไปโดยไม่มีใครดูแลและไม่จำเป็น

เนื่องจากฟาร์มปศุสัตว์ออชินโคลส และการต้องการเต็นท์นอนกันที่หน้าผาลองวิลโล่ที่ต้องเดินเตร่ผ่านต้นหลิว เส้นทางของพวกเขาจึงต้องเดินไปตามลำห้วย ยกเว้นในเส้นทางคดเคี้ยวที่ไร้ความรับผิดชอบมากที่สุด เมื่อเขาจะทำให้การเดินทางของเขาง่ายขึ้นโดยการเดินตรงไปตามที่ควรจะเป็น ผ่านทุ่งหญ้า หลังจากที่เขาทำเช่นนี้เป็นครั้งที่สองแล้วและได้ลงมายังลำธารผ่านที่ว่างระหว่างหุบเขาดินเหนียวสีเหลืองที่แคบ แล้วโอเวนก็ต้องประหลาดใจในทันใดกับสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

เนินเขาเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ การแทะเล็มเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่โอเวนรู้ดี ที่ต่อมาเนลก็ได้ยินแผนจากโอเวนว่าทีมปศุสัตว์ของเธอจะต้องข้ามลำธาร .. ซึ่ง ณ จุดนั้นมันแคบมากจนม้าตัวหนึ่งสามารถกระโดดได้ทั้งหมด 

และในอีกวันหนึ่ง เหล่าคาวบอยจะกระจายตัวไปทั่วเพื่อรวบรวมวัว; อย่างน้อย นั่นเป็นความตั้งใจของเขา 

หัวหน้าทีมมองข้ามไป และดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เส้นแบ่งเขตยาวเหยียดที่มุ่งตรงไปทางทิศใต้ทันที

ที่ปลายสุด ร่างเล็กๆ จำนวนมากเคลื่อนไหวอย่างไม่รู้จบ .. รายละเอียดของพวกมันดูทื่อไปตามระยะทาง แม้ว่าเขาจะชอบพวกมันเพียงเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่ามันคือรั้วหนาม .. เส้นแบ่งเขตที่เขาอ่านเพื่อมองหาเสารั้วและตัวเลขที่อยู่ห่างไกล

ขณะที่ม้าของเขาดื่มน้ำ โอเวนก็ยังมองเส้นแบ่งเขตรั้วอย่างไม่ไว้วางใจ จนกระทั่งเขาจำคำแนะนำก่อนที่จะแยกจากกันกับท่านเคานต์ได้ 

“ไรอันแน่ใจหรือเปล่าว่าพวกมันจะถูกย้ายชิดเข้าไปหาเขตที่ดินของเขา?” 

หัวหน้าคนงานหนุ่มตัดสินใจโดยประเมินขนาดคร่าวๆ ของทางเดินที่รั้วนั้น .. ซึ่งเมื่อมันสร้างเสร็จ มันจะเข้าไปปิดพื้นที่ของสหายของเขา แน่นอนว่ามันยังเป็นการคาดเดาล้วนๆ เพราะเขามองเห็นมันได้เพียงมุมหนึ่งเท่านั้นในตอนนี้ เพราะแม้เมื่อเขาขึ้นไปบนลำห้วย เขาก็ยังมองไม่เห็นขอบเขตทั้งหมดของมันอยู่ดี มันอาจจะประหยัดระยะทางไปหนึ่งในสี่ไมล์หรือมากกว่านั้นจนถึงโค้งถัดไป แต่แม้ระยะทางนั้นเขาก็ยังมองไม่เห็นเส้นประที่จะแบ่งเขต เพราะเขากำลังมองดูพื้นที่ที่มีวัชพืชและหญ้าและพุ่มไม้เตี้ย .. แต่เขารู้ว่ามันต้องอยู่ที่นั่น .. และเมื่อเขาหันหลังม้าให้ห่างจากแม่น้ำนั้นออกไป

การทำแบบนี้มันทำให้โอเวนกังวลอย่างมาก และสมองของเขาก็ตื่นตัวราวกับดวงตาของเขา เพราะจำได้และแน่ใจว่าเขาไม่เคยตั้งใจจะแนะนำให้เคานต์ไรอันให้ล้อมรั้วที่ดินของเขาแบบนั้นแม้แต่น้อย

ไกลออกไปตามลำห้วยที่เขาข้าม หมายความว่าเขาจะต้องใช้ทางลัดอีกทางหนึ่งและหลีกเลี่ยงทางอ้อมที่ยาวไกล และเขาต้องการที่จะดูว่ารั้วไปที่ไหนและไกลแค่ไหน 

ใช่ หลุมตั้งเสามันอยู่ที่นั่น เฉพาะที่นี่เท่านั้นที่พวกเขาตั้งเสาเอนแบบหละหลวมแบบนี้ 

ห่างออกไปครึ่งไมล์ลวดก็ถูกพันล้อมไว้แล้ว แต่โอเวนไม่เห็นใครเลยเพื่อที่ว่าเขาอาจจะถามคำถามกับใครได้บ้าง .. และเมื่อเขาเหลือบไปเห็นดวงอาทิตย์เกือบจะตรงเหนือศีรษะของเขาและเงาของม้าที่ซื่อสัตย์ของเขาก็แล่นไป 

โอเวนรู้ดีว่าพวกเขาควรจะหยุดทานอาหาร แต่หัวหน้าคนงานหนุ่มก็ปีนขึ้นไปบนเนินเขาที่อ้วนท้วน ขึ้นไปหยุดอยู่หน้ารั้วที่ลวดพันล้อมอยู่

มันช่างกีดขวางทางของเขาอย่างอุกอาจ

“ไรอันเป็นผู้ชายที่รอบคอบที่สุดที่ฉันเคยเจอมา” 

เขารำพึงกึ่งรำคาญ หยุดชั่วครู่เพื่อสำรวจอุปสรรคอย่างมีวิจารณญาณ 

“เขาไม่เคยทำงานอย่างชุ่ยๆ หรือจะทิ้งมันไปโดยที่ปลายหลวมห้อยต่องแต่งอยู่แบบนี้ เขามีรั้วอยู่ที่นี่เหมือนเขากำลังป้องกันทางรถไฟจากด้านขวา และฉันคิดว่าฉันจะวนไปดูรอบๆ สักรอบหนึ่ง”

………. .⋆。♞˚

ต่อมาที่ฟาร์มปศุสัตว์ .. เมื่อโอเวน คาเมรอนนั่งที่โต๊ะกินข้าวเย็นที่เตรียมไว้อย่างเร่งรีบ และเมื่อไรอันเข้ามา 

“ผมเห็นว่าคุณกำลังยุ่งอยู่กับลวดหนาม” เขาตั้งข้อสังเกต เมื่อเขาลุกขึ้นจากโต๊ะและนำทางออกไปที่ระเบียง

“เปล่า ผมไม่ได้ทำมันขึ้นมาเลย โอเวน” ไรอันปฏิเสธ

“หือ ไม่ใช่คุณ? แล้วใครกันที่ล้อมมอนทาน่าทางตอนใต้ เอ่อ ลำห้วยไว้ล่ะ ถ้างั้น?” โอเวนหันกลับมา กระดาษสำหรับบุหรี่กำลังกระพือบนนิ้วของเขา และเขาก็มองไรอันอย่างตั้งใจ

“ผมเชื่อว่าคนของนายบริสลีย์อาจทำมันอยู่ ลูกชายของเขาหยุดอยู่ที่นี่ในวันนี้และบอกว่าพวกเขาจะแลกเปลี่ยนหัววัวสองสามตัวทันทีที่เรื่องในทุ่งทำเสร็จ”

“พวกเขานั่นแหละ!” โอเวนหันหน้าหนีและมองหาที่ร่มซึ่งเขาอาจจะนั่งบนขอบระเบียงและวางเท้าของเขาลงไปในดินที่อ่อนนุ่ม เขาขุดคุ้ยอย่างอุตสาหะในขณะที่พลิกเรื่องในใจแล้วมองขึ้นไปที่ท่านเคานต์ไรอันอย่างกระวนกระวายใจ

“พูดสิ ไรอัน คุณแก้ปัญหาเรื่องที่ดินตรงนั้นอยู่ใช่ไหม?” เขาถาม “คุณจับมันไว้ได้มากน้อยเท่าไหร่?”

ไรอันสูงตระหง่านถึงชายคาของเฉลียง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม 

“ผมเกรงว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นข่าวร้าย โอเวน ผมไม่ได้เช่าพื้นที่ ผมไปมาแล้วและพยายามแล้ว แต่ผมพบว่ามีคนอื่นเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน อย่างที่คุณพูด พวกเขาเอาชนะผมได้ นายบริสลีย์เช่าที่ดินทั้งหมดที่มี นานมาแล้วเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้วก่อนที่เขาจะโดนนายอำเภอจับตัวไป และตอนนี้ลูกชายของเขาเป็นคนดูแล”

โอเวนไม่ได้พูดอะไรเลย เขาเพียงแค่หักไม้ขีดให้สั้นลงระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ที่ชูสู่แสงแดดที่สาดส่องอย่างสงบลงบนปราสาทที่เขาสร้างขึ้นในอากาศสำหรับไรอันและเพื่อตัวเขาเอง 

ใช่ และสำหรับอีกคนหนึ่ง … ซึ่งมันทำให้ทั้งผืนเกิดเงาแสงที่หรี่ลงในชั่วขณะนั้น

“พูดสิ ไรอัน มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น คุณไม่ได้มองหามันและช่วยมันไม่ได้” เขาพูดในที่สุดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย "ผมจะพุ่งเป้าไปที่การมีพื้นที่ขนาดใหญ่บนดินแดนของเราภายใต้สัญญาของออชินโคลส แต่ผมคิดว่าพวกเขาสามารถลงมาได้ เราจะขึ้นไปข้างบน ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล"

“ผมไม่กังวลเลย โอเวน ผมไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราต้องการ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจหรือแม้แต่เรื่องความรักในใจของคุณ” 

ประโยคสุดท้าย ถ้าใครจะตัดสินจากสายตาของเขา ก็คงหมายถึงความเห็นอกเห็นใจอย่างบริสุทธิ์ใจ

ใบหน้าของโอเวนมีสีเข้มเล็กน้อยภายใต้สีน้ำตาล 

“ลูกวัวใกล้จะหมดคอกแล้ว” เขาประกาศอย่างเร่งรีบ “มีวัวจำนวนมากเสียชีวิตในฤดูหนาวของเราปีนี้ และผมสังเกตเห็นว่ามีหลายตัวที่ยังพอใช้ได้ และผมหวังว่าเราจะไม่ต้องทำการโยกย้ายอีกในฤดูกาลนี้ เอ่อ บางทีผมอาจจะรู้สึกประหม่ามากกว่าในเรื่องธุรกิจที่ดิน แต่ผมแน่ใจว่าผมไม่ชอบใจที่จะเห็นลูกชายของบริสลีย์ทำในวิธีที่เขาทำ ซึ่งถ้าเขาทำมันลงไปอย่างต่อเนื่องเรื่องที่วัวของเขาสามารถถูกเก็บไว้ภายใต้รั้วนั่น..มันจะไม่ทำร้ายใครเลย"

“เขากำลังมุ่งมั่นจะทำทางเดินขนาดใหญ่ โอเวน .. ทางเดินที่ใหญ่มาก .. มันเข้า…”

“โธ่ ปล่อยเรื่องนั้น ไรอัน! ผมไม่ได้อยากรู้ว่ามันใหญ่แค่ไหน ไม่ใช่ตอนนี้ .. เพราะผมเห็นเครื่องขุดเจาะที่ดูเหมือนบริสลีย์คนลูกจะขุดบ่อไว้เพื่อบรรจุมิสซิสซิปปี้ไว้ได้เลยทั้งสาย .. ผมเต็มใจกินพายบูดๆ เมื่อถึงเวลานั้น แต่ผมไม่ใช่คนโลภที่จะกลืนกินมันทั้งถาดในคราวเดียว! .. ผมรู้สึกราวกับว่าผมพอจะทำอะไรบ้าง”

“คุณฉลาดกว่าคนส่วนใหญ่” ไรอันตั้งข้อสังเกตอย่างเฉยเมย

“แน่นอน เอ่อ พูดสิ ถ้าผมไม่เห็นเลดี้แคโรไลน์ ลูกสาวคุณ แต่ผมจะต้องรีบกลับแคมป์ คุณช่วยบอกเธอหน่อยได้ไหมว่าผมอาจจะไม่มาที่ฟาร์มปศุสัตว์ช่วงนี้ … แต่ผมจะไปที่งานเต้นรำที่ซียู ทเวนตี้นาย ร้านเหล้าของฮันน์แน่นอน … เอ่อ ผมรีบ และผมต้องไปแล้ว" 

ไรอันแลดูสหายที่รักสันโดษของเขาอย่างแปลกประหลาดใจ แต่ก็หันไปเห็นว่าเป็น โจ อินจุนที่คงมาตามหาเขา ซึ่งเขาเดาว่าพวกเขาอาจจะมีธุระสำคัญคุยกัน และส่วนของท่านเคานต์ก็มีภรรยาเดินมาตามให้ไปดื่มน้ำชายามบ่ายนี้ แต่เมื่อจบจากมื้อน้ำชาวันนั้น

“มีบางอย่างที่ผมอยากจะพูดกับโอเวนมากกว่านั้น” ท่านเคานต์อธิบายกับตัวเองโดยไม่จำเป็นและเดินไปตามทางของเขาหลังจากผละจากการพูดคุยกับภรรยา .. แต่เมื่อเขาไปถึงคอกม้า เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดเป็นพิเศษ หรือถ้าเขามี เขาก็จะไม่รบกวนคาเมรอนซึ่งเหยียดตัวอยู่บนกองหญ้าแห้งในแผงแห่งหนึ่ง

“ม้าของผมมันยังไม่กินอะไรเลย” โอเวนพูดพลางเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ก้าวเข้ามา ตาของพวกเขาสบกันอย่างเข้าใจ และท่านเคานต์ไรอันก็ส่ายหัว “ผมกำลังจะไปเร็วๆ นี้ ผมแน่ใจว่ามันชอบกองหญ้าแห้งสดๆ” ขุนนางอังกฤษพูดด้วยอารมณ์ขันอย่างจริงจัง “แย่จริง แย่จริง!”

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

15. มาดามคาเมรอน

 

โอเวนเพิ่งจะเดินทางกลับมาอีกหนหลังจากการที่ต้องย้อนกลับไปดูแลแคมป์เลี้ยงม้าที่ไชร์ และอันที่จริงเขาเหนื่อยและเต็มไปด้วยฝุ่นและหิวมากพอที่จะกินเศษอาหารจากก้นจานของเพื่อนของเขาได้สบายเลย แต่คนตัวใหญ่ ในฐานะที่ปรึกษาของเจ้าของไร่ไถลลงมาที่พื้นโดยที่กล้ามเนื้อของเขาไร้แรงสปริง และเดินอย่างแข็งทื่อไปที่ประตูคอกม้า นำม้าของเขาไปปลดอานและบังเหียน ซึ่งเขาตั้งใจจะปล่อยมันไว้ในคอกม้าซึ่งน่าจะว่างเปล่า และรอจะปิดประตูให้มันจนกว่าเขาจะแน่ใจว่ามันจะกินอะไรเข้าไปจนอิ่มพอ 

ประตูเปิดออกและหัวหน้าคนงานหนุ่มก็เดินเข้าไปโดยไม่ทันคิด เขามองไม่เห็นสิ่งใดในความมืดมิดในครู่แรก แต่มันเป็นเจ้าบาร์นี่ย์ ม้าของเขาที่ส่งเสียงกึกก้องและนั่งทับลงบนบังเหียนและไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในสถานที่ของมัน

คาวบอยที่ปรึกษาซึ่งสอดคล้องกับความหิวโหย ความเหน็ดเหนื่อย และอารมณ์ทั่วไปของเขา "คำสบถ" ที่ค่อนข้างคล่องแคล่วและเหวี่ยงม้าไปข้างหน้าหนึ่งหรือสองก้าว ก่อนที่เขาจะเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งกำลังยืนลังเลอยู่บนรางหญ้าในคอกที่ใกล้ที่สุด .. ซันฟิซ!

“ฉันเดาว่าเจ้าบาร์นีย์ ม้าของคุณคงกลัวฉัน” นั่นคือเสียงที่เขาสัมผัสได้ถึงทุกปลายนิ้วของเขา 

แล้วก็ แหงละสิ! และดูเหมือนว่าม้าของเขาจะฉลาดกว่าเขาซะอีกที่รู้ดีว่าตอนนี้ใครแต้มสูงกว่ากัน

“ฉันกำลังออกล่าไข่ไก่ พวกแม่ไก่มักจะวางไข่ไว้ในที่ที่ยากจะเอื้อมถึงได้เสมอ” 

เธอตะกายลงมาหาเขา ร่นแขนเสื้อลายทางสีฟ้าขาวของเธอมาไว้ที่ข้อศอกอย่างเปล่าเปลือย

'โธ่ … มาดามคาเมรอน ... ได้โปรดเถอะ'

โอเวนยืนนิ่งและจ้องมอง พยายามทำให้การปรากฏตัวของเธอดูสมเหตุสมผล และเขาก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ความคิดที่สอดคล้องกันที่สุดของเขาในขณะนั้นคือความทรงจำที่น่าละอายเกี่ยวกับวิธีที่เขาสบถกับม้าของเขา

แคโรไลน์ยืนห่างจากเจ้าม้าบาร์นีย์ และยิ้มให้เจ้านายของมัน

“ในภาษาของเทือกเขานี้ 'มีชีวิต' ใช่ไหม คุณคาเมรอน” เธอบอกเขา “พูดยังไงให้ดี และทำให้ดีกับมัน มิฉะนั้นฉันจะเห็นว่ากาแฟของคุณเป็นโคลน และขนมปังของคุณไหม้ และสเต๊กของคุณไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน เพราะฉันอยู่ที่นี่เพื่ออยู่ จำไว้ว่าฉันมีกรรมสิทธิ์ของห้องครัวของฉันเอง ดังนั้นคุณควร…"

“ผมแค่พยายามปล่อยให้มันซึมเข้าไปในสมองของผม” โอเวนกล่าว “คุณเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่ผมคาดหวังว่าจะได้เห็นที่นี่ ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถมาล่าไข่ที่นี่ เพราะยังไงคุณก็มีสิทธิ์ ใช่ไหม?”

“ใช่” เธอยืนยัน “คุณพ่อของฉันเขาเป็นความน่ารักที่สมบูรณ์แบบ และฉันบอกเขาอย่างนั้นเสมอ บอกว่าฉันจะทำตัวให้สมบูรณ์แบบที่บ้าน ฉันก็เลยมีสิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบที่จะมายืนอยู่ที่ฟาร์มแห่งนี้ ใช่ไหม? และมีสิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบในการล่าไข่ .. ก็ใช่อีก .. และถ้าฉันสามารถทำประโยคนั้นได้ 'สมบูรณ์แบบ' มากกว่านี้ ฉันจะทำมัน” 

เธอเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง หัวเราะและท้าทายเขาด้วยดวงตาสีฟ้าคู่โตของเธอ

คาวบอยที่ปรึกษาผ่อนคลายเล็กน้อย ดึงม้าเข้าไปในคอกและมัดมันไว้อย่างรวดเร็ว 

“คุณอาจจะบอกผมว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง .. ที่ทำให้คุณมา .. เอ่อ หาผมที่นี่” 

เขาบอกเป็นนัย มองเธอข้ามอานม้าตัวสูงใหญ่ของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาลืมไปแล้วว่าเขาตั้งใจจะทิ้งเจ้าบาร์นีย์ ม้าคู่ใจไปในตอนที่เขาจะดูแลให้มันพักผ่อนและกินอาหารของมันได้เพียงพอ

แต่มันจะน่าเสียดายจริงๆ ที่เขาจะรีบร้อนออกไปจากสิ่งที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ .. ใช่หรือเปล่า?

แคโรไลน์ คาเมรอนดึงหอกหญ้าแห้งออกจากข้อต่อสีน้ำเงินที่เป็นรอยแยกในกำแพงและค้นหาไข่ด้วยนิ้วของเธอโดยไม่รู้ตัว

“แล้วอะไรอีก คุณคาเมรอน ถึงแม้ว่าฉันจะเคยออกไปล่าตะวันมาแล้วกับคุณมาหมาดๆ เมื่อไม่นาน แต่ถึงกระนั้น เมื่อคิดดูอีกหนแล้วฉันก็ยังคิดว่าผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขาดความรับผิดชอบที่สุด! ผู้หญิงจะไม่มีวันมอบครอบครัวของเธอและออกไปข้างนอกเป็นเวลาสามหรือสี่เดือน หรือเป็นปี เพียงเพื่อแค่ไล่ตามแสงตะวัน และพวกเขาก็ชอบดื่มหนัก ต่อยตีกัน ผจญพายุ และการเสี่ยงที่จะถูกปล้น ยิงปืน .. คุณรู้ไหม? บางครั้ง.. ฉัน .. ฉันคงจะรู้สึกผิดหวัง ผู้ชายไม่มีสิทธิ์มีครอบครัวเมื่อเขาให้ความสำคัญกับทุกอย่างเป็นอันดับแรก ดังนั้นถ้าฉันจะไม่ชอบแบบนั้น แต่ฉันก็ต้องอยู่กับมันต่อไป ใช่ไหม?"

หัวหน้าคาวบอยซึ่งคลำหาบุหรี่ของเขาอย่างไม่อยู่สุข รุกรน .. เพราะรู้สึกถึงการทะเลาะวิวาทอย่างกะทันหัน 

“ดังนั้นเขาควรจะตบหัวตัวเองให้แรงและมากพอ!” เขาโพล่งอย่างเห็นอกเห็นใจโดยยอมจำนนโดยสุภาพ

และด้วยความประหลาดใจของคนตัวใหญ่ เขามองมาดามคาเมรอนที่ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู 

“ฉันขอโทษจริงๆ ที่คุณไม่ชอบความคิดที่ฉันมาที่นี่ คุณคาเมรอน” เธอตอบอย่างเย็นชา “แต่ฉันจะอยู่ที่นี่ ที่ซึ่งมันเป็นคอกม้าในธุรกิจของฉัน .. และฉันเกรงว่าคุณจะต้องทำให้ดีที่สุด ใช่ไหม?!"

ขณะนั้นโอเวนกำลังดึงอานออก เมื่อถึงเวลาที่เขาหยิบมันขึ้นมาจากแผงและแขวนมันไว้บนยอดแหลมที่คุ้นเคยแล้วรีบไปที่ประตู แต่เขาก็ไม่พบ 'เนลตัวน้อย' ของเขาที่ไหนเลย 

“นรก!” เขาบ่นพึมภายใต้ลมหายใจของเขาและก้าวยาวๆ ไปที่บ้าน 

เธอกำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเธอโกรธที่เขาชอบแรดๆ ออกไป 'ไล่ตามแสงตะวัน' เป็นเดือนเป็นปีใช่หรือเปล่า?

แต่ดูเหมือนเธอจะไม่อยู่ที่นั่นเพื่อให้เขาได้รับคำตอบ แต่กลับเป็นเคานต์เตสหุ่นบอบบางที่มีผมสีเหลืองทอง ดวงตาสีฟ้าสดใสดวงกลมโตเต็มที่ ที่เป็นมารดาของเธอซึ่งเป็นภรรยาของสหายขุนนางของเขา ที่ชงกาแฟอร่อยๆ ให้เขาอย่างกรุณา ขณะที่โอเวนรับมาดื่มโดยไม่รู้รสชาติอะไรเลยเพราะเขาเอาแต่เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของหญิงสาวอีกคนที่มักจะทำมันได้แผ่วเบาที่สุด และดวงตาของเขาก็หันไปจับที่ประตูอีกบานหนึ่งตลอดเวลา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 'มาเรีย' เคานต์เตสผู้เป็นภรรยาของสหายของเขาพูดอะไรหรือมองเห็นลักยิ้มอบอุ่นน่ารักของเธอเมื่อเธอยิ้ม .. ซึ่งเธอมักจะค่อนข้างภูมิใจกับลักยิ้มของเธอและไม่คุ้นเคยกับการถูกมองข้ามซะด้วยสิ

แต่โอเวนก็ประหม่าเกินกว่าจะถามใครในเวลาทานอาหารเย็นว่าแคโรไลน์อยู่ที่ไหน 

เธอไม่ได้เลือกที่จะให้เขามองเห็น ดังนั้นเขาจึงพูดและคุยกับไรอันและแม้แต่กับเคานต์เตสโดยหวังว่ามาดามคาเมรอนจะได้ยิน และรู้ว่าเขาไม่ได้กังวลเลยสักนิด เขาไม่คิดว่าเขาพูดอะไรที่แย่มาก 

บางทีเขาอาจแสดงความเห็นอกเห็นใจแรงไปหน่อย แต่นั่นเป็นวิธีที่ผู้ชายจัดการกันเอง .. ไม่ใช่หรือ?

เธอควรจะรู้ว่าเขาไม่ได้เสียใจที่เธอไปยืนอยู่ที่นั่น 

อย่างไรก็ตาม .. เขาจะไม่เริ่มด้วยการปล่อยให้เธอเอาจมูกเขาไปจูง 

และเขาจะไม่คุกเข่าลงและบอกให้เธอช่วยเดินไปทั่ว .. เคียงข้างเขา

“ยังไงก็เถอะ” คนตัวใหญ่สรุปก่อนนอนด้วยความพอใจค่อนข้างคลุมเครือ 

“ฉันเดาว่าเธอคงมีความคิดที่คิดว่าฉันจะสบายใจได้เหมือนฉันเป็นคุณปู่แก่ๆ ที่นอนอยู่ตรงมุมมืด ที่เธอต้องผ่านมันไปให้ได้ .. พับผ่าสิ! ฉันยังไม่ถึงจุดนั้น .. แย่จัง!”

มันเป็นความจริงที่ว่าเมื่อเขาขี่ม้าออกไปหลังจากพระอาทิตย์เผยโฉมในเช้าวันรุ่งขึ้น

เขายังมีหน้าที่มากมายและความเจ้าทิฐิที่ซ่อนอยู่ของเขาก็ปล่อยให้เขาอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งบนหลังม้า โดยไม่สนใจว่าใครจะสามารถกล่าวหาว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่สบายใจในระดับใดระดับหนึ่ง .. เพราะการพบเห็นครั้งสุดท้ายที่เขาพบมาดามของเขาเอง และเขาดันทำให้เธอกระพือปีกอย่างอารมณ์เสีย และเมื่อเธอหายตัวผ่านประตูคอกม้าไปเมื่อวานมันก็ทำให้พรานป่าปืนไวอย่างโอเวน คาเมรอนมีสีหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มเอาซะเลยในวันนี้

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

16. หายโกรธหรือยัง?

 

เมื่อการแข่งขันด้านราคาจบลงและเนื้อวัวชิ้นสุดท้ายถูกขายระหว่างทางไปชิคาโก และเมื่อพ่อครัวไอริชอ้วนๆ ได้รวบรวมสายบังเหียนของม้าสี่ตัวของเขา ม้าส่งเสียงคำรามไปยังเบื้องหน้าไกลสุดของเกวียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่ที่เขาต้องไป 

มันเป็นระยะสำหรับหลายสัปดาห์ต่อมาที่ไม่เคยผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนสำหรับโอเวน คาเมรอน และไม่ได้ย่นระยะทางด้วยการขี่ม้าของเขาที่ทำให้เขาเคยรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตอย่างมากเสมอ และเมื่อเขาขี่บาร์นีย์ ม้าคู่ใจออกไปในหมู่หมอกอ่อนๆ เพื่อมองดูเส้นขอบฟ้าระยิบระยับและเต้นรำเข้าหาเขาแล้วถอยกลับเหมือนหญิงสาวที่หยอกล้อความคิดของเขาให้ล่องลอยไป จากเทือกเขาสู่ฝูงวัว และเหล่าคาวบอยทั้งหลายที่ขี่ม้ามาตามคำสั่งของเขาและพักผ่อนด้วยกันในแคมป์บนลานกลางแจ้ง

หญิงสาวร่างผอมเพรียวที่ยั่วเย้าเขา และชอบทำให้เขางุนงง และทำให้เขารู้สึกไม่สบายทางจิตใจมากกว่าที่เขาเคยรู้จักมาก่อนในชีวิต .. นับแต่ในคืนนั้น เมื่อเธอก้าวเข้าไปในค่ายแถวและชีวิตของเขาโดยไม่คาดคิด และกลายมาเป็นภรรยาในนามของเขาในจังหวะชุลมุน และเขาแทบไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ .. บางครั้งเขาโหยหาเธอด้วยเส้นใยทั้งร่างกายและจิตใจ และถูกล่อลวงให้อยากทิ้งทุกสิ่งและไปหาเธอ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้งที่เธอปฏิบัติต่อเขา และเขาก็เฝ้าย้ำกับตัวเองถึงความตั้งใจที่จะไม่คุกเข่าลงและอ้อนวอนให้เธอเดินมาหาเขา…เพียงเพราะเขาชอบเธอ

โชคดีที่ผู้นำเดินไปตามทางซึ่งนำไปสู่​​ไพน์แชโดว์ แม้ว่าท้องฟ้าจะเป็นสีเทาอย่างหนักและลมก็พัดมาด้วยความหนาวเหน็บ และแม้ว่าเกล็ดหิมะเล็กๆ จะลอยลงมายังโลกอย่างไร้จุดหมายด้วยความไร้เดียงสาราวกับว่าพวกมันไม่รู้อะไรเลย และอีกมากที่จะเกิดขึ้นและลอยอยู่เฉยๆ ในอากาศ เลือดของโอเวน คาเมรอนก็ร้อนรุ่มผ่านเส้นเลือดอินเดียนแดงครึ่งหนึ่งของเขา และเสียงของเขาก็ขาดหายไปนานแล้ว และเขาก็ร้องเพลงที่โง่เขลาอย่างน่าสมเพชอีกครั้ง..ซึ่งเขาไม่เคยคิดอยากจะเปล่งเสียงชื่นชมยินดี.

เธอไม่ใช่แม่ไก่ในฤดูใบไม้ผลิ … ไม่ใช่!

เธอยังเด็กเกินไป…และเขาก็เป็นแค่คนดอยคนป่า

พวกเขายืนอยู่ในลานแห่งอีฟ … ท่องคำสัญญาที่หน้าโบสถ์”

“โอ้ ฟังสิพวก ฉันคิดว่าโอเวนจะหยิ่งยโสเกินไปที่จะร้องเพลงนั้น เอ่อ นั่นเขาเองหรอกหรอ?” พ่อครัวตะโกนอย่างขำขันกับคาวบอยที่อยู่ใกล้ที่สุด “ฉันกำลังมองหาให้เขาออกมาโชว์ฟอร์มสุดอลังการ หรืออย่างอื่นที่ดูเก๋ไก๋กว่าครั้งก่อนๆ ของเขาเสียอีก”

โอเวน คาเมรอนหันหลังไปวางมือบนแท่นครู่หนึ่ง ขณะที่เขาบอกพ่อครัวอย่างหัวเราะแล้วตั้งตัวให้ตรงรับกับฝีเท้าม้าที่กระโจนของเขา ในไม่ช้าความเร็วนั้นก็ทำให้คนอื่นๆ ท้อถอยและปล่อยให้พวกเขาถูกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างสบายๆ .. หนึ่งหรือสองไมล์ และมันยังพาเขาไปถึงที่หมายได้เร็วขึ้นด้วย

“ฉันสงสัยว่าเธอยังจะโกรธอยู่หรือเปล่า?” 

เขาถามตัวเองเมื่อเขาลงจากเจ้าบาร์นีย์คู่หู 

ดูเหมือนไม่มีใครอยู่เลย แต่เขานึกขึ้นได้ว่าเพิ่งจะเที่ยงและพวกเขาน่าจะไปรับประทานอาหารกลางวันกัน และนอกจากนี้ อากาศตอนนี้ก็ไม่ใช่ประเภทที่จะชวนคนออกไปข้างนอก เว้นแต่จะได้รับแรงผลักดันจากความจำเป็น

กลิ่นของเนื้อย่าง กาแฟ และพายบางชนิดได้ลอยเข้าจมูกของเขาอย่างเป็นสุขเมื่อหัวหน้าคาวบอยหนุ่มกลับมาถึงบ้าน และเขาก็เดินไปที่ประตูอย่างกระตือรือร้นซึ่งจะพาเขาตรงไปยังห้องอาหาร .. ตามที่เขาเดาได้ .. พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ 

“เข้ามาทำไม โอเวน” เคานต์ไรอันทักทายสหายด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าร่าเริง “เราไม่ได้ตามหาคุณ แต่คุณมาถูกที่แล้ว เราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”

“คุณเป็นยังไงบ้าง คุณคาเมรอน” เคาน์เตสมาเรียกล่าวขึ้น ขณะที่แคโรไลน์ลุกจากเก้าอี้เพื่อจะจัดจานเพิ่มสำหรับเขา จากนั้นก็…

“สวัสดีคุณคาเมรอน! สบายดีไหม?” 

เด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องและสำหรับดวงตาสีน้ำตาลคู่คมของโอเวน คาเมรอนที่หันไปมองอย่างงุนงง ทว่า ภาพของ..ทัล บริสลีย์..ที่นั่งอย่างสงบอยู่ที่โต๊ะอาหารของออชินโคลสนั้นมันไม่เคยจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นเลยสำหรับเขา

“สวัสดีพวกคุณ!” เขาตอบพวกเขาทั้งหมดอย่างเงียบๆ เพราะไม่มีอะไรอื่นที่เขาสามารถทำได้จนกว่าเขาจะมีเวลาคิด 

เลดี้แคโรไลน์ที่ลุกขึ้นและกำลังยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรราวกับว่าเธอไม่เคยหนีจากโอเวนและอยู่ห่างๆ เขาตลอดทั้งคืนเพราะเธอโกรธ

“ฉันจะจัดที่ให้คุณ” เธอประกาศอย่างรวดเร็ว “แน่นอน คุณหิวแล้ว และถ้าคุณต้องการล้างฝุ่นจากการเดินทาง มันมีน้ำอุ่นอยู่ในครัว ฉันจะเตรียมให้คุณได้”

เลดี้ตัวน้อย ภรรยาในนามของเขาอาจไม่ได้หมายความอย่างนั้นสำหรับคำเชิญ แต่โอเวนก็ฉวยโอกาสเดินตามเธอเข้าไปในครัวและปิดประตูตามหลังของเขาเองอย่างใจเย็น .. มาดามคาเมรอนเตรียมน้ำอุ่นจากอ่างเก็บน้ำให้เขาแล้วหันไปแขวนผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ไว้บนตะปูเหนืออ่างล้างหน้าตรงมุมห้อง และดูเหมือนเธอกำลังจะทิ้งเขาไปอีกครั้ง

“หือ .. หายโกรธรึยัง?” โอเวนถาม อยากดึงมือเธอไว้ในอุ้งมือเขา แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเลย แต่ถึงกระนั้น อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องการเก็บเธอไว้ที่นั่นสำหรับเขาให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย

“ไม่นี่! ทำไมล่ะ” เธอหันดวงตาสีฟ้าคู่โตๆ ของเธอมามองที่เขา 

“พูดสิ” เขาให้โอกาสเธอ

“ไม่มากเท่าที่คุณมองเห็น” เธอโต้กลับอีกหน “คุณดูไขว้เขวราวกับ…”

“ทัลมาทำอะไรที่นี่” โอเวนเรียกร้องโดยไม่ทันตั้งตัว

“ใคร? คุณบริสลีย์น่ะหรอ?” เธอเข้าไปในตู้กับข้าวและกลับมาพร้อมกับจานสำหรับเขา “เปล่า ไม่มีอะไร เขาแค่มาเยี่ยม ก็นี่มันวันอาทิตย์นะ”

“อ่อ..งั้นหรือ” โอเวนก้มลงที่อ่าง ซ่อนใบหน้าของเขาจากเธอ “ไม่รู้สิ ฉันนับวันไม่ถูกเลย” จากนั้นเขาก็สาดน้ำใส่มุมของเขาและปล่อยเธอไปโดยไม่พูดอะไรมาก ..

แค่รู้สึกว่าเขาต้องการเวลาคิดมากกว่าเดิม 

'แค่มาเยี่ยม เพราะเป็นวันอาทิตย์ใช่มั้ย .. นรก!'

เมื่อนั่งสมาธิให้ใจสงบลงแล้ว คนผิวเข้มตัวใหญ่ก็ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะหวีผมและผูกเนคไทสีน้ำเงินและปัดฝุ่นออกจากผ้าพันคอไหมสีขาวแล้วมัดเป็นปมหลวมๆ .. ตั้งใจมากจนสาวใช้ของบ้านคนหนึ่งถูกบังคับให้บอกเขาว่า: 

"อาหารเย็นของคุณเริ่มเย็นแล้วค่ะคุณคาเมรอน" 

ก่อนที่เขาจะเข้าไปนั่งตรงที่แคโรไลน์ หรือมาดามคาเมรอนวางจานของเขาไว้ และเขากำลังสงสัยในความบริสุทธิ์ใจของเธอ .. เพราะคุณคาเมรอนดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์เอาซะเลยกับศอกของภรรยาของเขากับศอกของทัล บริสลีย์

“การจัดส่งเป็นอย่างไรบ้างโอเวน?” ทัลถามอย่างง่ายดายโดยส่งจานเนื้อย่างให้เขา “เกือบหมดแล้วใช่มั้ย”

“มีทีมหนึ่งกำลังจะเข้ามา” โอเวนตอบ รับเนื้อและทาบทามเพื่อสันติภาพกับศัตรูหัวใจโดยไม่ผูกมัด “พวกเขาจะมาที่นี่ในอีกไม่ถึงชั่วโมง”

หากทัลต้องการความสงบ หัวหน้าคนงานหนุ่มกำลังคิดอย่างรวดเร็วว่าเหตุใดเขาจึงเพิกเฉยต่อการพักรบ? .. แต่ตามเกียรติของนักสู้ เขาควรจะใจกว้าง .. และความคิดนั้นก็ขมขื่นกับโอเวนมากกว่าที่เขาเข้าใจ ความผิดของทัล บริสลีย์นั้นจับต้องไม่ได้อย่างยิ่ง และคนตัวใหญ่ก็ตระหนักได้ค่อนข้างชัดเจนว่าการไม่ชอบเจ้าหมอนั่นของเขาเองอาจทำให้การตัดสินใจของเขาแย่ลง อย่างไรก็ตาม เขาจะทำอะไรได้บ้างนอกจากพยายามข่มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบุตรสาวของสหายไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองกับสิ่งที่บริสลีย์คนพ่อของเจ้าหนุ่มผู้นี้พยายามทำกับครอบครัวของเธอ หรือฟาร์มปศุสัตว์ของเธอ 

โอเวนกำลังทาเนยลงบนบิสกิตอย่างระมัดระวัง และสงสัยว่าเขาจะกล้าถามเธอไหมในเรื่องนั้น

ภายใต้ความคิดของเขาและการขุ่นเคือง เขาไม่เคยเกลียดใครเท่าทัลมาก่อน และเขาเกลียดตัวเองเพราะไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเจ้าหนุ่มนั่นได้ ปกติเขาไม่ใช่คนจะเกลียดใครง่ายๆ แต่กับภาพของนัยน์ตาสีฟ้าสดใส ริมฝีปากที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และแก้มที่เรียบเนียนของเธอที่มอบให้ทัล .. โอเวนกำลังพูด ฟัง และหัวเราะอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ราวกับว่ามีเขาสองคนและแต่ละคนต่างก็ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง และเหนือสิ่งอื่นใดคือความปั่นป่วนในจิตใจ แต่เขาจำเป็นต้องซ่อนความเกลียดชังและเป็นเพื่อนกัน มิฉะนั้นเขาอาจจะกระทำการที่โง่เขลา ..

“ใช่! ดูเหมือนเราจะได้งานชิ้นแรกของเราในฤดูหนาว เราโชคดีมากอย่างที่เป็นอยู่ ฉันหวังว่าจะได้นอนประมาณสี่วันโดยไม่หยุดทานอาหาร .. ถ้าคุณถามผม”

ฉันอยากจะระเบิด .. 

เขาคิดชั่วครู่ระหว่างหยุดชั่วคราว .. 

ให้ฉันหาให้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงไหนในเกมนี้ และเธอกำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ ดวงตาของเธอมีแวววับวาวอยู่บ้าง และเมื่อเธอมองมาตรงนี้ กับคำพูดที่ไร้เดียงสาของเธอ .. ฉันก็หวังว่าฉันจะอ่านใจเธอได้บ้าง .. 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่โอเวนจะทิ้งพายไว้ครึ่งชิ้นโดยไม่ได้กิน และรีบออกไปเมื่อได้ยินเสียงของกลุ่มคนที่เขารออยู่ได้มาถึงแล้ว โดยอ้างว่าเขาจะต้องไปทำสิ่งที่ควรทำและแสดงในสิ่งที่เขาเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ และโอเวนไม่รังเกียจที่ไรอันจะตามเขาไป และเขาก็ไม่สนใจทัล บริสลีย์ที่เหลืออยู่ในบ้านกับมาดามคาเมรอนด้วย

ความโล่งใจที่เป็นอิสระจากความสับสนของสถานการณ์ชั่วคราว ส่งผลให้โอเวนถึงกับผิวปากไปตามเส้นทางระหว่างที่เขาต้องก้าวไปยังคอกม้า

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

17. ป้องกันตัว

 

กองเกวียนของออชินโคลสหยุดเพื่อรอที่ค่ายหมายเลขสี่ ในเมืองน้ำพุของหมาป่า ที่ซึ่งฟองผุดพรายออกมาได้จากใต้หินก้อนใหญ่ในแอ่งแคบๆ โอเวนผู้มีปัญญาที่เกิดจากประสบการณ์มากมายในวิถีของคาวบอยและชีวิตพรานป่า เมื่อใกล้เข้ามาถึงค่ายที่สี่ พวกเขาก็เริ่มต้นการขี่ม้าต้อนวัวกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อกวาดต้อนฝูงทั้งหมดลงไปทางใต้ 

“ตามนักวิ่งบนสันเขาให้ทันดีกว่า” เขาเตือน และทั้งโจ ทั้งเบ็น และเหล่าคาวบอยทั้งหลายต่างรู้ดีถึงความหมายของเขา และวงกลมในวันนั้นจะเป็นวงใหญ่ในพื้นที่ที่โหดร้าย พวกเขาขึ้นขี่หลังม้าที่ดีที่สุดของพวกเขาและตั้งรกรากกับงานหนักกันมาทั้งวัน จนถึงใกล้เที่ยงพวกเขาก็ขี่ม้าและตีตราหลังอาหารเย็นด้วยเสียงเพลงที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย และฝุ่นควันจำนวนมาก กระตุ้นด้วยความกลัวที่ว่ามันอาจจะไม่เสร็จทันเวลา แต่หัวหน้าของพวกเขาก็กระวนกระวายใจอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับพวกเขา และได้กำหนดเวลาทำงานเพื่อที่เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็นฝูงสัตว์ก็หลุดออกจากไฟ และเปียกโชกไปด้วยน้ำ และเหล็กตีตราก็ถูกเก็บออกไป

และเมื่อถึงยามพระอาทิตย์ตกดิน ทางลาดยาวจากน้ำพุของหมาป่าก็เป็นจุดที่มีเหล่าชายผู้เกลี้ยงเกลา เสื้อผ้าสะอาด และได้รับการฟื้นฟู พวกเขาบางคนควบม้ามุ่งเข้าไปยังเมืองอย่างกระตือรือร้น ซึ่งมันอยู่ห่างออกไปสิบห้าไมล์ 

การที่พวกเขานั่งบนอานตั้งแต่เช้าตรู่เป็นเรื่องเล็กที่ไม่ควรนำมาพิจารณา เพราะพวกเขาตั้งใจว่าจะเต้นรำจนถึงรุ่งเช้าเพื่อชดเชย

​​ร้านของฮันน์ที่ชื่อว่า ซียู ทเวนตี้นาย ถูกแต่งแต้มอย่างมีสีสัน มีชีวิตชีวาโดยไม่มีใครเคยชิน และเต็มไปด้วยเสียงของเดือนกรกฎาคม แต่ถึงแม้ความชุลมุนของวันหยุดและการเต้นรำเพิ่งจะเริ่มต้นและพื้นที่โดยรอบที่ว่างเปล่า ตอนนี้มีมวลมนุษย์ไหลเข้าไปในเมือง เสียงกระทบกันของชุดพื้นเมือง คนหนุ่มสาวที่แข็งแรงสิบห้าคนที่หิวโหยสำหรับการเล่น มันนำพาผู้ชายไปที่ประตูและขึ้นไปที่ถนน.

เพราะความกระตือรือร้นของโอเวน คาเมรอนเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาไม่หยุดแม้แต่จะแวะดื่ม แต่ตรงไปที่โรงแรม 

ที่โรงแรมเขารู้ว่า 'พวกเขา' อยู่ที่ห้องโถงแล้ว และเขาก็รีบไปที่นั่นทันทีที่เขาขจัดฝุ่นออก ผูกเนคไทให้ตรง หวีผม

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความพยายามเช่นนี้จะไม่ได้มีผลตอบแทน เพราะความจริงก็คือ เขามาถึงห้องโถงในขณะที่คู่รักกำลังล่องลอยไปในเพลงวอลซ์เพลงแรก เขาได้รับความยินดีอย่างน่าสงสัยจากการพยักหน้ารับจากแคโรไลน์ หรือมาดามคาเมรอนของเขาขณะที่เธอเดินไปพร้อมกับทัล บริสลีย์

ไรอันอยู่บนฟลอร์เต้นรำกับเคาน์เตสแสนหวานของเขา และในพริบตาเขาก็เห็นว่ามันเป็นอย่างไร 

ทัลได้เข้ามาและมาพร้อมกับมาดามคาเมรอนที่คนภายนอกหลายคนยังไม่มีใครรู้เลยว่า ตอนนี้แคโรไลน์ใช้นามสกุลของเขาอยู่แล้ว

แต่หนุ่มใหญ่เจ้าของนามสกุลที่เธอใช้กำลังคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้จริงๆ .. มันค่อนข้างรับมือยากเหมือนกันเพราะแม้แต่ในทุ่งกว้างก็มีกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับมารยาท ซึ่งต้องปฏิบัติตามเมื่อชายและหญิงต่างพาดพิงกันเพื่อแสวงหาความสุข 

โอเวนจำได้ดีว่าผู้หญิงต้องเต้นก่อน และบ่อยที่สุดกับคู่หูของเธอในตอนเย็น และท้ายสุดต้องกินข้าวเย็นกับเขาด้วย ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ก็ตาม

พวกเขาหลบหนีไป และโอเวน คาเมรอนก็ยืนดูแลเธอด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างรวดเร็ว

เขารู้ตัวถึงความโกรธที่รุนแรงและขุ่นเคือง และแน่นอนว่าเขารู้สึกดีว่าแคโรไลน์สามารถต่อยเขาได้อย่างแน่นอนเมื่อเธอชอบที่จะทำ

เธอหัวเราะและพูดคุยกับคู่เต้นของเธออย่างสงบ และโอเวนรู้จักทัลดี เขาเป็นหนุ่มแต่ไม่ใช่คนหล่อ แต่เขาก็มีรูปร่างที่ดี ผอมบาง สะโอดสะองตามสมัยนิยมของคนยุคนี้ และเขาก็ชอบเต้นเป็นนิสัย และตอนนี้เมื่อคนตัวใหญ่เห็นแคโรไลน์จับชายอีกคนหนึ่งไว้เบาๆ ในอ้อมแขนของเขา โอเวนก็รู้สึกสำลัก เจ็บ และเกือบโกรธ

ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม โกรธมากจนแคโรไลน์น่าจะพอใจถ้าเธอจะหันมาเห็นสักหน่อย แต่เธอทำมันตอนที่โอเวนเดินหน้าเครียดไปจากตรงนั้นแล้ว

“อืม มันจะไม่ทำร้ายฉันหรอกถ้าแคโรไลน์จะตัดบทเขาออกไปในตอนหลัง จริงไหม?” โอเวนสรุป ดวงตาของเขาไล่ตามพวกเขาอย่างขุ่นเคืองทุกครั้งที่พวกเขาหมุนตัวไปที่ปลายห้องเต้นรำ "วิธีที่ฉันจัดกรอบระเบียบ .. ฉันจะให้เธอพูดก่อน ถ้าไรอันบอกเธอว่าฉันพูดอะไร"

ถึงกระนั้น สิ่งที่เขาคิดเป็นการส่วนตัวไม่ได้มีผลอะไรกับความเป็นจริงมากนัก หลังจากนั้นแคโรไลน์ที่เขาเห็นเป็นช่วงๆ ระหว่างที่พวกเขาเต้นรำด้วยกัน และเธอบอกชัดเจนด้วยว่า .. เธอไม่คิดว่าโอเวนจะเป็นคู่หูของเธอ 

เธอบอกว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อเขาเดินทางไปรอบๆ ทั่วดินแดนเพื่อการรวบรวมลูกโคและไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมาหรือไม่? 

ไม่ .. คุณบริสลีย์ไม่ได้มาที่ฟาร์มปศุสัตว์บ่อยนัก 

และเธอเสริมอย่างไร้เดียงสาว่าโอเวนนั้นยุ่งมาก เขาต้องขี่ม้าไปกับคาวบอยของเขา .. 

และทำไมล่ะ? มีเหตุผลอะไรอีกไหม?

แม้จะคิดเหตุผลได้มากมาย แต่โอเวนก็หันหลังให้เวทีที่มุมห้องและชิงช้า และทำสิ่งไร้สาระอื่นๆ ตามคำสั่งของชายผู้ยืนอยู่บนแท่น เพื่อว่าเมื่อทั้งสองยืนรวมกันเป็นช่วงสั้นๆ อีกครั้ง ทั้งคู่อาจจะหายใจไม่ออกและเธอก็รู้สึกกังวลใจกับผมของเธอและถอดหวีออกแล้วใส่กลับเข้าไปอีกครั้ง และโอเวนรู้สึกประหม่าที่จะขัดจังหวะเธอและไม่พูดถึงกับใครอีกว่าคู่หูของเธอเป็นใคร

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาเขากำลังมองหาเธอ ซึ่งหมายถึงการได้ขอเพื่อเต้นรำกับเธออีกครั้ง แต่เมื่อชายคนหนึ่งผลักเขาออกไปด้านข้างอย่างเร่งรีบ แล้วเดินข้ามพื้นไปพูดกับอีกคนด้วยความโกรธ 

โอเวนขยับออกไปเพื่อที่เขาจะได้เห็นแคโรไลน์ยืนขึ้นพร้อมกับทัลเพื่อเต้นรำใน 'ฉาก' อื่นที่กำลังก่อตัว

แล้วชายคนที่ชนเขากำลังพูดกับพวกเขาด้วยความโกรธ แต่โอเวนฟังไม่ทัน

“เขาเมา” ทัลเรียกผู้จัดการที่ดูแลเวทีเต้นรำ “ไล่เขาออกไป!”

ผู้ชายหลายคนลุกออกจากที่และรีบไปหาพวกเขา เนื่องจากแคโรไลน์อยู่ที่นั่นและมีแนวโน้มว่าจะมีส่วนร่วม โอเวนจึงไปถึงเธอก่อนที่พวกเขาจะไปถึง

“นี่คือการเต้นรำของฉัน!” เพื่อนคนนั้นกำลังแสดงออก “เธอสัญญากับฉันแล้ว”

“อ๊ะ ! เขาเมาแล้ว” ทัลพูดซ้ำแล้วหันไปหาโอเวน “นั่นคือ กัส สตรอม เขามาเพื่อฉันเพราะฉันไล่เขาออกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว โยนเขาทิ้งไป! เลดี้อเล็กซานเดอร์จากไร่ออชินโคลสจะไม่เต้นด้วยกับคนท่าทางขี้เมาอย่างเขา”

“โอ้ ฉันไปก็ได้ .. ฉันไม่เมา ไม่ต้องมาจับ!” อีกคนหนึ่งโต้กลับและผลักเขาผ่านฝูงชนอย่างโกรธเคือง

เลดี้แคโรไลน์รักษาตำแหน่งของเธอไว้ แม้ว่าสีจะจางหายไปจากแก้มของเธอแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีความตั้งใจจะถอยห่างออกมา ดังนั้นโอเวนจึงไม่มีอะไรที่จะทำนอกจากก้าวลงจากเวทีและทิ้งเธอไว้กับคู่หูของเธอ 

เขาออกไปตามหาชาวสวีเดนเมื่อเห็นว่าเขามุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม และดูเหมือนว่าเขาจะเดินตามไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องในห้องโถงอยู่ดี

แต่โอเวน คาเมรอนไม่ใช่นักการทูตโดยธรรมชาติ ดังนั้นเขาจึงหยุดพักอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงครู่หนึ่งและปล่อยตัวเองให้ไปรับประทานอาหารมื้อเย็นเมื่อมีคนบอกว่าผู้คนกำลังเต้นรำอยู่ที่นั่น 

อาจมีโอกาสบางอย่างที่จะยอมให้เขาได้นั่งใกล้กับแคโรไลน์ได้บ้าง

มีบางช่วงเวลาในเมืองหนึ่งที่แม้ผู้คนจำนวนมากมาและไป แต่ก็อาจมองไม่เห็น เมื่อโอเวนปิดประตูร้านเหล้าที่ปิดตามหลัง แล้วเขาก็เริ่มเดินข้ามกลับไปยังโรงแรม 

แต่เขาไม่เห็นใครเลย แม้ว่าจะมีเสียงมากมายจากร้านเหล้าหรือซาลูนเล็กๆ ในโรงแรมและโถงทางเดิน ซึ่งตอนนี้เขาอยู่เกือบครึ่งทางฝั่งตรงข้ามถนนเมื่อชายสองคนเข้ามา และจู่ๆ พวกเขาก็พบกันที่นอกหน้าต่างของโรงแรม 

โอเวนยืนอยู่ในความมืดมิดของแสงดาวและดวงจันทร์โดยไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาเป็นใคร เขาได้ยินประโยคหนึ่งหรือสองประโยคตอนเห็นพวกเขาอยู่ใกล้กัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิด แล้วพวกเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และมีแสงวาบของการยิง 

ชายคนหนึ่งล้มลงและอีกคนหมุนตัวราวกับจะวิ่ง และโอเวนก็เกือบจะชนพวกเขาแล้ว แต่ชายคนนั้นก็หันหลังกลับและยืนดูร่างที่ล้มลง

“ให้ตายสิ เขาชักมีดใส่ฉัน!” เขาร้อง และโอเวนก็เห็นว่าเป็นทัล

“เขาคือใคร?” เขาถามและคุกเข่าข้างคนที่ล้มลง ชายคนนั้นกำลังนอนอยู่ตรงที่แสงตะเกียงส่องออกมาจากหน้าต่าง แต่ใบหน้าของเขาอยู่ในเงา “โอ้ นั่นคนสวีเดนคนนั้นนี่” เขากล่าวเสริมและลุกขึ้น “ฉันจะไปหาใครสักคน ฉันเชื่อว่าเขาตายแล้ว” 

ทัลยังยืนอยู่ตรงนั้น และโอเวนก็รีบออกไปที่ประตูสำนักงานของโรงแรม

ในพื้นที่อื่นๆ การยิงจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินมันหนีไป แต่ใน 'เมืองคนเลี้ยงวัว' โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนเต้นรำ การยิงกันนับเป็นเรื่องธรรมดาพอๆ กับการตะโกน และคืนนั้นที่ซียูทเวนตี้นายก็มีการปะทุเป็นระยะๆ ซึ่งไม่มีใครแม้แต่ผู้หญิงที่จะคิดถึงมันแม้แต่น้อย จนกระทั่งโอเวนเปิดประตู ชะโงกหน้าเข้าไป และร้องว่า 

"เพื่อเห็นแก่ทางรอด! ออกไปทางนี้ .. มีเพื่อนเราคนหนึ่งถูกยิง" 

เกิดการแตกตื่นที่ประตู ขณะที่ทัลยังคงยืนอยู่ข้างอีกคนหนึ่ง และรอ 

ชายสามหรือสี่คนก้มตัวอยู่เหนือชายผู้นั้นที่นอนอยู่บนพื้น โอเวนเป็นหนึ่งในนั้น

“เขาชักปืนมาที่ฉัน” ทัลอธิบาย “ฉันพยายามเอามันออกไปจากเขา และมันก็ดับไป”

โอเวนยืนขึ้น และในขณะที่เขาทำเช่นนั้น เท้าของหัวหน้าคาวบอยหนุ่มก็ชนกับปืนพกที่อยู่ข้างชายชาวสวีเดน เขามองไปที่ทัลอย่างแปลกประหลาด แต่เขาไม่ได้พูดอะไร 

พวกเขากำลังยกร่างของชาวสวีเดนพาเขาไปที่สำนักงาน ที่พวกเขารู้ดีว่าเขาจบชีวิตแล้วแม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะนำเขาไปสู่ความสว่าง

“ใครก็ได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเลยดีกว่า” ทัลกล่าวพร้อมต่อสู้เพื่อควบคุมตนเอง “มันเป็นการป้องกันตัว สวรรค์! มันช่วยไม่ได้ เขาดึงปืนมาที่ฉัน คุณก็เห็นมันแล้วบนพื้นตรงนั้น ตรงที่ที่เขาทิ้งมันไว้”

โอเวนหันกลับมามองทัลอีกครั้ง .. ทัลสบตาเขาอย่างท้าทายก่อนจะหันหลังกลับ

“ฉันเข้าใจในตอนแรก ที่คุณจะบอกว่ามันเป็นมีด” เขาตั้งข้อสังเกตอย่างช้าๆ ทัลหันกลับมาอีกครั้ง

“ฉันไม่ได้พูด หรือถ้าฉันทำ ฉันก็กลัวจนสั่น มันเป็นปืน ปืนนั้นอยู่บนพื้น เขาพบฉันที่นั่นและเริ่มขึ้น และเขาบอกว่าเขาจะซ่อมฉัน เขาดึงปืนของเขา แล้วฉันก็คว้ามัน แล้วมันก็ดับลง .. นั่นคือทั้งหมดที่มี” 

เขาจ้องไปที่โอเวนอย่างหนัก

มีการพูดคุยกันมากมายในหมู่ผู้ชาย และหลายคนก็บอกว่าพวกเขาได้ยินชาวสวีเดน 'ด่า' บริสลีย์ในร้านเหล้าอย่างไรในเย็นวันนั้น ภัยคุกคามบางอย่างที่จำได้คือคำขู่ที่ผู้ชายจะทำอย่างโง่เขลาเมื่อเขาเทวิสกี้ลงในแก้วจนเต็มแก้ว ดูเหมือนไม่มีใครตำหนิทัล บริสลีย์เลยแม้แต่น้อย และโอเวนรู้สึกว่าทัลอยู่ในวิถีทางที่ยุติธรรมที่จะกลายเป็นวีรบุรุษ 

ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่มีความกล้าที่จะคว้าปืนที่เขาถูกคุกคาม

พวกเขาได้ค้นหาทัลคร่าวๆ และพบว่าเขาไม่มีอาวุธ และเขาก็เข้าใจว่าเขาจะต้องอยู่รอบเมืองจนกว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพจะมาและ 'นั่ง' ในคดีนี้ แต่เขาได้รับการปฏิบัติให้ดื่มทั้งทางขวาและทางซ้าย และเมื่อโอเวนไปหาแคโรไลน์ ทัลกำลังพิงบาร์พร้อมกับแก้วหนักๆ ในมือ และหมวกของเขาอยู่ด้านหลังศีรษะ เขาบอกกับฝูงชนว่าเขาไม่มีพิษภัยอย่างยิ่ง ดังนั้น ตราบใดที่เขาถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง แต่เขาไม่ปลอดภัยที่จะเล่นซ่อนหา และใครก็ตามที่มาตามล่าหาเขาด้วยปัญหา ย่อมได้รับทั้งหมดที่เขาต้องการอย่างแน่นอน แล้วก็บางส่วนด้วย เขาบอกว่าเขาไม่ได้ฆ่าคนถ้าเขาสามารถช่วยได้ แต่บางครั้งผู้ชายก็ถูกบังคับ

การเต้นรำหยุดกะทันหันด้วยการฆ่า 

คนกำลังจะกลับบ้านแล้ว โอเวนมีข้ออ้างที่ว่าเขาจะเป็นที่ต้องการตัวในการพิจารณาคดี เพื่อไล่ตามโจ อินจุน ให้เขารับผิดชอบในการสรุปผลเป็นเวลาสองสามวัน และบอกเขาว่าต้องไปทางไหน แต่สำหรับตัวเขาเอง เขาตั้งใจจะขี่ม้ากลับบ้านกับแคโรไลน์

“ถ้าเป็นกรณีนี้ที่นี่” โอเวนบอกเขาสั้นๆ กับโจ ผู้ช่วยของเขาที่เมื่อเจอตัวเขาแล้ว “ฉันไม่ชอบเขามากพอที่จะทำให้การตัดสินใจของฉันจบลงเหมือนนาฬิกาสปริง ฉันจะไปดูว่าแคโรไลน์และเคาน์เตส แม่ของเธอพร้อมไหม” 

ด้วยวิธีนี้เขาจึงหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับทัล เพราะไรอันไม่ได้ทื่อเกินไปจนเขาล้มเหลวในการรับคำใบ้

………. .⋆。♞˚


ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

18. เงามืด

 

การพิจารณาคดีส่งผลให้เป็นที่พอใจแก่บรรดาผู้ปรารถนาดีต่อทัล เพราะมันทำให้เขาไม่ต้องรับผิดชอบในการสังหารทั้งหมด .. กัส สตรอมเมาแล้ว มีคนเคยได้ยินที่เขาเคยขู่ เขาเป็นตัวปัญหาที่รุกรานในการเต้นรำและในการค้นหาคนทำทันทีหลังจากการยิงถูกพบว่าทัลไม่มีอาวุธ คดีนี้ชัดเจนว่าเป็นการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง

เมื่อถูกถาม โอเวนพูดซ้ำที่ทัลพูดกับเขาคำแรกว่า..ชาวสวีเดนดึงมีดออกมา และบอกคณะลูกขุนในการซักถามเพิ่มเติมว่าเขาไม่เห็นปืนใดๆ บนพื้นจนกระทั่งหลังจากที่เขาแยยกตัวออกไปขอความช่วยเหลือ

บริสลีย์อธิบายต่อคณะลูกขุนอย่างน่าพอใจว่า .. เขาอาจจะพูดว่ามีดแทนที่จะบอกว่ามันคือปืน เขาเคยได้ยินคนพูดกันว่าชาวสวีเดนถือมีดและเขาคาดหวังว่าเขาจะดึงมีดหนึ่งเล่ม ตอนแรกเขาสั่นเทาและแทบไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร เขาจำไม่ได้ว่าเขาพูดว่ามันเป็นมีด แต่เป็นไปได้ว่าเขาทำอย่างนั้น สำหรับในส่วนของโอเวนเอง ซึ่งเขาอาจมองไม่เห็นปืนในตอนแรกเพราะโอเวนอาจรีบร้อนและตื่นเต้นจึงสามารถมองข้ามวัตถุที่อยู่บนพื้นได้อย่างง่ายดาย พวกเขาตัดสินว่ามันคือการป้องกันตัวเองโดยไม่มีการพูดคุยใดๆ และทัลยังคงเป็นวีรบุรุษในหมู่เพื่อนของเขา

ทันทีที่เรื่องจบลง โอเวนมีท่าทางไม่ค่อยดีนักและขี่ม้าออกไปร่วมขบวนกับเกวียนของเขา

เขาไม่ได้ขี่ไปที่ไพน์แชโดว์เพื่อฟังแคโรไลน์ที่พูดถึงทัล บริสลีย์อย่างไม่หยุดหย่อน และย้ำหลายครั้งว่าเธอไม่เห็นด้วยว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการฆ่าชายคนนั้นได้อย่างไร 

อย่างไรก็ตาม การรวมตัวที่ฟาร์มปศุสัตว์ไม่ได้ทำให้เขาละเลยหน้าที่ของเขา และเขาก็ควบม้าไปตามทางโดยไม่ได้มองย้อนกลับไปว่าแคโรไลน์ตัวน้อยจะโบกมือหรือไม่ อาจเป็นเพราะเขากลัวว่าเขาจะได้รับผ้าเช็ดหน้าที่กระพือจากนิ้วมือของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเธอ

แต่เมื่อเขามาถึง โอเวนหยุดอยู่ที่ซียู ทเวนตี้นาย​​เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง และไปพบกับแคโรไลน์ที่ที่ทำการไปรษณีย์เพราะเขาบังเอิญหันไปเห็นเจ้าซันฟิซ 'ปลาปีศาจ' ของเนลที่นั่น

“ได้ไงนี่; สวัสดี แคโรไลน์!” โอเวนทักทายทันทีที่เห็นแม่สาวลูกครึ่งอังกฤษหุ่นบางร่างผอมสูงเดินมาที่ประตู “ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นคุณออกจากฟาร์มปศุสัตว์ของคุณเอง มีใครเป็นอะไรไหม?” 

มันทำให้เขารู้สึกว่าแคโรไลน์ดูกังวลมากกว่าปกติ แม้กระทั่งสำหรับเขา

“ไม่ล่ะ คุณอาโอเวน ทุกคนสบายดี สบายมาก ฉันเพิ่งเข้ามาหลังจากที่ไปที่ไปรษณีย์และสำหรับเหตุผลอีกสองสามอย่าง ของพ่อของฉัน ซึ่งกังวลเรื่องเอกสารและนิตยสารอยู่เสมอ คุณรู้ไหม ถ้าคุณจะรอสักครึ่งชั่วโมง หรือสักหนึ่งชั่วโมง คุณจะกลับบ้านด้วยกับฉันไหม? ฉันจะไปรับ”

“นั่นคือสิ่งที่ผมแน่ใจว่าจะมุ่งหน้าไป และเราสามารถขี่ม้าออกไปด้วยกัน ง่ายเหมือนไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ ว่าไหม? เราผ่านไปสองสามสัปดาห์หรือมากกว่านั้น และผมกำลังซ้อมให้คาวบอยกลับบ้านเพื่อจับม้าสองสามตัวก่อนที่เราจะตีกันอีกครั้ง ผมคิดว่าผมจะให้คนในค่ายวิ่งไปตามลำห้วย และจะอยู่ในเมืองนานพอที่ผมจะ เอ่อ เล่นการ์ดเกม”

“ฉันกำลังจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรเป็นพิเศษ” แคโรไลน์กล่าว พลางมองดูจดหมายในมือของเธอ “คุณจะไปเล่นกับใครเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

“ไม่” โอเวนบอก เลื่อนออกจากคอนเคาน์เตอร์ที่เขาเคยอยู่

“ฉันคงไม่สนใจที่จะเกมการ์ดด้วยตัวเอง” เธอตั้งข้อสังเกตด้วยท่าทางลังเล

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะเล่นและเริ่มพากันกลับบ้าน เมื่อหญิงสาวร่างบางเดินมาหาชายหนุ่มตัวสูงที่กำลังเล่นอยู่ที่โต๊ะในซียู ทเวนตี้นาย ​​และพวกเขาไม่คิดที่จะรออย่างไม่มีกำหนด

นอกเมือง แคโรไลน์หันไปหาคนตัวใหญ่อย่างเคร่งขรึม 

“ฉันได้ยินคุณบอกพ่อของฉัน ว่าคุณตั้งใจจะตั้งค่ายพักแรมที่ริมลำธาร ใช่ไหมคุณอาโอเวน?” เธอถามช้าๆ

“ใช่ ทำไม มีอะไรต่อต้านหรือเปล่า?” 

ดวงตาของโอเวนเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างสงสัยในสิ่งซึ่งแคโรไลน์ได้ตั้งคำถามในเรื่องเล็กน้อย

“เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไรเลย” แคโรไลน์กระแอมในลำคอคล้ายคนสะอึกกับคำโกหกของตน “ไม่มีอะไรเลย ตราบใดที่ยังมีลำธารให้ตั้งแคมป์อยู่ข้างๆ”

“ผมคิดว่าคุณมีบางอย่างที่จะสนับสนุนคำพูดนั้น ลำห้วยหายไป หรือมันวิ่งหนีเราไปที่ไหนสักแห่งหรือเปล่า?” 

โอเวนพูดหลังจากจ้องมองใบหน้านวลขาวไปนิ่งๆ ราวหนึ่งนาที

“คุณอาโอเวน ฉันแค่รู้สึกไม่สบายใจอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าพ่อของฉันก็กังวลมากที่จะคุยกับคุณ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันกับพ่อเห็นลำห้วยแห้งในทันทีด้วยตา มันแห้งมากจนไม่มีใครเติมกระบวยดีบุกให้เต็มได้ ยกเว้นในหลุม และฉันสังเกตเห็นมันได้ดีในตอนเที่ยง ตอนที่ฉันกับพ่อลากม้าของเราลงไปในน้ำ เราผูกอานมันทันทีและขี่ขึ้นไปบนลำห้วยเพื่อค้นหาสาเหตุ" เธอหยุดและมองที่โอเวนอย่างมั่นคง

“อืม ดีจัง ผมก็คิดว่าพวกคุณจะเจอมาก่อนแล้วซะอีก” โอเวนพูดอย่างไม่อดทน

“เป็นไปได้ เราเดินตามลำห้วยจนมาถึงคูน้ำที่กำลังขุดเพราะตาเฒ่าบริสลีย์สั่งให้ลูกชายเขาทำอย่างไม่หยุดก่อนเขาจะไปติดคุก และมันก็กำลังขุดอยู่อย่างต่อเนื่อง และจากการที่ฉันเข้าไปตีสนิทกับเขา ในคืนเต้นรำฉันจึงแกล้งสอบถามกับทัล จึงได้รู้ว่านั่นมันเป็นการสานต่อคำสั่งจากพ่อของเขา และตอนนี้ฉันพบว่าเขาทำเสร็จแล้ว และกำลังเติมน้ำจากลำห้วยลงไปเพื่อทดสอบ ฉันและพ่อเชื่อเช่นนั้น” เธอกล่าวเสริมแบบแห้งๆ “พวกเขาพบว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากสำหรับไร่ของเขาเอง คูน้ำนั้นมันอุ้มลำห้วยทั้งหมดได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ และมีที่ว่างมากมายที่ด้านบนสำหรับการรับน้ำได้เพิ่มเติม!”

นี่ถ้าหากว่าความหึงหวง และอารมณ์เสียด้วยความกังวลจะไม่ได้ครอบงำเขาอยู่ บางทีคนตัวใหญ่อาจจะสำนึกได้ถึงคำว่า 'ตีสนิท' และคำว่า 'แกล้ง' ของสาวน้อยตรงหน้าได้กระจ่างใจกว่านี้

“เอาล่ะ ผมอยากคุยกับพ่อของคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม”

และพวกเขาก็รีบบึ่งตรงไปหาไรอันเพื่อพูดคุยกันต่อถึงเรื่องนี้

“นรก!” 

โอเวนพูดอย่างที่ไรอันรู้ดีว่าเขาจะพูดยามเมื่อต้องอยู่คุยกันตามลำพัง เพราะแคโรไลน์ คาเมรอนต้องผละตัวไปช่วยงานบ้าน เพราะวันนี้มารดาจะสอนเธอทำขนมและเพื่อดูแลสาวใช้ตอนจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้พวกเขา

“แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าที่เขาเรียกร้องสิทธิในการใช้น้ำของเขา” หนุ่มที่ปรึกษาขุนนางเจ้าของปศุสัตว์กล่าวเสริม “คุณได้น้ำพร้อมกับฟาร์มปศุสัตว์แล้ว คุณไม่ได้บอกเหรอ?”

“ผมได้ที่สาม .. สาม สี่ และห้า ผมได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในสัปดาห์ที่แล้ว ผมพบว่าเราสามารถมีน้ำทั้งหมดที่มีอยู่ หลังจากที่ผ่านไร่ของบริสลีย์ไป เพราะสิทธิ์ของเขาเป็นที่หนึ่งและสอง และจะครอบคลุมน้ำทั้งหมดในลำห้วยที่จะบรรทุกได้ถ้าเขาเลือกที่จะใช้จนหมด ผมสงสัยว่าเขากำลังมองหาการประท้วงบางอย่างจากผม เพราะเขามีเอกสารในกระเป๋าของเขาและแสดงให้ผมดู หลังจากนั้นผมก็สอบสวนตามที่ผมพูดและพบว่าคดีนั้นตรงตามที่ผมได้แจ้งไว้”

โอเวนจ้องไปที่แก้ววิสกี้สีอำพันในมือของเขาเป็นเวลานาน 

“อย่างไรก็ดี, เขาใช้ลำธารทั้งลำน้ำไม่ได้หรอก” เขาพูดในที่สุด “ไม่ .. เว้นไว้แต่ว่าเขาจะปล่อยให้มันกลายเป็นเรื่องของคนใจร้าย และผมไม่เชื่อว่าเขาจะเสียน้ำได้แม้ว่าเขาจะถือสิทธิ์ก็ตาม เราสามารถหยุดยั้งสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็ว คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคำสั่งห้ามหรือไม่? ถ้าคุณไม่, คุณควรตรวจสอบพวกเขาให้มาก เพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์นี้เลย และเรามีหน้าที่ต้องรับมือกับเรื่องไม่ดี”

“ผมเชื่อว่าผมอาจพูดตามจริงว่าผมเข้าใจการใช้ในทางที่ผิดของคำสั่งห้าม โอเวน ในภาคตะวันออก พวกเขาส่วนใหญ่ใช้ปืนเป็นอาวุธต่อสู้กัน และผมคิดว่าผมพูดได้โดยไม่ต้องโอ้อวดว่าสามารถตีตราวัวได้เช่นเดียวกับผู้ชายส่วนใหญ่ แต่สมมติว่าถ้านายบริสลีย์ใช้น้ำ หรือจะไม่สมมติก็ได้ว่า .. ถ้ามันไม่มีน้ำจะเหลือพอให้มันไหลเลี้ยวกลับเข้าไปในลำห้วยล่ะ? พวกเขามีกำลังคนจำนวนมากที่ทำงานด้านข้างจากคูน้ำหลักซึ่งอุ้มน้ำขึ้นไปข้างบนและเหนือที่ราบสูง และไร่ของเราก็ใช้เสรีภาพในการเดินตามเส้นหลักของเขา อย่างที่คุณพูด โอเวน ดูเหมือนว่าเขาจะทดน้ำไปทั่วทั้งมอนทาน่าตอนเหนือ แน่นอนว่ารั้วแบ่งเขตของเขามันได้ครอบคลุมทั้งลำห้วยทั้งด้านล่าง ด้านบน และด้านล่างของคูน้ำหลัก และบนพื้นดินด้วย”

“นรก! .. ยังมีอะไรอีกไหม?”

“ผมไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ เว้นแต่เขาทำมันเสร็จแล้วและได้เลี้ยงโคจำนวนมาก .. แต่ว่ามันก็ถูกขุดจนเสร็จแล้ว แม้จะพูดอย่างเคร่งครัดว่าเขายังไม่ได้ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นบนทุ่งผืนใหญ่ทางตอนใต้ของลำห้วย และทางตะวันออกของเรา แต่ครั้งก่อนที่เขามากินข้าวกับเรา วันที่คุณเจอ นายบริสลีย์คนลูกก็บอกผมมาว่าบริสลีย์คนพ่อตั้งใจจะล้อมรั้วผืนหนึ่งไว้ทางเหนือของเรา ไม่ว่าฤดูใบไม้ร่วงนี้หรือต้นฤดูใบไม้ผลิ ผมรู้แน่ชัดว่าเขามีพื้นที่ดีๆ ให้เช่าอยู่หลายส่วน ซึ่งผมพยายามที่จะได้มันมาบางส่วนเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว .. และทำไม่ได้" 

น้ำเสียงของไรอันถูกคืบคลานด้วยตัวโน้ตของความท้อแท้

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไรอัน ฉันมาที่นี่เพื่อดึงคุณขึ้นมาด้านบน และคุณก็จะทำเช่นกัน” โอเวนเริ่มคิดได้ว่าเขาควรที่จะปลอบใจสหายที่ทุกข์ทนของเขา “คุณเป็นมืออาชีพเมื่อพูดถึงประเด็นที่ดีในเชิงธุรกิจ และผมแน่ใจว่าเราจะเข้าใจทุกสิ่งได้ในช่วงท้ายเกม ดังนั้นระหว่างเราจึงควรสร้างความดี ไม่คิดเหรอ? คุณเพียงแค่จับตาดูเจ้าหนุ่มบริสลีย์ และถ้าคุณสามารถตบหน้าเขาด้วยคำสั่งหรืออะไรก็ได้ อย่าโดนโจมตีกะทันหัน เอ่อ ตามมารยาทแล้วต้องปล่อยให้เขาไถลไป ผมจะดูแลวัวเอง และถ้าผมทำได้ไม่ดีสำหรับมัน หลังจากหลายปีที่ผ่านมาผมควรจะถูกเตะดิ่งลงพื้น หมดเวลาแล้วที่เราจะพาขบวนไปถึงที่นั่นได้ และกลุ่มควันของเขาก็กวาดล้างดินแดนด้วยเนินสูง โดยมีปืนหกกระบอกหนุนหลังการโต้เถียงของเรา อืม ผมต้องการแบบนั้น” เขาเสริมอย่างครุ่นคิด “เราไม่ได้เป็นคนดีและปฏิบัติตามกฎหมาย เราสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้นด้วยควายสักสิบหรือสิบห้าตัวที่ชอบต่อสู้และมีกระสุนจำนวนมากและม้าที่ดี ทำไม ผมสามารถให้กลุ่มชายชราโกยดินลงไปในคูนั้นเพื่อตีสี่เอซ ในเวลาประมาณสิบห้านาที ถ้า—”

“แต่อย่างที่คุณพูด” ไรอันพูดอย่างกังวลใจ “เราเป็นคนดีและปฏิบัติตามกฎหมาย และขั้นตอนดังกล่าวค่อนข้างเป็นไปไม่ได้”

"อ๊ะ! ผมไม่ได้นั่งสมาธิโดยไม่มีการถูกโจมตีด้วยแสงจันทร์ ไรอัน แต่พวกคาวบอยคงจะชอบทำแน่ถ้าผมกระแอมส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้ามายุ่ง และผมคิดว่าเราน่าจะทำมันได้ดีกว่าคำสั่งสี่สิบเก้าคำสั่งและบรรดาเซียนกฎหมายทั้งหลาย"

“ระวังหน่อยสิ โอเวน ผมเคยเป็น 'เซียนกฎหมาย' มาก่อน” ไรอันประท้วง ดึงใบหน้าของเขาเป็นรอยยิ้ม “และผมรู้สึกกังวลใจกับโครงการชลประทานของบริสลีย์พ่อลูก เขากำลังจะทำงานขนาดใหญ่ ใหญ่มากสำหรับฟาร์มปศุสัตว์ส่วนตัว คุณทำให้ผมเข้าใจ โอเวน ดินแดนที่กว้างใหญ่และทุรกันดารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจะเลี้ยงโคให้ประสบความสำเร็จ และตั้งแต่นั้นมาผมก็คิดอย่างลึกซึ้งในเรื่องนี้ ผมรู้สึกมั่นใจว่ามิสเตอร์บริสลีย์จะไม่เปิดฟาร์มปศุสัตว์”

“ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น แล้วมันจะ…”

“ตอนนี้ผมไม่ได้เตรียมที่จะออกแถลงการณ์ใดๆ แม้แต่กับคุณ โอเวน ผมไม่เคยสนุกกับการถอดความ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอาจพูดได้ จนถึงขณะนี้ พวกบริสลีย์ยังคงรักษาสิทธิ์ทางกฎหมายของเขาไว้อย่างดี และเราไม่มีเหตุผลที่เป็นไปได้สำหรับการโต้แย้ง เห็นไหม บางทีเราน่าจะหันความสนใจทั้งหมดไปที่เรื่องของเราดีกว่า"

“แน่นอน. ผมมีปัญหามากมาย เอ่อ .. ของผมเอง” โอเวนเห็นด้วย อย่างเด่นชัดกว่าที่เขาตั้งใจไว้

ไรอันมองเขาอย่างลังเล 

“แคโรไลน์หรือเปล่า?” 

เขาสังเกตอย่างช้าๆ จากนั้น ราวกับว่าคำพูดนั้นดูเหมือนจะเวิ้งว้างเกินไปสำหรับเขา แม้ว่าโอเวนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและมีรอยย่นระหว่างคิ้วที่แตกต่างกันสามรอย แต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากคำสบถที่เขาชอบพึมพำออกมาด้วยซ้ำยามหงุดหงิด และไรอันก็เข้าใจเขาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม โอเวนก็ได้เรียนรู้บทเรียนแล้วและไม่ขอให้แคโรไลน์ขึ้นม้าไปกับเขา เขาไม่มีความปรารถนาที่จะอยากฟังเธอพูดถึงทัลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงอยู่ห่างจากเธอและให้เวลาทั้งหมดในการขี่ม้าและการงานโดยทั่วไป และกิน และนอนในค่ายเพื่อหลีกเลี่ยงให้ห่างจากบ้านของสหายของเขาอย่างสมบูรณ์ และสำหรับโอเวน ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เหล่าคาวบอยตั้งค่ายอยู่รอบๆ ลำห้วย ไม่มีสถานการณ์ใดจะทนได้มากไปกว่าสถานการณ์ที่เขาต้องทน

แม้บางครั้งในค่ำคืนที่เขานอนไม่หลับ ชายหนุ่มสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีใครฝันกลางวันถึงอุปสรรคอันไม่พึงประสงค์และความล้มเหลวที่น่าท้อใจในวิมานอากาศ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเขาเห็นว่าความฝันของเขาเป็นจริงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อเขาพบว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์แห่งไร่ออลชินโคลสอย่างสมบูรณ์โดยที่เขาเป็นเพียงหนึ่งในผู้ชายคนหนึ่งมานานหลายปี เมื่อเขารู้ว่าเธอชอบเขาอยู่บ้าง และมีศรัทธามากพอที่จะเชื่อว่าเขาสามารถเอาชนะใจเธอเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีกว่ามิตรภาพ สิ่งดีๆ ทั้งหมดเหล่านี้ควรรวมเข้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงหรือไม่?

ทำไมเขาต้องกังวลเรื่องไร่ออชิโคลสที่ดูเหมือนเขาจะหมายถึงความสำเร็จของเขามาโดยตลอด? 

ทำไมเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ครั้งแรกและครั้งเดียวของเขาต้องถูกขัดขวางโดยองค์ประกอบที่น่ารำคาญอย่างทัล? 

และทำไมลูกสาวของสหายของเขา แม่สาวน้อยคนนั้นจะต้องมาคอยบินวน คุกคามความสงบในใจของเขาผู้ซึ่งต้องการถูกทิ้งให้อยู่เพียงตามลำพัง?

………. .⋆。♞˚



ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

19. ปัญหาที่คุมไม่ได้

 

ทว่า..คืนหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นอีกครั้งในการรวบรวมเนื้อวัวสำหรับฤดูกาลจัดส่ง โอเวนคิดว่าเขาได้แก้ปัญหานี้แล้ว – ในทางปรัชญา

ถ้ามันจะไม่น่าพอใจ …

“ฉันเดาว่ามันอาจเป็นแค่กฎธรรมชาติข้อเดียวโดยธรรมชาติที่เรามักจะเจอบ่อยๆ” เขาตัดสินใจ 

“มันเหมือนกับการเล่นไพ่โป๊กเกอร์เสมอ คุณไม่สามารถแจกไพ่ที่คุณต้องการได้ หากไม่ได้รับไพ่ที่คุณไม่ต้องการ สิ่งที่ทำให้ฉันได้ก็คือ การที่ฉันจะมองไม่เห็นว่าฟ้าถล่มมันจะเป็นอย่างไร ฉันจะทิ้งไพ่เจ้าปัญหา ถ้าฉันสามารถคว่ำหน้าพวกมันลงบนโต๊ะแล้วนับแต้ม .. บริสลีย์เฒ่าและรั้วของเขาและคูน้ำสกปรกของเขา และคนผมบลอนด์สลัวๆ คนนั้น .. ทัล .. โอ้ นรก! เราจะไม่เสาะหาเดิมพันถ้าฉันทำได้?”

ทางตรงที่โอเวนพบองค์ประกอบอื่นที่เพิ่มเข้าไปในรายการของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา หรือเพื่อติดตามอุปมาของเขา .. 

ไพ่อีกใบถูกแจกให้เขาซึ่งเขาต้องการทิ้งมันไป .. แต่เขาต้องรักษามันไว้ในมือของเขาและเล่นด้วยความสามารถเท่าที่เขาจะทำได้

เขาไม่ใช่โอเวน คาเมรอนที่ไร้กังวลซึ่งทำพรุนพายให้แคโรไลน์ คาเมรอนในกระท่อมกลางพายุหิมะคนนั้น

เขาดูแก่วัยขึ้น และมีรอยย่นเรื้อรังระหว่างคิ้วสีเข้มๆ ของเขา และน้อยครั้งนักที่เขาจะถามอย่างตรงประเด็น

“เธอไม่ใช่แม่ไก่ในฤดูใบไม้ผลิ … ไม่ใช่!

เธอยังเด็กเกินไป…และฉันก็เป็นแค่คนดอยคนป่า

พวกเรายืนอยู่ในลานแห่งอีฟ … ท่องคำสัญญาที่หน้าโบสถ์”

เขามีความกังวลมากเกินไปที่จะร้องเพลงอะไรก็ได้ในแบบของคาวบอย 

………. .⋆。♞˚

เมื่อถึงสัปดาห์ที่รวบรวมรถบรรทุกขบวนใหญ่ขบวนแรกที่เลี้ยวเข้าตลาด และเขากำลังเฝ้าดูเบ็นและโจปิดประตูโรงเก็บสินค้าตามหางฝูงสัตว์ที่หอคอยที่ซึ่งเป็นจุดขนส่งที่ใกล้ที่สุด ซึ่งองค์ประกอบที่ไม่ชอบมาพากลก็มาจากคนของไรอัน และเป็นข่าวที่เขาเบื่อ

แคโรไลน์ขี่ม้าไปถึงที่ที่โอเวนซึ่งรออยู่ด้านในปีกของคอกม้า หัวหน้าคนงานเอนตัวลง เอาเท้าข้างหนึ่งออกจากโกลน และจุดบุหรี่อยู่ ขณะที่เลดี้แคโรไลน์หันมามอง .. เธอยังคงดูอ่อนหวาน งามสง่า น่ารักและมีเสน่ห์เช่นที่เขาเคยเห็นเธอที่กระท่อมของเขาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แต่มีบางสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นในคุณลักษณะของเธอ ทุกวันนี้เธอนั่งบนหลังเจ้าซันฟิซ ม้าปีศาจของเธอด้วยความมั่นใจมากขึ้น ผิวของเธอเป็นสีทองและมีลักษณะที่หนักแน่น เคร่งขรึม และเฉลียวฉลาด .. ซึ่งการใช้ชีวิตกลางแจ้งบ่มเพาะเธอได้ดี

“สวัสดี เนล!” มันเป็นรอยยิ้มของเขาที่ยากจะปกปิด

“เมื่อวานและวันก่อนฉันกับพ่อเดินท่อมๆ ตามหาคุณไปทั่วเลย คุณอาโอเวน” เธอพูดทันทีเมื่อโอเวนทักทายเธอจบลง

“ผมพร้อมจะพนันว่าบริสลีย์ทำอะไรลงไปแล้ว และปล่อยให้ลำห้วยเหือดแห้งอีกครั้ง” 

โอเวนเยาะเย้ยโดยตั้งใจแน่วแน่ในขณะนั้นว่าเขาจะหันหลังให้กับปัญหา

“ไม่ คุณคาเมรอน คุณแพ้แน่นอน ลำห้วยมีปริมาณน้ำไหลเกือบปกติ ฉันและพ่อไม่ได้ชอบที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาระหน้าที่ของคุณมากนัก คุณอาโอเวน แต่ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน เรารู้สึกมีเหตุผลที่จะบอกคุณว่า .. อย่าเพิ่งส่งฝูงสัตว์เหล่านี้ออกไปตอนนี้ ฉันถูกพ่อฝึกฝนให้เฝ้าดูตลาดและเราทั้งคู่ก็เฝ้าดูมันด้วยความไม่สบายใจมาในระยะหนึ่งเดือนแล้ว .. ราคาเนื้อลดลงเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ .. จากสองในเก้าสิบเป็นสามในหกสิบ และคุณจะเห็นได้อย่างง่ายดาย คุณอา ที่เราไม่สามารถส่งได้ในตัวเลขนั้น ด้วยเหตุผลหลายประการ เราไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องธุรกิจกับคุณ แต่ตอนนี้พ่อของฉันส่งฉันมาให้ระบุกับคุณว่า .. มันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องตระหนักอย่างเพียงพอจากการขนส่งเนื้อวัวเพื่อชำระเงินค่าจำนองและจ่ายดอกเบี้ยส่วนที่เหลือ มันจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากหากเราสามารถเคลียร์ได้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในปีหน้า .. คุณอารู้หรือไม่ว่าจะมีเนื้อวัวจำนวนเท่าใดที่จะจัดส่งในฤดูใบไม้ร่วงนี้?”

“คิดว่าหกสิบหรือเจ็ดสิบคัน” 

โอเวนกล่าว ตามสัญชาตญาณ หนุ่มคาวบอยตัวใหญ่ดึงตัวเองขึ้นไปวางบนอานม้าคู่ใจเพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินครั้งใหม่นี้ และท่าทีอันงามสง่าเขาก็ได้เรียกสีกุหลาบให้ปรากฏบนใบหน้าของแคโรไลน์ได้โดยใช่เหตุ และเธอก็เอาแต่แอบภาวนาว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นมันให้เธอต้องรู้สึกอับอาย เพราะดูเหมือนเขาจะมีอิทธิพลต่อการไหลเวียนของทุกเส้นเลือดในกายเธอ

โอเวนมองดูเธอที่ก้มหน้าหยิบดินสอและจดหมายเก่าๆ ของพ่อของเธอออกมาจากกระเป๋า อ่านมันซ้ำอีกหนด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิดคำนวณอย่างฉับไว 

“ด้วยเนื้อวัวที่ต่ำมาก และถ้ามันเป็นไปตามที่พ่อของฉันบอก ฉันเกรงว่าเราคงจะต้องขอให้คุณดูแลฝูงสัตว์นี้ไปอีกเป็นเวลาสองหรือสามสัปดาห์ เราคาดไว้ว่าราคามันอาจจะสูงขึ้นอีกในภายหลัง พ่อเคยบอกฉันว่า มันเป็นเพียงการเล่นกลในหมู่นักเก็งกำไรและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสภาพของหุ้นหรือของตลาด … ในอีกสองสามสัปดาห์ ราคาควรจะเป็นปกติอีกครั้ง”

“และในอีกไม่กี่สัปดาห์ กลุ่มนี้จะนำมาซึ่งตัวเลขที่ต่ำที่สุดที่พวกเขาตั้งชื่อ” โอเวนยืนยันหนักแน่น “ราคาเนื้อวัวจะหดตัวราวกับฟ้าถล่มเมื่อมันถูกยกขึ้นและการต้อนฝูงสัตว์ในระยะเวลาที่แย่ สิ่งที่ควรทำดีกว่านี้ เนล คุณต้องไปบอกแก่ไรอัน .. บอกให้เขาปล่อยให้ผมจัดการกับสัตว์ฝูงนี้ .. และส่งเฉพาะเนื้อชั้นยอด—พวกมันล้วนเป็นเนื้อชั้นดี” หัวหน้าคาวบอยเสริมอย่างเสียดายขณะเหลือบมองผ่านรั้วไปที่ฝูงสัตว์ “บอกเขาว่า ผมสามารถตัดออกสิบจากสิบสองคัน นั่นจะนำมาซึ่งราคาสูงสุดมาให้เรา และโยนส่วนที่เหลือกลับไปที่ช่วงระยะจนกว่าเราจะรวมฝูงใหม่กันอีกครั้ง คุณจะไม่สูญเสียมากขนาดนั้น คุณจะไม่สูญเสียมากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้โดยถือผลงานทั้งหมด”

“อืม” อนาคตเจ้าของไร่สาวลังเล “บางทีคุณอาจพูดถูก ฉันจะไม่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจด้านนี้ เพื่ออธิบายให้คุณฟังอย่างชัดแจ้ง เราต้องเคลียร์เงินสี่หมื่นดอลลาร์จากเนื้อวัวของเราในฤดูใบไม้ร่วงนี้ .. สำหรับการจำนองเพียงอย่างเดียว - ตีเป็นตัวเลขกลมๆ เราควรมีเงินหนึ่งหมื่นดอลลาร์สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อที่จะได้เคลียร์โดยไม่ต้องเพิ่มภาระหนี้สินของเรา ฉันกับพ่อจะต้องพึ่งพาให้คุณช่วยจัดการ ถ้าคุณจะเลื่อนการรวบรวมเนื้ออีกจนกว่า…”

“มันเป็นแค่กรณีนี้..ตอนนี้หรือไม่เลย” โอเวนตัดบท “มีเวลาเพียงไม่นานที่จะรวบรวมเนื้อวัวก่อนที่น้ำหนักของพวกมันจะเริ่มลดลง จากนั้น เราจะต้องรวบรวมลูกวัวและหย่านมพวกมันก่อนอากาศหนาวเย็นจะเข้ามาเยือน เราไม่สามารถทำงานได้มากหลังจากหิมะตก เราสามารถฝ่าพายุลูกแรกไปได้ก็จริง แต่เมื่อฤดูหนาวเข้ามาเราก็จบเห่แล้ว เราต้องหย่านมและเลี้ยงลูกวัวทั้งหมดที่คุณมีด้วยหญ้าแห้ง และผมสามารถรักษาความสูญเสียได้ด้วยการระมัดระวังและพาพวกมันออกจากวัวที่ไม่สมบูรณ์ และทิ้งวัวอ้วนพีไว้ให้หลบหนาว .. คุณมีฟางมากแค่ไหน?”

“เกินห้าร้อยตันมาเล็กน้อยในที่ของเรา” แคโรไลน์ตอบ “และพ่อบอกให้ฉันมาบอกคุณว่าเราจะส่งวัวกลุ่มเล็กๆ ไปไว้ที่ไชร์; พวกมันมีเกือบร้อยตันที่นั่น .. อย่างที่บอก .. คุณบอกให้ฉันรวบรวมหอกทุกอันเท่าที่ทำได้” เธอนึกถึงอารมณ์ขัน “และฉันกับพ่อก็เชื่อฟังคุณสุดความสามารถ”

“ทำได้ดีมาก เนล ผมจะรวบรวมลูกวัวแปดหรือเก้าร้อยตัว; แล้วนั่นจะช่วยได้บ้าง อืม ผมจะตัดส่วนที่ดีของเนื้อฝูงนี้ออก หรือจะโยนภาระทั้งหมดกลับเข้าไปในขอบเขตนั้นดี .. พวกคุณจะเป็นคนตัดสิน”

แคโรไลน์ขยับซันฟิซเข้ามาใกล้รั้วสูง ยืดตัวหลังตรงอยู่ในโกลนของเธอและมองลงไปที่มวลแผ่นหลังที่กว้างและเพรียวบางที่เคลื่อนเข้าและออกอย่างกระสับกระส่าย โดยไม่มีจุดหมายนอกจากแสวงหาทางหลุดพ้น .. เสียงร้องคำรามของพวกมันทำให้คนเฝ้าดูต้องพูดกันได้อย่างลำบากในทุกระยะ และฝุ่นก็ทำให้เธอจามออกมา

“ฉันคิดแบบนี้นะคะคุณอาโอเวน …ว่า” เธอพูดเมื่อเธอกลับไปอยู่เคียงข้างโอเวนอีกครั้ง “ฉันจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของคุณเอง สิ่งที่ฉันกับพ่อต้องการคือทำให้ทุกๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้จากเนื้อที่เราจัดส่ง รายละเอียดที่เราพอใจจะฝากไว้กับคุณ เพราะด้วยความไม่รู้ของฉันและพ่อ พวกฉันน่าจะทำให้งานเสีย อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่าเราสามารถจัดการได้ในกรณีที่ราคาเนื้อในตลาดขึ้นอย่างกะทันหัน คุณสามารถรีบเร่งจัดส่งบนขบวนรถไฟในเวลาอันสั้นได้ใช่ไหม?”

“ให้เวลาผมสองสัปดาห์ในการดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ และผมสามารถบรรทุกรถไฟระหว่างทางไปชิคาโกได้เร็วจนพวกคุณเวียนหัว ผมจะทำให้พร้อมในระยะเวลาอันสั้น และก่อนที่เราจะถอนตัว ผมจะให้โปรแกรมที่ดีกว่ากับคุณและไรอัน ในอีกสัก..สามหรือสี่สัปดาห์ถัดไป ดังนั้นคุณจะได้ส่งคนออกไปส่งข่าวและให้เขาตามหาเรา และผมจะไม่นำเข้าฝูงสัตว์อีกจนกว่าคุณจะส่งข่าวมา .. แต่อย่าลืมว่า ผมไม่สามารถออกไปจากยอดเขาของที่นั่นได้จนหิมะโปรยปราย เพื่อรอราคาขึ้นในชิคาโก คุณคงไม่อยากละสายตา .. มีลูกวัวเก้าร้อยตัวที่เรายังต้องรวบรวม"

ทุกอย่างดีพอสำหรับโอเวนที่จะสัญญาอย่างหนักแน่นและมั่นใจ แต่เขาล้มเหลวที่จะคำนึงถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาควบคุมไม่ได้ ระบบการรวบรวมเนื้อวัวของเขาสมบูรณ์แบบมาก และเขารวบรวมเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดเท่านั้น เพื่อจับราคาที่สูงสุด เมื่อข้อความของไรอันมาถึง สั้นและเร่งรีบ แต่ใช้คำอย่างสละสลวยและเว้นวรรคตอนอย่างสมบูรณ์ .. 

เนื้อวัวนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสี่ในสามสิบ และ "โปรดเร่งจัดส่งตามข้อตกลง" 

โอเวนมีเนื้อวัวเต็มขบวนในหอคอย เตรียมพร้อมที่จะบรรทุกเพียงสามวันหลังจากได้รับแจ้ง แต่ที่นี่มันถูกแทรกแซงรายละเอียดที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ .. ไรอันจำได้ว่าต้องสั่งรถยนต์ แต่การขนส่งนั้นมีน้ำหนักที่มากและไม่ควรใช้รถยนต์

พวกเขารออยู่นอกหอคอยเป็นเวลาสองสัปดาห์อันยาวนานและน่าเวทนา ซึ่งอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และด้วยอาหารมื้อสั้นอันทรงพลังสำหรับฝูงสัตว์ ตามคำสัญญาของผู้บริหารการรถไฟฯ และการรับประกันรายวันของตัวแทนว่ารถอาจพร้อมเมื่อใดก็ได้ภายในสี่ชั่วโมง (เขาพูดเสมอว่าสี่ชั่วโมงซึ่งเป็นกำหนดเวลาสำหรับการขนส่งสินค้าด่วนระหว่างหอคอยและจุดแบ่งสินค้า) สองสัปดาห์อันยาวนาน ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูรถไฟบรรทุกสินค้าขบวนยาวที่คดเคี้ยวไปตามทุ่งหญ้ามุ่งสู่เมืองชิคาโกจากเนินเขารอบๆ 

ช่วงเวลาวันและคืนที่บ้าคลั่งเหล่านั้นโอเวนก็ได้เพิ่มรอยย่นใหม่ๆ เป็นฝูงให้กับระหว่างหัวคิ้วทั้งสองของเขาและมันก็ทำให้รอยเก่าดูลึกขึ้น และไรอันกับแคโรไลน์ก็ผลัดกันขี่ม้าสามตัววิ่งไปวิ่งมาระหว่างฟาร์มปศุสัตว์กับฝูงสัตว์ด้วยความวิตกกังวลที่ทำอะไรไม่ถูก

ในที่สุดรถก็มาและเนื้อวัวที่บางกว่าที่เคยเป็นอยู่ก็ถูกบรรทุกและหายไป และทั้งสามก็ผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า

ราคาตลาดลดลงไปอีกเมื่อเนื้อนั้นไปถึงจุดหมายปลายทาง และพวกมันไม่ได้นำมาซึ่งราคา "สูงสุด" อย่างที่โอเวนเคยสัญญาไว้กับแคโรไลน์และไรอัน 

ดังนั้นฤดูกาลขนส่งจึงผ่านไป และไรอันก็ต้องชำระเงินค่าจำนองด้วยการกู้เงินหนึ่งหมื่นสองพันดอลลาร์ โดยใช้เงินมากกว่าสองพันเล็กน้อยเพื่อชดเชยการขาดดุลในการส่งคืนสินค้าและเก็บส่วนที่เหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน

แท้จริงแล้ว องค์ประกอบที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งจะคืบคลานเข้ามาในที่ที่โอเวนคาดไม่ถึงก็ได้ทำคะแนนไว้ตรงนั้น 

และอีกครั้งที่ปราสาทสีทองที่เขาอยากสร้างขึ้นเพื่อตัวเขาเองและสหายของเขา เคานต์ไรอัน และผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ยึดครองหัวใจของเขาก็ต้องกลับไปนอนนิ่งและตกอยู่ในเงามืดอีกหน

………. .⋆。♞˚



ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน

สามีแดนเถื่อน

ภาค III

20. เมื่อลมเหนือพัดมา

 

พฤศจิกายนมาพร้อมกับพายุหิมะ หนึ่งในนั้นคือพายุหิมะที่หมุนวนปกคลุมไปทั่วอย่างรวดเร็ว ด้วยความหนาวเย็นอันขมขื่นและลมที่พัดพาผงหิมะที่ละเอียดผ่านผนังเพิง และรอบๆ วงกบหน้าต่าง และทำให้ดูว่าน่าจะเก็งกำไรได้ในอุปทานของการจัดหาเชื้อเพลิง 

พายุดังกล่าวนำมาซึ่งผลที่ตามมาจากคนเลี้ยงแกะที่ถูกรายงานว่าหายไปพร้อมกับฝูงแกะที่พลัดกระจัดกระจาย และเดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย หรือถูกแช่แข็งเป็นก้อนรวมเป็นฝูงในบางจุดที่มีการชะล้าง พายุดังกล่าวทำให้ฝูงวัวควายลอยเร่ร่อน ก้มหน้าลงและโค้งลำตัวเข้าหากัน โดยไม่รู้หรือสนใจว่าเส้นทางของพวกมันจะไปสิ้นสุดที่ใด ดังนั้นพวกมันจึงไม่จำเป็นต้องเผชิญแรงขับอันขมขื่นของลมและหิมะ

มันเป็นพายุลูกแรกของฤดูกาล พวกเขาบอกกันและกันว่ามันจะเป็นพายุที่เลวร้ายที่สุด .. และเมื่อมันมาถึง เกวียนของไร่ออชินโคลสก็เคลื่อนเข้ามาพร้อมกับฝูงลูกวัวและวัวจำนวนมาก และพวกเขาถูกบังคับให้ไปตั้งค่ายพักอย่างเร่งรีบในที่กำบังของหุบเขาเล็กๆ จนกระทั่งมันจบลง และต้องเดินจูงม้าเป็นส่วนใหญ่เพื่อคอยระวังไม่ให้ต้องนั่งตัวแข็งอยู่บนอานม้า แต่พวกเขาก็ผ่านพ้นมันไปได้ และพวกเขาก็มาถึงฟาร์มปศุสัตว์ และกรงที่ยังเหลือลูกวัวเพียงไม่กี่ตัวบนเส้นทางเพื่อเป็นเครื่องหมายของการผ่านพ้นอันขมขื่นของพวกเขา

ในวันแรกแห่งความเยือกเย็นและสงบหลังจากนั้น ฟาร์มปศุสัตว์ดังกังวานทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยเสียงที่ซ้ำซากจำเจและไม่อาจบรรยายได้ ซึ่งไม่เหมือนเสียงอื่นใดในโลก นอกเสียจากว่าจะเป็นเสียงคลื่นกระทบชายฝั่งที่เป็นโขดหิน .. เสียงร้องของลูกวัวเก้าร้อยตัวที่อยู่ในคอก ความโกลาหลของพวกมันเป็นศูนย์กลางของเสียงโห่ร้องประท้วงของวัวเก้าร้อยตัวที่วนเวียนอยู่ข้างนอก ยืนเอาจมูกกดชิดกับราวกั้นของคอก

ไม่ใช่หนึ่งวันหนึ่งคืนหรือสอง ความโกลาหลตลอดสี่วันไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย และในวันที่ห้า เสียงหนึ่งหมื่นแปดร้อยเสียงก็แหบแห้งเสียจนลูกวัวทำได้เพียงแค่กระซิบบ่น ก่อนพวกมันจะยอมแพ้ด้วยความขยะแขยงและเริ่มดมจมูกลงบนกองหญ้าแห้งที่กระจัดกระจาย วัวที่ถูกกระตุ้นด้วยความหิวโหย ได้พลัดหลงจากวงกลมที่หม่นคล้ำรอบๆ คอก และไปขุดหาหญ้าที่สุกแล้วในหิมะซึ่งพวกมันจะต้องมีชีวิตอยู่ตลอดฤดูหนาว พวกมันถูกขับออกไปที่ลานโล่งและทิ้งไว้ที่นั่น และชาวออชินโคลสทั้งหลายก็ตกลงสู่ความเงียบที่พอเทียบได้ด้วยความสงบที่พวกเขาจะได้รับ คนงานครึ่งหนึ่งกลิ้งแปลงฟางหญ้า และขี่ม้าไปยังที่อื่นเพื่อใช้เวลาช่วงฤดูหนาว และจะกลับมายังทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์พร้อมสัมผัสแรกของท้องฟ้าที่นุ่มนวลและผืนหญ้าที่เขียวขจี

โจ และเพื่อนชาวอินจุนของพวกเขาอีกคนย้ายไปดูแลค่ายในไชร์พร้อมกับลูกวัวมากที่สุดเท่าที่หญ้าแห้งที่นั่นจะมีให้มันกินได้ และเบ็นกับคาวบอยอีกคนก็ถูกส่งไปที่ค่ายพักริมป่าเพื่อไปคอยหาเสบียงในฤดูหนาว มีเพียงเยาวชนคาวบอยสองคนที่ยังคงไว้ที่ฟาร์มออชินโคลสเพื่อเลี้ยงลูกวัวและทำตัวให้มีประโยชน์โดยทั่วไป พวกเขายังเป็นเด็กชายที่ดีและค่อนข้างจะเงียบ และเพราะพวกเขายังต้องกินอาหารที่บ้านไร่ ซึ่งรวมถึงพวกผู้หญิงและสาวใช้คนอื่นๆ

ดังนั้นออชินโคลสจึงตั้งรกรากในฤดูหนาวที่ยาวนาน และสิ่งที่อาจนำมาซึ่งผลดีหรือไม่ดี

โอเวนกังวลใจมากกว่าหนึ่งอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะเห็นว่าแคโรไลน์กังวลอย่างมากในปัญหาของพ่อและเรื่องฟาร์มของเธอ และความห่วงใยในสุขภาพของแม่ที่น่ารักอ่อนหวานของเธอ ด้วยเงาแห่งความเศร้าโศกที่ซ่อนเร้นจากพวกเขาในดินแดนทางเหนือที่หนาวเหน็บ 

ไม่มีการเต้นรำใดๆ ที่ทำให้สัปดาห์ที่ผ่านไปนั้นสดใสขึ้น และพวกผู้หญิงในดินแดนอันห่างไกลไม่ได้รับสิทธิอย่างมากในการไปเยี่ยมเยียนกันในฤดูหนาว เพราะระยะทางระหว่างฟาร์มปศุสัตว์นั้นยาวไกลหลายไมล์ หนาวเกินไป และอากาศก็ไม่แน่นอน ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรที่มีเสน่ห์ไปกว่าการเต้นรำที่จะดึงดูดใจให้พวกเขาออกจากบ้าน 

โอเวนคิดว่ามันน่าเสียดาย และแคโรไลน์ต้องโดดเดี่ยวอย่างแสนสาหัส

เป็นเวลานานก่อนที่เขาจะมีเวลามากกว่าห้านาทีในการพูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว 

เช้าวันหนึ่งเขาเข้ามารับประทานอาหารเช้าและเห็นว่าเก้าอี้ของไรอันและเคาน์เตสของเขาว่างเปล่า, แคโรไลน์ คาเมรอนกำลังสาละวนกับสาวใช้ของเธอในครัว และเมื่อสุดท้ายสาวใช้ก็เดินยกอ่างน้ำอุ่นออกไป และแคโรไลน์ก็บอกเขาด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะกังวลใจว่าไรอันขี่ม้าเข้าไปในเมืองแต่เช้าตรู่ และแม่ของเธอยังนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการปวดฟัน

“ผมไม่มีโอกาสคุยกับคุณเลย แทบจะหลายเดือนแล้ว อะไรนอกจากคำพูดทั่วไปในที่สาธารณะ” ภรรยาในนามของเขาหยุดกะทันหันและหันไปตักน้ำร้อน ต่อเมื่อโอเวนพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงแสดงสัญชาตญาณเห็นอกเห็นใจที่เธอต้องการ “วันนี้ผมไม่เห็นเคาน์เตสเลย เธอสบายดีใช่ไหม?” 

“ใบหน้าของเธอบวมข้างหนึ่งจนไม่สามารถยกลักยิ้มที่น่ารักสดใสของเธอเพื่อช่วยชีวิตของฉันได้เวลานี้” 

เธอกล่าวเสริมโดยเหลือบไปมองประตูที่ปิดอย่างสุขุม พร้อมเขย่ามีดและส้อมจำนวนหนึ่งลงในชามอย่างคนที่อารมณ์ไม่ค่อยสดใส ที่ทำให้โอเวนรู้สึกผิด เพราะอย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นเธอน่ารักเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาและดูจะจับต้องได้มากขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาเธอ เอียงศีรษะเล็กน้อย และจูบลงตรงที่ซึ่งไม่มีลักยิ้มทรงเสน่ห์เหมือนแม่ของเธอ

“นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมหลงใหลคุณมากนะ เนล” เขาพึมพำ “เพราะคุณมีผมสีทอง ตาสีฟ้า ขอบคุณพระเจ้า! สักวัน หนึ่งเถอะสาวน้อย ผมจะมารับตัวคุณไป แล้ววิ่งหนีไปกับคุณ” โอเวนเรียกหาอารมณ์ขันของตนเองมาใช้งานอย่างเก้งก้างเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น ขณะที่ดวงตาของภรรยาตัวน้อยที่มองขึ้นมาที่สามีคาวบอยตัวสูงชั่วครู่ด้วยเฉดสีที่ปั่นป่วน 

“คุณควรระวัง มิฉะนั้นฉันจะหนีไปกับคุณ!” 

เธอพูดแล้วผละออกจากเขาอย่างแผ่วเบา และนั่นมันทำให้เขาค่อนข้างปวดหัวใจ

“ผมรู้ว่ามันยาก ที่รัก” โอเวนดึงผ้าเช็ดจานออกจากตะปูที่ประตูตู้กับข้าวและเตรียมจะช่วยเธอ “อาการปวดฟันโดยทั่วไปเป็นอย่างไร?”

“ฉันคิดว่ามันเจ็บ ใช่ ฉันหวังว่าใบหน้าของแม่จะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดฤดูหนาว” แคโรไลน์ยิ้มอย่างไม่เต็มใจด้วยความกังวลกับอาการของแม่ “และพ่อก็ออกไปที่เมือง” เธอพูดอย่างไม่เกี่ยวข้อง “คุณก็รู้ใช่ไหม ฤดูหนาวน่าเบื่อ ฉันอยากออกไปด้วยกับพ่อ แต่แม่ก็ป่วย นั่นจึงทำให้ฉันกังวลมาก” 

ความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่มันมีวิธีที่ไม่สบายใจในการนำปัญหาทั้งหมดไปสู่เบื้องหน้าค่อนข้างอย่างท่วมท้น จู่ๆ แคโรไลน์ก็ทิ้งจานกลับลงไปในกระทะ เอนตัวพิงผนังข้างอ่างล้างหน้า และเริ่มร้องไห้ด้วยท่าทีที่ปั่นป่วน

เธออาจกำลังรู้สึกแย่ และรู้สึกผิดที่อยากออกไปเที่ยวข้างนอกเพื่อหลีกหนีจากความน่าเบื่อทั้งปวง ทั้งที่มารดาของเธอนอนป่วยอยู่ เธออาจคิดว่าตนเองยังเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็ได้ และโอเวน คาเมรอนผู้เปี่ยมไปด้วยความกลัว ซึ่งไม่เคยเห็นผู้หญิงที่โตแล้วร้องไห้ทั้งน้ำตาจริงๆ และสะอื้นด้วยความกังวลใจแบบนั้นมาก่อน

“คุณอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนกับแม่ที่ป่วยของคุณ คุณทำดีแล้วที่รัก” 

เขาทำในสิ่งที่เขาทำได้ โอบแขนรอบเธอและโอบเธอไว้ใกล้ๆ ลูบผมของเธอและเรียกเธอว่า 'สาวน้อยที่รัก' แล้วเอาแก้มสีน้ำตาลของเขาแนบกับแก้มที่เปียกน้ำตาของเธอ แล้วบอกเธอว่า.. “ไม่เป็นไร เนล ยังไงก็ได้ สาวน้อยที่รักของผม และผมหวังว่าคุณจะอยู่ที่นี่เสมอเพื่อทอดเบคอนให้ผมกินทุกเช้า”

“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอบ่นอู้อี้ หย่าขาดจากการร้องไห้ เช็ดน้ำหมูกและพูดใส่หน้าอกใต้เสื้อโค้ตของเขา

จนเมื่อน้ำในจานเย็นจนเป็นหิน และไฟในเตาก็ดับลง น้ำแข็งจึงทาฟิล์มทับตรงกลางบานหน้าต่างที่ละลายแล้ว 

แต่มีเด็กชายคาวบอยคนหนึ่งก็โผล่หัวเข้ามาจากห้องอาหารและตะโกนบอกเขาว่า "ม้าสีเทาตัวนั้นฮะ คุณโอเวน—" ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นความสำคัญของเลดี้ที่นั่งอยู่บนเข่าของ 'ที่ปรึกษาของไร่' ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบถอยกลับไป

และโอเวนก้มลงจูบเร็วๆ ที่แก้มภรรยาและผละจากห้องอาหารและรีบออกไปค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าม้าสีเทาของเขา ส่วนแคโรไลน์ก็ไปดูว่าแม่ของเธอต้องการอะไรหรือเปล่า และเรื่องจริงก็เข้าควบคุมอีกครั้ง

หลังจากนั้นโอเวนก็คิดได้ว่าตัวเองเป็นชายหนุ่มที่หมั้นหมาย เขากลับไปที่ห้องพักของเขาและถามตนเองบ่อยๆ:

"คุณทำพายฟักทองได้ไหม เนลที่รัก เนล ที่รัก"

และเกือบจะเป็นคนเก่าเช่นก่อน กลับมาเป็นโอเวน ที่ปรึกษาและหัวหน้าคนงานที่ไร้กังวลแห่งไร่ออชินโคลส 

และเป็นความโล่งอกโล่งใจที่เคาน์เตสยอมฟื้นตัวจากไข้ในบ่ายวันนั้น กลายมาเป็นที่แพร่ความสดใสให้กับบุตรสาวของเธออีกครั้ง และโอเวนรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะโกงความสุขของเขาได้และเขายังคงร่าเริงได้ภายใต้ความยากลำบาก 

ตอนนี้เขาสามารถแลกเปลี่ยนความเข้าใจอย่างลับๆ กับแคโรไลน์ได้ 

และเขาก็สามารถฉวยจูบเธออย่างเร็วๆ ได้บ่อยครั้งขึ้น

และเธอก็สามารถยื่นมาในมือของเขาด้วยกระดาษโน้ตที่เขียนด้วยดินสออย่างเร่งรีบ ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สำคัญ ซึ่งทำให้จุดสว่างในชีวิตของเขา และป้องกันไม่ให้เนลของเขาต้องรู้สึกไม่สบายใจกับข่าวบางอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของเธอที่ยังอยู่ในมือบิดาผู้อ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษของเธอ

ถึงกระนั้นก็ยังมีสิ่งอื่นที่ทำให้เขากังวลใจและป้องกันไม่ให้เขาลืมในกฎของธรรมชาติ ซึ่งเขาเคยนิยามไว้ก่อนหน้านี้เพื่อความพึงพอใจของเขาเอง มันยังคงควบคุมเกมนี้อยู่ 

พายุลูกแรกถูกติดตามด้วยพายุลูกถัดมาด้วยความสม่ำเสมอที่ซ้ำซากจำเจ นั่นคือเรื่องน่าหดหู่ใจ แม้ว่าจะแน่ใจว่ามันจะยังคงมีฤดูหนาวอื่นๆ อยู่เช่นนี้ และแม้แต่โอเวนก็ไม่สามารถอ้างว่าธรรมชาติเป็นพิษภัยได้โดยเฉพาะ 

แต่ด้วยรั้วใหม่ของนายบริสลีย์ที่ทอดยาวหลายไมล์ไปทางทิศใต้และทิศตะวันออกของทุ่งโล่งใกล้บ้าน ฝูงวัวที่เร่ร่อนล่องลอยอยู่ก็พากันเข้ามาปะทะกับมันในช่วงพายุหิมะที่ทำให้ตาพร่าและเบียดเสียดอยู่ที่นั่น กลายเป็นโรงน้ำแข็งในที่โล่ง หรือไม่ก็เดินโซเซไปข้างๆ จนถึงการชะล้างบางส่วน หรือหุบเขาเล็กๆ ที่ลึกเกินกว่าที่พวกมันจะปีนข้ามทางไปได้ เพื่อให้การเบียดเสียดและการแช่แข็งทำได้ดีที่สุดเพียงแค่เลื่อนเวลาออกไป

โอเวนค่อนข้างมีชีวิตอยู่กับเหตุฉุกเฉินของเรื่องนี้ ขี่ม้าและขี่ม้า และบางทีข้างกายของเขาก็ยังมีไรอันและเด็กหนุ่มอีกสองคนที่จะไปกับเขาด้วยเมื่อพวกเขามีเวลาว่าง ซึ่งไม่บ่อยนักเนื่องจากพายุทำให้ 'การพรวนดิน' หญ้าแห้งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้มันขาดแคลน ซึ่งพวกมันจะช่วยทำให้ลูกวัวไม่ตายเป็นโหล

พวกเขาต้อนฝูงสัตว์ออกจากรั้ว ตะโกนไล่ตะโกนเรียก และขับพวกมันกลับไปที่ทุ่งโล่ง จนกระทั่งพายุลูกต่อไปหรือลมหนาวจากทางเหนือจะมาบังคับให้พวกเขาทำขั้นตอนนี้ซ้ำๆ

ถ้าโอเวนมีโอกาสเกี้ยวพาราสีได้ไม่จำกัด เขาคงไม่มีเวลา เพราะเขาต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงบนอานม้าทุกวัน เว้นแต่ว่าพายุจะขมขื่นเกินกว่าที่เขาจะเผชิญหน้าได้ มีค่ายสาขาที่จะติดต่อถึงกัน; 

เขาต้องขี่ม้าไปมายังไชร์บ่อยๆ หรือที่ที่เขาคิดว่าต้องไปเพื่อดูว่าพวกเขากำลังดำเนินการกันไปอย่างไร ซึ่งมันทำให้เขากังวลเมื่อเห็นว่า 'เพิงพยาบาลสัตว์ป่วย' เติบโตขึ้นมากเพียงใด และเห็นว่ามีเนินดินเล็กๆ มืดๆ กระจายอยู่ตามโพรงมากเพียงใด ยกเว้นเมื่อหิมะที่ตกลงมาใหม่ทำให้พวกมันขาวโพลน นั่นคือซากลูกวัวที่ 'ล้ม' และ 'กลบ" เรียบร้อยแล้ว

“คุณป้อนอาหารให้หนักไม่พอนะเด็กๆ” 

เขาบอกกับพวกเขาครั้งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะตระหนักว่าสภาพอากาศเลวร้ายเพียงใดสำหรับการเก็บคลังหญ้าแห้ง

“คุณต้องขี่ขึ้นไปบนเนินเขาดีกว่า แล้วไปดูกอง” โจ ชาวอินจุนแนะนำ “เราให้อาหารหนักมากเท่าที่เราจะกล้า โอเวน ถ้าเราไม่ยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ เราจะทำให้ฟางของเราดิ่งลงเหว ทั้งหมดมันไม่ได้มีแค่สัปดาห์เดียวเพื่อให้ลูกโคสามารถหากินได้จากเพิงเก็บของ .. นั่นคือปัญหาที่ถูกวางเอาไว้”

โอเวนขี่ม้าระยะทางครึ่งไมล์ขึ้นไปบนหุบเขาเล็กๆ ไปยังที่ที่กองหญ้าแห้งกองไว้เป็นส่วนใหญ่ และกลับมาด้วยท่าทางเงียบขรึม 

“ไม่มีประโยชน์ที่จะแยกฝูงและนำบางส่วนไปที่ออชินโคลส” เขากล่าว “เราต้องการหญ้าแห้งทั้งหมดที่เรามีที่นั่น ต้อนพวกมันออกไปบนเนินเขา และให้อาหารพวกมันวันละเล็กน้อยตามความเหมาะสม และเก็บมันไว้ในเพิงและทำให้พวกมันอุ่นขึ้น ฤดูหนาวนี้จะเป็นหนึ่งในสังเวียนเก่าของเรา วิธีที่หล่อนทำจนถึงตอนนี้ มันน่ากลัวอย่างแน่นอน อากาศแบบนี้กินหญ้าตายเรียบ”

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โอเวน คาเมรอนต้องหย่าร้างอีกครั้งจากจิตใจที่เบิกบาน และเมื่อหลายสัปดาห์ผ่านไปอย่างหนาวเหน็บเพื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เขาไม่ได้พูดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้กับไรอันและเนล เพราะเขาไม่ชอบที่จะสะสมความเจ็บปวดไว้ให้กับพวกเขา นอกจากนี้ ไรอันและเนลยังมองเห็นได้ด้วยตัวของพวกเขาเองว่าการสูญเสียนั้นหนักหนาสาหัส แม้ว่าเนลจะไม่เคยมีประสบการณ์มากพอที่จะประเมินมาก่อนว่ามันจะหนักเพียงใด 

เมื่อเดือนมีนาคมเข้ามาพร้อมกับพายุหิมะและผ่านไป หลายวันที่เยือกเย็นและมืดมน ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายติดต่อกันมาจนถึงเดือนเมษายน โอเวนรู้มากกว่าที่เขาอยากจะยอมรับแม้แต่กับตัวเอง

เขาจะตื่นนอนในตอนกลางคืนเมื่อลมและหิมะปกคลุมแผ่นดิน และนึกภาพความโล่งของพื้นที่ที่เขารู้จัก 

ด้วยความฝืดเคือง คลังสินค้าของออชินโคลสจะพลิ้วไหวไปตามแรงลม

เขาสามารถจินตนาการได้ว่าพวกวัวมาปะทะกับรั้วนี้และรั้วนั้น ซึ่งรั้วเหล่านั้นมันไม่เคยได้อยู่ที่นั่นเมื่อหนึ่งหรือสองปีที่แล้ว และการเบียดเสียดกันที่นั่น แต่ฝูงวัวของเขามันจะถูกเยือกแข็ง เพราะการถูกตัดขาดจากหุบเขาเล็กๆ ที่จะใช้เป็นกำบังซึ่งจะช่วยพวกมันไว้ได้

“ให้ตายสิ รังและรั้วของพวกมัน!” 

เขากัดฟัน ข่มใจด้วยความไร้อำนาจของเขา จากนั้นก็จะพยายามลืมมันให้หมดและคิดถึงแต่แคโรไลน์เท่านั้น

………. .⋆。♞˚

ขอฝากตัวอย่างไว้ให้อ่านกันเท่านี้ก่อนนะคะ..และอย่างลืม



สำหรับคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลความคลาสสิก ทำไมไม่ลองอ่านนิยายรักสุดแสนโรแมนติกเรื่องนี้กันล่ะ?
🌐 พิกัด eBook: #

ตามรักไปสุดใต้แสงตะวันรอน [Series] สามีแดนเถื่อน

.⋆。♞˚ โหลดนะ สุดปัง











UTHER AND IGRAINE [เล่มที่ 1]

♦♦♦ UTHER AND IGRAINE ♦♦♦ โดย ก็ ณ ก่อนนั้น ©️ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (อูเธอร์และอิเกรน) บทที...