* ✨👇✨ กดรับ Link นิยายรสแซ่บได้ที่ปกทุกปกที่นี่เลยจ้าา ✨👇✨ *

niyayZAP Related E-Books Related E-Books Related E-Books Related E-Books Series E-Books niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Related E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน Series เจ้าสาวหญ้าอ่อน niyayZAP Series E-Books Series E-Books Series E-Books Series E-Books niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP niyayZAP Related E-Books niyayZAP niyayZAP Related E-Books Series E-Books Series E-Books  Series E-Books

Thursday, November 28, 2024

[มี eBook] คุณหมอตัวน้อย..คุณคาวบอยยอดรัก

คุณหมอตัวน้อย..คุณคาวบอยยอดรัก

โดย
บี.เอ็ม. บาวเวอร์

นิยายชุด: คุณคาวบอยยอดรัก
แปลโดย: ก็ ณ ก่อนนั้น
นิยายที่ท่านถืออยู่ในมือตอนนี้ถูกแปลมาจากนิยายฉบับเก่าดั้งเดิมที่มีลิขสิทธิ์เป็นไปในแบบสาธารณะแล้วในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น สำหรับนิยายเรื่องนี้ที่ 'ก็ ณ ก่อนนั้น' นำมาแปลและปรับแปลงใหม่ก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย 'สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และส่วนที่เพิ่มเติม' โดยอัตโนมัตินับจากวันที่เผยแพร่ ซึ่งนิยายได้รับการปรับแปลงมาจาก CHIP OF THE FLYING U : BY B.M. BOWER, 1871-1940
ติดตามกันบนโซเชียลมีเดียเพื่อรับข่าวสารล่าสุด!

ติดตามกันบนโซเชียลมีเดียเพื่อรับข่าวสารล่าสุด!
Youtube: @niyayzap
Instagram: @niyayzap
Facebook: @NiyayZAP
BlueSky: @niyayzap

คุณหมอตัวน้อย..คุณคาวบอยยอดรัก

บทที่ 1
น้องสาวของชายชรา

        

เมื่อไปรษณีย์ประจำสัปดาห์เพิ่งมาถึงฟาร์มฟลายอิ้งยู; และชอร์ตี้ ผู้ที่ขี่ม้าไปรับพัสดุไปรษณีย์ที่ดรายเลคช่วงบ่ายวันนั้นก็โยนจดหมายกองโตให้ 'ชายชรา' แล้วกำลังจะเดินกลับไปที่คอกม้า แต่ถูกเจ้าของไร่เรียกไว้เสียก่อน

"ชอร์ตี้! เฮ้ย! ชอร์ตี้!"

ชอร์ตี้กระแทกม้าที่กำลังส่งฝุ่นคลุ้งที่ซี่โครงแล้วหันม้ากลับมา ม้าของเขายกขาหน้าเมื่อมันถูกดึงให้หยุดกะทันหันที่หน้าระเบียงบ้านหลังใหญ่

"จดหมายนี่ไปอยู่ที่ไหนมา?" ชายชราถามด้วยความตื่นเต้น เจมส์ จี. วิทมอร์ เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์คงแปลกใจมากถ้ารู้ว่าพวกคาวบอยหนุ่มๆ ในไร่มักจะเรียกเขาลับหลังว่า ‘ชายชรา’ เจมส์ จี. วิทมอร์ ไม่คิดว่าตัวเองแก่ แม้เขาจะยังคงหล่อเหลา ดูดีกว่าอายุ แต่ก็ต้องยอมรับหลังจากการขี่ม้านานหลายชั่วโมงว่าโรคกระดูกไขข้อเล่นงานเขาเข้าให้แล้ว .. ซึ่งเขาโทษว่าเป็นเพราะเขาใช้ชีวิตแบบหยาบๆ มาสิบสี่ปี นอกจากนี้ ยังมีประกายสีเงินบนศีรษะของเขาที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แม้มันจะทำให้เขาดูภูมิฐานมากขึ้น แต่ตอนนี้มันก็สว่างมากจนเห็นได้ชัดเจนขณะเขายืนอยู่กลางแสงแดดที่ส่องลงบนทางเดินหน้าบ้าน โบกซองสี่เหลี่ยมอยู่ต่อหน้าชอร์ตี้ ขณะที่คาวบอยหนุ่มยังคงมองมาที่เขาอย่างเฉยชาสุดๆ

ต่างกับม้าของชอร์ตี้ มันกลอกตาจนเห็นแต่ตาขาว ฮึดฮัดและถอยหนีจากวัตถุสีขาวที่กระพือปีก

"บ้าเอ๊ย! จดหมายฉบับนี้หายไปไหนมา!" เจมส์ จี. โวยวาย ด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ 

"แล้วปีศาจตัวไหนจะมาบอกให้ผมต้องรู้เหรอ?" ชอร์ตี้โต้ตอบขณะบังคับม้าของเขาเดินเข้ามาใกล้ "น่าจะอยู่ที่สำนักงานนั่นแหละ ผมเพิ่งได้รับมันมาพร้อมพัสดุกองอื่นๆ วันนี้เอง" 

"มันผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนี่สิ!" เจมส์ จี. บ่นเสียงดัง "ไม่เคยพลาดเลย .. ถ้าจดหมายบอกว่าใครจะมา หรือคุณต้องรีบไปเจอใครที่ไหน จดหมายฉบับนั้นแหละที่จะเตลิดไป เมลจะถูกเปิดช้าจนแทบไม่ทันการณ์ พวกจดหมายที่ถามว่าคุณอยากรวยภายในสิบวันจากการขายหนังสือหรืออะไรทำนองนั้นมั้ย แต่มันกลับโผล่มาที่นี่ไว๊ไว เหมือนลิงคาบมา..หมาคาบไป แม่งเอ๊ย!" 

"คุณมีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปไหนหรือ?" ชอร์ตี้ถามด้วยความเห็นใจเล็กน้อย 

"แย่กว่านั้นอีก" เจมส์ จี. คราง "น้องสาวของฉันจะมาพักร้อนที่นี่ พรุ่งนี้ แถมไม่มีใครทำกับข้าวแทนแพทซี่ แล้วเธอก็ไม่สามารถกินที่โรงอาหารได้ แถมบ้านก็รกเหมือนร้านขายของเก่า!"

"ดูเหมือนว่าคุณจะเจอศึกหนักมากเลยนะ" ชอร์ตี้พูดพลางยิ้ม - ชอร์ตี้เป็นหัวหน้าคนงานคนหนึ่ง จึงได้รับอนุญาตให้พูดจาได้อย่างอิสระ

"ต้องมีคนไปรับเธอซะหน่อย - ให้ชิปไปเอาทีมม้าสีครีมมาและปล่อยให้เขาทำเรื่องนั้นต่อไปให้เสร็จ แล้วก็ส่งพวกผู้ชายบางคนขึ้นมาช่วยฉันขุดนู่นถอนนี่หน่อย เดลล์ไม่เคยอยู่อย่างลำบาก เธอเพิ่งออกจากโรงเรียนแพทย์ เธอมีใบประกาศนียบัตรแล้วนะ เธอเล่าให้ฉันฟังในจดหมายฉบับล่าสุดก่อนหน้านี้ เธอจะเจอกับจุลินทรีย์เป็นล้านๆ ในกระท่อมเก่าๆ นี่ เอ่อ แล้วเดี๋ยวนายไปบอกแพทซี่ด้วยว่าฉันจะไปกินข้าวเย็นสายกว่าที่เคย และบอกให้เขาเตรียมตัวและทำอาหารที่ผู้หญิงชอบ - เค้กหรืออะไรทำนองนั้น แพทซี่จะรู้เอง ฉันยอมจ่ายเป็นดอลลาร์หนึ่งซะหน่อยเพื่อเอาไอ้เจ้าหนุ่มตัวเล็กนั่นเข้ามาไว้ในออฟฟิศ"

แต่ชอร์ตี้ฟังแค่พอรู้เรื่อง เขารีบวิ่งลงเนินยาวไปที่คอกม้าอีกครั้ง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว และชอร์ตี้ก็หิว นอกจากนั้นยังมีข่าวที่จะบอก และเขาอยากรู้ว่าพวกคนงานหนุ่มๆ จะรับมือกับมันยังไง - เขาเพิ่งปล่อยม้าเสร็จ อาหารเย็นก็ถูกเรียก เขารีบวิ่งกลับขึ้นเนินไปที่โรงอาหาร ล้างมืออย่างรวดเร็วในกะละมังสังกะสีที่มีม้านั่งวางข้างประตู เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวแบบม้วน แล้วเข้าไปนั่งประจำที่โต๊ะยาวด้านใน

"มีจดหมายมาหาผมบ้างไหม?" แจ็ค เบทส์เงยหน้าขึ้นจากการใส่ก้อนน้ำตาลก้อนที่สามลงไปในกาแฟ 

"ไม่มี - เธอไม่ได้เขียนมาหรอกคราวนี้ แจ็ค" ชอร์ตี้เอื้อมแขนไปหยิบ 'สตูว์มัลลิแกน'

"งานเต้นรำเป็นไงบ้าง?" แคล เอมเม็ทท์ถาม 

"เดาว่าน่าจะโอเคนั่นแหละ พวกเขามีวงดนตรีมาเล่น โรงแรมเตรียมต้อนรับแขกที่อาจจะมากันเยอะมากแน่ๆ ถ้าอากาศยังคงแจ่มใสแบบนี้; ชิป นายใหญ่อยากให้นายจัดการเรื่องทีมม้าสีครีมหลังมื้อเย็น นายต้องไปรอรับรถไฟพรุ่งนี้นะ" 

"รถไฟขบวนไหน?" ชิปเงยหน้ามองขึ้นมา "ตาดั๊งค์เฒ่าจะมาเหรอ?"

"ขบวนเที่ยงตรง, และเปล่าเลย นายใหญ่ไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับดั๊งค์ และเขาอยากให้พวกนายกลุ่มหนึ่งขึ้นไปขุดดินที่ออฟฟิศแล้วก็จัดการให้มันเรียบร้อยเพื่อต้อนรับแขก มันต้องเสร็จภายในคืนนี้ ส่วนแพทซี่ นายใหญ่สั่งให้นายรีบไปทำอาหารอะไรสักอย่างที่มันกินได้; อะไรที่มันไม่เต็มไปด้วยจุลินทรีย์"

ชอร์ตี้แสร้งทำเป็นยุ่งอยู่กับการเป่ากาแฟ เขาสนุกกับการมองอารมณ์ที่แตกต่างกันไปบนใบหน้าของพวกหนุ่มๆ

"ใครจะมาเหรอ?"

"มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?"

ชอร์ตี้จิบกาแฟช้าๆ สองสามที ก่อนจะตอบ

"น้องสาวของนายใหญ่จะมา .. อยู่ทั้งฤดูร้อน หรืออาจจะนานกว่านั้น เขาบอกว่าเธอจะมาถึงพรุ่งนี้"

"โห! เธอสวยมั้ย?" คำถามนี้มาจากแคล เอมเม็ทท์

"หวังว่าจะอายุไม่เกินห้าสิบน่ะ" เสียงนี้มาจากแจ็ค เบทส์

"หวังว่าจะไม่ใช่พวกครูแว่นสี่ตานะ" แฮปปี้แจ็คเสริมขึ้น .. ชื่อนี้ใช้เพื่อแยกเขาออกจากแจ็ค เบทส์ และอีกอย่างก็เพราะดวงตาสีจะเศร้าๆ ของเขาด้วย

"ทำไมไม่ให้คนอื่นไปรับเธอมาล่ะ?" ชิปเริ่มประโยค "แคลเหมาะกับงานนี้มากกว่า .. และเขาก็ยินดีที่จะไปด้วยซ้ำ"

"แคลอันตรายเกินไป เขาคงทำให้หญิงชราตายด้วยความรักตั้งแต่ยังไม่พ้นเนินเขาแรกด้วยตาสีฟ้าและรอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเขา นายใหญ่เลยมอบหมายให้นายต่างหาก เจ้าเสี้ยนไม้"

"ปลอดภัยแน่นอนกับชิปน่ะ เขาจะไม่จีบเธอหรอก" แคลตอบโต้

"คิดว่าเธออายุเท่าไหร่?" แจ็ค เบทส์ถามซ้ำ พลางเทน้ำเชื่อมเกือบหมดขวดลงบนจาน อาหารเย็นวันนี้แพทซี่ทำบิสกิตอุ่นๆ และจุดอ่อนของแจ็คก็คือบิสกิตอุ่นๆ ราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ล

"เรื่องอายุของเธอน่ะ" ชอร์ตี้กล่าว "แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่เด็กสาว เพราะเธอเป็นน้องสาวของนายใหญ่"

"เธอเป็นครูเหรอ?" ความเกลียดชังครูอย่างรุนแรงของแฮปปี้แจ็คมีมาตั้งแต่ตอนที่เขาได้เจอกับตัวอักษร A B C ซึ่งมาพร้อมกับไม้บรรทัดยาวๆ บางๆ เป็นของแถมทุกวัน

"ไม่ เธอไม่ใช่ครู เธอแย่กว่านั้นอีก; เธอเป็นหมอ"

"เอ้ย อย่ามาพูดเล่น!" แคล เอมเม็ทท์ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด

"ถูกต้องแล้ว นายใหญ่บอกว่าเธอเพิ่งเรียนจบหลักสูตรแพทย์ .. อะไรนะ พวกนายเรียกมันว่าอะไร?"

"วัณโรค อาจจะใช่ .. หรือไม่ก็พวกงู" เวียรี่ยิ้มจืดๆ ข้ามโต๊ะ

"แต่เธอก็มีใบประกาศนี้นะ พวกนายว่าไง?"

"เออ .. แน่นอนว่าเธอเป็นหมอ" แคลครางโอดครวญ

"ฉิบหาย! นี่เธอไม่ต้องมาป้อนยาอะไรให้ฉันหรอกนะ" หนุ่มตัวใหญ่โวยวายขึ้นด้วย เขาคนนี้ซึ่งโดยปกติจะเป็นคนเอาจริงเอาจังกับชีวิต เป็นผู้ชายตัวโตเหมือนยักษ์ ผิวคล้ำ แถมล่ำบึกมากกว่าใครเพื่อนด้วยความสูงเกือบหกฟุตครึ่ง ซึ่งพวกหนุ่มๆ คนอื่นๆ เรียกชื่อเขาในเชิงประชดขบขันว่า: สลิม

"เออ น่าสนุกดีนะ ถ้าเราต้อนรับเธอแบบอุ่นหนาฝาคั่ง" แจ็ค เบทส์ หนุ่มหุ่นสำอาง หล่อเหลาคมเข้มพูด ผู้ชายคนนี้มีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าเล่ห์ แสบและซน "ฉันรู้จักพวกคนตะวันออกดี รู้ไปถึงรากเหง้าเลย พวกเขาคิดว่าคนต้อนวัวมีเขาจริงๆ นะ; ใช่ พวกเขาคิดแบบนั้น คิดว่าเราเป็นพวกป่าเถื่อนที่กินข้าวไป ยิงปืนไป อะไรประมาณนั้น พวกเขาทำให้ฉันเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง อยากรู้จังว่า ‘ยี่ห้อ’ ของเธอคืออะไร"

"ฉันสามารถบอกได้เลย" ชิปพูดอย่างเหน็บแนม "มีแค่สองแบบให้เลือกเท่านั้นแหละ แบบแรกคือ พวกสาวน้อยหวานแหวว ที่เป็นลมเมื่อเห็นปืนพกลูกโม่ กรี๊ดลั่นแล้วคว้าแขนนายไว้แน่นถ้าเธอเจองูเหลือมที่กำลังเลื้อยตัวนอนผึ่งแดดอยู่กลางทุ่ง และหน้าแดงก่ำถ้านายเผลอสบตากับพวกเธอ แถมยังร้องไห้โฮแน่ๆ ถ้านายไม่ถอดหมวกทุกครั้งที่เห็นพวกเธอแม้เธอจะอยู่ห่างออกไปไกลเป็นร้อยเมตร" ชิปยื่นแก้วให้แพทซี่เติมน้ำเชื่อม

"เออ เคยเจอพวกนั้นมาแล้วแหละ พวกเธอเจ๋งดี เหมาะกับฉัน" แคลพูดเสริม

"แต่มันไม่น่าเข้ากันกับใบประกาศนียบัตรแพทย์ของเธอเลยนะ" เวียรี่แย้ง

"ก็ถูก ถ้าเธอเป็นอีกแบบ มันก็แย่ไปอีก! คุณพระคุณเจ้าช่วย ‘ฟลายอิ้งยู’ ด้วยเถอะ! เธอจะไปซื้อเดือยมาใส่ ขี่ม้าไล่ต้อนวัว คัดแยกฝูงลูกวัวป่า แถมยังประทับตราอีก อาจจะใส่กางเกงกระโปรง (กางเกงซ้อนกระโปรง) ขี่อานม้าแบบผู้ชาย สูบบุหรี่ เธอจะพยายามเหนือกว่าผู้ชายทุกอย่าง สุดท้ายก็กลายเป็นตัวตลกเว่อร์ๆ ซึ่งทั้งสองแบบนี้ก็แย่พอกัน" ชิปยังคงตอบโต้

"เดาว่าเธอคงไม่ใช่พวกไหนสักพวกหรอก" เวียรี่พูด "เดาว่าเธอเป็นสาวแก่ ผอมแห้ง แว่นตาโต จมูกโด่งแหลม ชอบเรียกรวมตัวพวกเราให้มาหาทุกวันอาทิตย์เพื่ออ่านบทเทศนาให้เธอฟัง แถมเธอยังจะเทศนาเรื่องโทษของยาเส้นกับตับที่พังพินาศ และความชั่วร้ายของบุหรี่ เหมือนปีศาจซ่อนอยู่ในกระดาษมวน! ฉันเคยเจอหมอผู้หญิงคนหนึ่ง สมัยที่ฉันต้อนวัวให้กับ ‘ที ดาวน์’ เธอช่างน่ากลัวราวกับเทวดาหล่นตุ๊บลงมาจากสวรรค์! เล่นเอาพวกเราพากันมุ่งหน้าหัวทิ่มหัวตำ มุดลงไปทางแดนใต้กันหมดได้ภายในอาทิตย์เดียว ส่วนฉันหนีออกจากฟาร์มทันทีที่ครบเดือนนั้นของฉันแล้ว"

"เดี๋ยวก่อน" แคลเอ่ยแทรก "พวกนายจำภาพถ่ายที่ชายชราได้มาเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนไม่ได้เหรอ รูปของน้องสาวของเขาไง เธอดูเหมือนนายใหญ่ของเราเด๊ะๆ แถมแก่อีกต่างหาก"

ชิปนึกถึงการเดินทางไกลพรุ่งนี้แล้วครางออกมาด้วยความทุกข์ทรมานใจอย่างแท้จริง

"นายคงไม่กล้าสูบบุหรี่ช่วงขากลับหรอก ชิป" แจ็คผู้สุขสันต์ทำนายด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าโศก "นายคงอยากจะสูบสักสองเท่าตอนเดินทางขาไปมากกว่า"

"ฉันไม่คิดว่าฉันจะอยากสูบสองเท่าตอนเดินทางขาไปหรอกนะ" ชิปตอบกลับอย่างแห้งแล้ง "ถ้าหญิงชราไม่ชอบสไตล์ของฉัน เธอจะเดินมาเองก็ได้"

"เออน่า...ชิป" แจ็ค เบทส์แนะนำ "นายไปดูเธอที่สถานีรถไฟก่อน แล้วถ้าดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรล่ะก็ ปล่อยเชือกบนเนินละแวกละมั่งฮิลล์ เจ้าสองเฒ่าสีครีมจะจัดการเอง และถ้าไม่เป็นผล พวกเราก็จัดการต่อที่นี่แหละ"

ชอร์ตี้ถอยเก้าอี้เบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน: 

"พวกนายอย่าสนุกกันเพลินเกินไปนะ" เขาเตือน "นายใหญ่เพิ่งจะลืมเรื่องในโรงเลี้ยงลูกวัวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ไปเอง" จากนั้นเขาก็เดินออกไป ปิดประตูตามหลัง เสียงดังเอี๊ยด

พวกหนุ่มๆ ชอบชอร์ตี้; เขาเชื่อในสุภาษิตโบราณที่ว่า 'บางครั้งความรู้ก็คือความสุข' และพวกเขาก็โชคดีที่ชอร์ตี้ยึดถือปรัชญานี้ โดยเขาเดาว่า 'ครอบครัวสุขสันต์' คงจะหยุดอยู่แค่ขอบเขต .. อย่างน้อยก็เคยเป็นแบบนั้นมาตลอด

"จะ​มีอะไรเล่นกันเหรอ?" แคล​ถาม​ด้วย​น้ำเสียง​อยากรู้อยากเห็นเมื่อประตู​ปิด​หลัง​ชอร์ตี้​ไปแล้ว​

"ก็… (ส่งไซรัปมาหน่อยแฮปปี้) พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พวกเราเลยจะมีเวลามันส์.. เราจะขุดปืนที่หาได้ทั้งหมด ขึ้นม้าตัวแสบที่สุดเท่าที่มี แล้วจัดงาน ‘ปาร์ตี้แขวนคอ’ แบบโบราณแท้ๆ .. เข้าใจไหม?"

"จะแขวนคอใคร?" สลิมถามด้วยความกังวล "อย่าคิดนะว่าฉันจะยอม"

"อ้าว อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยน่า นายก็รู้ พลังของคนทั้งฟาร์มนี้ยังมีไม่พอที่จะดึงนายขึ้นไปพ้นจากพื้นดินหรอก เราไม่ได้จะสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันซะหน่อย" แจ็คผู้แสบสันต์พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยๆ "เราจะมีหุ่นจำลองติดอยู่ในบ้านสองชั้น เมื่อชิปและคุณหมอหญิงมองเห็นชั้นบน เราจะแยกตัวมาที่นี่พร้อมกับม้าและปืนของเรา และสร้างควันในฟาร์มอย่างมีสไตล์ เราจะลากคุณสตรอว์แมน(หุ่นฟาง)ออกไป และรุมประชาทัณฑ์เขาที่ประตูใหญ่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา เมื่อพวกเขามาถึง เราจะ 'ยิงคุณหุ่นฟางด้วยกระสุน' และเมื่อถึงเวลานั้น เธอจะตะลึงจนไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือล่อที่เรามัดไว้"

"นายต้องจัดการเหยื่อของนายก่อนฉันไปถึงที่นั่น" ชิปยิ้ม "ฉันพาสองเฒ่าสีครีมผ่านประตูไม่ได้หรอก ถ้ามีคนแขวนไว้กับกรอบประตู เจ้าเฒ่าครีมมันต้องเตลิดเปิดเปิงแน่ๆ พวกมันคงโยนฉันกับหมอลงร่องน้ำข้างโรงเก็บของเก่า เหมือนที่เคยทำ"

"ก็ไม่เป็นไรหรอก หญิงชราคงรู้แน่ว่าตัวเองอยู่แถวตะวันตก เราต้องการอะไรสักอย่างมาเพิ่มความตื่นเต้นอยู่แล้ว"

"ถ้ารถม้าคันใหม่ของเจมส์ จี. กองอยู่รวมกันเป็นกองๆ นายจะอยากตัดความตื่นเต้นบางส่วนออกไป" ชิปตอบโต้

"เอาล่ะ เจ้าเสี้ยนไม้ เราจะไม่แขวนเขาไว้ตรงนั้นก็ได้ และต้นฝ้ายแก่ๆ ริมลำธารนั่นก็ใช้ได้เลย มันจะทำให้เลือดของเธอกลายเป็นก้อนเหมือนชีสฮอลแลนด์เมื่อเห็นเราลากเขามาทางนั้น - และไกลขนาดนั้น เธอคงมองไม่เห็นเส้นฟางที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อของเขาหรอก"

"แล้วถ้าเธออยากจะชันสูตรพลิกศพล่ะ?" ชิปแย็บ

"ให้ตายเหอะ! งั้นเราเอาเธอไปมัดกับมีดตัดฟางแล้วบอกให้เธอตามไปล่าเขาซะ!" สลิมร้องคำรามพลางลุกขึ้นมาอย่างพรวดพราดเพราะเพิ่งตระหนักถึงสถานการณ์อันน่าพรั่นพรึง


…………. .⋆。♞˚

รถไฟขบวนเที่ยงวันแล่นออกจากคลังสีแดงเล็กๆ ที่ดรายเลค และเลี้ยวหายไปหลังเนินเขาจนพ้นสายตา ขณะที่ผู้มาเยือนเพียงคนเดียวของสถานีกำลังมองเข้าไปในห้องรับรองผู้โดยสารที่ไร้ชีวิตชีวาอย่างคาดหวัง เธอหันไปจ้องมองตามรถไฟที่ดูเหมือนเป็นสายใยสุดท้ายที่เชื่อมโยงเธอกับอารยธรรม จากนั้นก็เดินไปที่ขอบชานชาลาพร้อมกับรอยขมวดคิ้วอย่างเห็นได้ชัดบนหน้าผากที่โผล่ออกมาใต้หมวกสักหลาดของเธอ

ชายหนุ่มร่างท้วม ตัวใหญ่แต่ไม่สูงโยนกระสอบพัสดุลงบนรถม้าโทรมๆ แล้วขับช้าๆ ตามรางรถไฟไปยังไปรษณีย์ หญิงสาวมองตามเขาไปจนลับสายตาแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เบื้องหน้าเธอคือทุ่งหญ้าโล่งกว้างเขียวชอุ่มที่เลือนรางที่ขึ้นอยู่ตามแอ่ง บางแอ่งดูรกร้างเป็นสีน้ำตาลบนยอดเขา นอกจากแท่นน้ำและสถานีรถไฟแล้ว ไม่มีบ้านเรือนให้เห็นเลย สภาพแวดล้อมอันเงียบสงัดและโดดเดี่ยวนั้นสร้างความอึดอัดให้กับเธอ

เจ้าหน้าที่ของสถานีกำลังขนกล่องลงจากชานชาลา หญิงสาวหันกลับมา เดินตรงเข้าไปหาเขาอย่างเด็ดเดี่ยว และสายตาอันราบเรียบของเธอก็ก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนในใจของเขา

"ไม่มีใครมารับฉันเลยเหรอ?" เธอถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแม้มันจะไม่จำเป็นเลย "ฉันคือนางสาววิทมอร์ และพี่ชายของฉันมีไร่สักแห่งแถวนี้ ฉันเขียนจดหมายไปบอกเขาสองสัปดาห์ที่แล้วว่าฉันจะมา และฉันคาดหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะมารับฉัน" เธอสอดผมสีน้ำตาลที่ปลิวตามลมไว้ใต้หมวก มองเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาตำหนิราวกับว่าเขาเป็นคนผิด ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้สึกขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับว่าความผิดนั้นเป็นของเขาและแก้มของเขาก็แดงก่ำด้วยความละอาย ชายคนนั้นยืนเตะกล่องส้มเบาๆ อย่างอึดอัด

"รถม้าของวิทมอร์อยู่ที่เมือง" เขารีบพูด "ผมเห็นคนของเขามาถึงที่นี่ช่วงมื้อเย็น เหมือนมีข่าวว่ารถไฟจะมาช้า แต่มันก็มาถึงทันเวลา" เขาพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีอย่างสิ้นหวังและแอบกลืนคำขอโทษที่น่าอดสู ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในสำนักงานของเขา

มิสวิทมอร์เดินตามเขาไปสองสามก้าว แต่เปลี่ยนใจ เธอเดินไปมาบนชานชาลาด้วยความสงสารตัวเองอยู่ประมาณสิบนาที จากนั้นรถม้าของฟลายอิ้งยูก็แล่นมาพร้อมกับฝุ่นที่คละคลุ้ง เจ้าหน้าที่รีบออกไปช่วยยกหีบสองใบ ซึ่งมีแมนโดลินและกีตาร์ที่อยู่ในกล่องผ้าใบ

ทีมม้าคู่สีครีมยังคงวิ่งวนเป็นวงกลมอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะขึ้นมาประจำที่ชานชาลา ตัวสั่นระริกด้วยความกระหายที่จะออกวิ่งพรวดพราดไปข้างหน้า ดวงตาโตๆ ของมันกลิ้งไปมาอย่างกระวนกระวาย มิสวิทมอร์ขึ้นไปประจำที่นั่งอยู่ข้างชิป โดยภายในรู้สึกหวั่นใจปะปนกับความโล่งอก เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วสายบังเหียนก็ถูกคลายอย่างเผยิบผยาบ เพ็ตยืนชันตัวเองขึ้นบนขาหลังด้วยความดีใจ ส่วนพอลลี่ก็ทะยานไปข้างหน้าอย่างหุนหัน

หญิงสาวกลั้นหายใจจนแทบหายใจไม่ออก ขณะที่ชิปเหลือบมองเธออย่างเฉียบคมจากหางตาของเขาเอง เขาหวังว่าเธอจะไม่กรีดร้อง เขาเกลียดผู้หญิงที่กรีดร้อง เขาตัดสินใจหลังจากการมองสำรวจอย่างรวดเร็วว่า ‘เธอดูเด็กเกินไปที่จะเป็นหมอ’ และเขาก็ภาวนาขอให้เธอไม่ใช่ประเภทสาวน้อยหวานแหวว เพราะเขาไม่มีความอดทนกับผู้หญิงแบบนั้น: แต่ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่เคยมีความอดทนกับผู้หญิงคนไหนเลยต่างหาก

เขาพูดกับม้าด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ซึ่งม้าก็เชื่อฟังและเปลี่ยนจังหวะเป็นการเดินเหินยาวๆ ที่มั่นคงอย่างไม่รู้จักเหนื่อย จนกระทั่งหัวใจของหญิงสาวกลับมาเต้นเป็นปกติอีกหน

สองไมล์ผ่านไปรวดเร็วท่ามกลางความเงียบเชียบระหว่างคนสองคน จากนั้น มิสวิทมอร์ก็บังคับตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน และสังเกตว่าชายหนุ่มข้างกายเธอไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลย ยกเว้นตอนที่เขาพูดกับม้าของเขาแค่ครั้งเดียวที่ชานชาลา; เธอหันศีรษะไปมองเขาด้วยความสงสัย ชิปรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาก็เกิดอาการต่อต้านขึ้นมาภายในใจทันที

มิสวิทมอร์ตัดสินใจหลังจากการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดว่าเธอค่อนข้างชอบรูปลักษณ์ของเขา แม้เขาจะไม่ค่อยดูเป็นหนุ่มผู้ยิ้มแย้มแจ่มใสสักเท่าไหร่ก็ตาม … บางทีเธอคิดว่าเธอน่าจะเบื่อหนุ่มๆ ประเภทชอบยิ้มแย้มพวกนั้นไปบ้างแล้วก็ได้ 

ใบหน้าที่เรียวยาวของเขาดูสง่าและแข็งแกร่ง .. ความแข็งแกร่งนั้นมาจากคิ้วที่ได้ระดับ สันจมูกที่โด่งตรง และคางเหลี่ยมก็ผสานกับริมฝีปากที่ดูขัดแย้งกันเอง นั่นคือ: มันดูโค้งมนและบอบบางราวกับริมฝีปากของผู้หญิง แต่ความสง่าเป็นเสน่ห์ที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ใช่ลักษณะเด่นใดในลักษณะเด่นหนึ่ง แต่แฝงอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ส่วนดวงตา เธอยังคาดเดาสีของพวกมันไม่ออก เพราะยังไม่เคยเห็นมันตรงๆ เลยสักหน แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่า สาวๆ หลายคนคงยอมทุ่มเทอะไรหลายอย่างเพื่อให้ได้ขนตาแบบนั้นมาครอบครอง

ฉับพลันสายตาของเขาก็ละจากเส้นทางและหันมาสบตากับเธออย่างตรงไปตรงมา ซึ่งถ้าหากว่าเขาตั้งใจจะทำให้เธอเขินอายล่ะก็ บอกเลย เขาล้มเหลว - เพราะเธอไม่เพียงแค่ยิ้มและพูดกับตัวเองว่า: 'อ๊ะ! พวกมันเป็นสีน้ำตาลแกมทอง'

"คุณไม่คิดว่าเราควรจะแนะนำตัวสักหน่อยเหรอ?" เธอถามอย่างใจเย็นเมื่อมั่นใจแล้วว่าดวงตาของเขาไม่ใช่สีน้ำตาลธรรมดา

"อาจจะ" น้ำเสียงของชิปสุภาพ ราบเรียบ

มิสวิทมอร์เคยสงสัยว่าเขาอาจจะขี้อายอย่างน่าเจ็บปวดตามแบบฉบับของชายหนุ่มชาวชนบท แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาเป็นปรปักษ์อย่างอดทน

"แน่นอน คุณรู้จักชื่อของฉันอยู่แล้ว: ฉันคือเดลลา วิทมอร์" เธอพูด

ชิปใช้แส้ปัดแมลงวันออกจากสีข้างของพอลลี่อย่างระมัดระวัง

"ผมยอมรับว่า ผมได้รับมอบหมายให้ไปรับ ‘มิสวิทมอร์’ ที่สถานีรถไฟ และผมก็เห็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตา"

"คุณรับคนมาถูกคนแล้ว แต่ฉันไม่ใช่ ฉันไม่มีทางรู้เลยแม้แต่น้อยว่าคุณเป็นใคร" 

"ผมชื่อ โคล์ท เบนเน็ทท์ และยินดีที่ได้รู้จักคุณ"

"ฉันไม่อยากจะเชื่อหรอก..คุณดูไม่ค่อยยินดีเลย" มิสวิทมอร์พูดพร้อมกับรู้สึกขำขันอยู่ในใจ

"นั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะพูดเมื่อคุณได้รับการแนะนำให้รู้จักกับผู้หญิง" ชิปพูดอย่างไม่ใส่ใจ แม้ริมฝีปากของเขาจะกระตุกนิดหน่อยที่มุมของมันก็ตาม และมิสวิทมอร์ก็คิดไม่ออกว่าจะตอบโต้อย่างไรกับประโยคที่จริงใจข้อนี้ หลังจากเงียบไปสักพัก เธอก็ออกความเห็นว่า: "ลมแรงจัง"

"ใช่" ชิปเห็นด้วยว่าวันนี้อากาศมีลมแรง แล้วจากนั้นบทสนทนาก็เงียบงันลง

มิสวิทมอร์ถอนหายใจทำลายความเงียบบนรถม้าข้างคนขับก่อนหันไปศึกษาภูมิประเทศ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสันเขาแหลมคมสลับกับหุบเหวแคบ ถูกน้ำกัดเซาะจนดูหม่น มีแนวเทือกเขาสีม่วงอยู่ทางซ้าย และหลังจากผ่านไปหลายไมล์ เธอก็พูดขึ้นว่า:

"ดูนู่นสิ นั่นสัตว์อะไรน่ะ? มันจะมีสุนัขที่ไหนมาเดินเตร็ดเตร่ในที่รกร้างแบบนี้ลำพังตัวเดียวเหรอ?"

ชิปมองตามนิ้วมือที่ชี้ของเธอ

"นั่นมันหมาป่า โคโยตี้ .. ผมจะยิงมัน .. พวกมันเป็นวายร้ายตัวแสบแถวนี้เลยแหละ คุณรู้ไหม" เขาเหลือบมองปืนไรเฟิลที่อยู่ใต้เท้าของเขาเอง "ถ้าคุณพอจะคุมม้าไว้สักนาที "

"อ๊ะ! ฉันทำไม่ได้หรอก! ฉัน .. ฉันไม่คุ้นเคยกับม้าเลย แต่ฉันยิงปืนได้บ้างนิดหน่อย"

ชิปเหลือบมองเธออย่างรวดเร็วเพื่อประเมินสถานการณ์; หมาป่าหยุดอยู่กับที่ นั่งยองลงบนขาหลังพร้อมกับจมูกแหลมๆ ของมันชี้มาทางพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชิปชะลอความเร็วของทีมม้าคู่สีครีมลงเหลือเป็นเพียงแค่จังหวะก้าวเดิน จากนั้นก็ยกปืนขึ้นมาวางบนตัก ใส่กระสุนเข้าไปในรังเพลิงและปรับศูนย์

"งั้น คุณลองยิงดูก็ได้นะ ถ้าคุณพร้อมเมื่อไหร่ ผมจะหยุดม้า คุณควรจะยืนขึ้นนะ เดี๋ยวผมจะคอยดูไม่ให้คุณล้ม พร้อมไหม? .. โฮ่! เพ็ต!"

มิสวิทมอร์ไม่ค่อยชอบน้ำเสียงประเภทตั้งคำถามของเขาสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ยืนขึ้น เล็งปืนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แล้วลั่นไก

เพ็ตกระโดดสุดแรงและลุกขึ้นยืนสองขา แต่ชิปคาดการณ์เหตุการณ์ไว้แล้ว เขาควบคุมม้าทั้งสองตัวและควบคุมพวกมันได้ แม้จะต้องคว้ามิสวิทมอร์ไว้ก่อนที่เธอจะเซไปด้านหลังและทำท่าจะหล่นลงไปบนกระเป๋าเดินทางซึ่งวางอยู่ด้านหลังเบาะ เพราะการล้มแบบนั้นคงส่งผลไม่ดีต่อทั้งกีตาร์และแมนโดลิน ที่ถึงแม้มันจะไม่ส่งผลใดต่อผู้หญิงคนนี้เลยก็ตาม

หมาป่ากระโดดขึ้นสูงกลางอากาศ หมุนคว้างอย่างน่ามึนหัว แล้วพุ่งหนีหายไปพ้นเนินเขา

"คุณยิงโดนมัน!" ชิปตะโกน ลืมอคติที่มีต่อเธอไปชั่วขณะ เขาหักม้าคู่สีครีมออกนอกทาง จิตใจเต็มไปด้วยเลือดนักล่า ส่วนมิสวิทมอร์ซึ่งก็ทำได้เพียงแค่ยึดปืนและเกาะเบาะไว้ให้แน่นที่สุด และเธอคงจะจดจำการไล่ล่าสุดเหวี่ยง–ทั้งขึ้นเขาแล้วลงหุบเหวครั้งนี้ไปอีกนานโดยหวังว่าคนขับจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ - ซึ่งแน่นอน เขารู้ดี

"นั่นไง! มันกำลังแอบลงไปตามหุบเหวนั่น! ถ้าเราไม่รีบไปดักหน้ามัน มันคงมุดเข้าไปซ่อนในร่องน้ำท่วมเก่าแน่ เดี๋ยวผมจะขับอ้อมไปทางโน้น คุณจะได้ยิงมันอีกนัด!" ชิปตะโกน เขาบังคับม้าขึ้นเนินอีกครั้งจนกระทั่งเห็นหมาป่าที่กำลังหมอบตัวต่ำ เผยร่างออกมาอย่างชัดเจน

"นั่นไง ยิงได้สวยเลย ใส่กระสุนอีกนัดสิ เร็วเข้า! คราวนี้คุณคุกเข่าบนเบาะดีกว่านะ ม้ารู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น .. นิ่งไว้ พอลลี่ สาวน้อยของฉัน!" 

มิสวิทมอร์เหลือบมองลงไปด้านล่างเนินเขาแล้วหันมาทอดสายตาอย่างหวาดหวั่นไปที่ทีมม้าคู่สีครีม พวกมันกำลังกระทืบกีบเท้าสีเงินของมัน ตาเบิกโพลง ตัวสั่น มีเพียงเสียงที่คุ้นเคยและมือที่ควบคุมบังเหียนอย่างมั่นคงของเจ้านายเท่านั้นที่รั้งพวกมันไว้ได้ - ชิปเห็นแววตานั้น และตีความไปในทางลบหลู่เล็กน้อย

"อ๋อ แน่นอน ถ้าคุณกลัว.. "

มิสวิทมอร์กัดฟันกรอด คุกเข่าลงและยิง ตัดบทคำพูดที่ยังค้างอยู่ในปากของเขา บังคับให้เขาต้องจดจ่อความสนใจทั้งหมดไปที่ม้าซึ่งกำลังมีทีท่าจะพุ่งหนี

"คราวนี้ฉันน่าจะยิงโดนมันนะ" เธอบอกอย่างไม่แยแส พร้อมกับสวมหมวกกลับเข้าที่เดิม - แม้ชิปจะเหลือบมองอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าขอบริมฝีปากของเธอซีดลงเล็กน้อย

เขาบังคับม้าทั้งสองตัวกลับเข้าสู่ถนนอย่างคล่องแคล่วและทำให้พวกมันสงบลง

"คุณจะไม่ไปเอาหมาป่าของฉันเหรอ?" เธอเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ

"แน่นอน ถนนจะวกกลับลงไปที่หุบเหวเดียวกันนั้นอีกหน เราจะผ่านมันพอดี แล้วเดี๋ยวผมจะลงไปเก็บมันเอง คุณคอยคุมม้าไว้ก็พอ"

"คุณจะคุมม้าพวกนี้เอง!" มิสวิทมอร์ตอบกลับมาด้วยจิตใจที่เบิกบาน "ฉันอยากจะไปเก็บหมาป่ามากกว่า ขอบคุณ"

ไม่ว่าเขาจะคิดเห็นอย่างไรก็ตาม ชิปก็ไม่ได้พูดอะไรกับประโยคนี้ เขาเคลื่อนรถม้าเข้าไปใกล้หมาป่าพร้อมกับการปลอบโยนเพ็ตและพอลลี่ที่กำลังมองวัตถุสีเทาด้วยสายตาระแวงคลางแคลงใจ มิสวิทมอร์กระโดดลงจากรถและคว้าหางสัตว์ที่หยาบและเป็นพวงด้วยมือของเธอ

"คุณพระคุณเจ้าช่วย! มันตัวหนักจัง!" เธออุทานหลังจากดึงมันครั้งเดียว

ชิปเหยียบเบรกแล้วเอ่ยว่า "มันคงอ้วนขึ้นจากการล่าลูกโคฟลายอิ้งยูมาเป็นอาหารน่ะ"

มิสวิทมอร์คุกเข่าลงและตรวจสอบ ‘เจ้าโจรขโมยโค’ อย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

"ดูสิ" เธอพูด "นี่คือรอยที่ฉันยิงมันครั้งแรก กระสุนวิ่งเฉียงจากหัวไหล่ไปทางด้านหลังอีกข้าง มันน่าจะเฉียดไปไม่ถึงนิ้วจากหัวใจของมัน และคงทำให้มันตายในไม่ช้า ถ้าไม่โดนยิงอีกนัด .. กระสุนนัดนี้เข้าไปที่สมองของมันอย่างที่คุณเห็น ตายทันทีเลย"

ชิปใช้โอกาสที่หยุดรถ มวนบุหรี่ ระหว่างนั้นเขาก็ยังคงคุมบังเหียนไว้แน่นด้วยหัวเข่า แตะปลายลิ้นบนกระดาษมวนที่บริเวณปลายของมัน พลางมองหญิงสาวด้วยความสงสัย

"ดูเหมือนคุณจะเก่งเรื่องแบบนี้สินะ" เขาพูดอย่างแห้งแล้ง

"ฉันก็ควรจะเก่งน่ะแหละ" เธอกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ฉันเรียนรู้วิชาการรักษาสัตว์มาตั้งแต่สิบสี่เองนะ"

"อ๋อ? คุณเริ่มเร็วเนอะ"

"ลุงจอห์นของฉันเป็นหมอ ฉันอยู่ช่วยงานของเขาที่คลินิกจนกระทั่งเขาช่วยให้ฉันเข้าเรียนแพทย์ ฉันโตมากับบรรยากาศของยาฆ่าเชื้อ และเรียนรู้ชื่อกระดูกทั้งหมดใน 'โบนปาร์ต (โครงกระดูกจำลอง)' ของลุงจอห์น ก่อนที่จะรู้จักตัวอักษรทั้งหมดซะอีก" เธอลากหมาป่าเข้ามาใกล้ล้อรถ

"ขอผมจับหางของมันหน่อยสิ" ชิปดับไฟที่ปลายไม้ขีดด้วยคีมปั่นบุหรี่อย่างระมัดระวังแล้วโยนทิ้งไปก่อนจะโน้มตัวลงไปช่วยเธอยกมันขึ้นมา ด้วยการยกสั้นๆ เขาวางสัตว์ที่หมดเรี่ยวแรงและเต็มไปด้วยเลือดลงบนหีบเดินทางใบใหญ่ที่สุดของมิสวิทมอร์อย่างพอดีที่ปลายปากแหลมๆ ของมันห้อยลงมาด้านข้าง เขี้ยวสีขาวโผล่ออกมาเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว .. ตอนแรกหญิงสาวมองดูมันด้วยความภูมิใจ แต่แล้วสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นตกใจในตอนนี้

"โอ๊ย! เลือดมันไหลเยิ้มไปทั่วกล่องใส่แมนโดลินของฉันเลย .. แล้วมันก็ต้องล้างออกไปไม่หมดแน่ๆ!" เธอดึงกล่องใส่เครื่องดนตรีอย่างกระวนกระวาย

"ออกไปซะ ไอ้รอยเปื้อนน่ารังเกียจ!" ชิปท่องบทสวดศพด้วยน้ำเสียงทึมๆ ก่อนจะหันไปช่วยเธอ

มิสวิทมอร์ปล่อยมือจากกล่องใส่แมนโดลิน เบิกตาโพลงและมองขึ้นมาหาเขา .. ชิปรู้สึกขุ่นเคืองที่เธอแปลกใจอย่างเปิดเผยที่เขาท่องบทละครของเชกสเปียร์ออกมาได้ - เขาข่มความรู้สึก เม้มปากสนิท และกลับเข้าสู่ความเงียบขรึมอีกครั้ง


บทที่ 2
ข้าม "สันหมู

"นั่นไง ฟาร์มฟลายอิ้งยู" ชิปเอ่ยขึ้น ขณะที่พวกเขาเลี้ยวขวาอย่างรวดเร็วและเริ่มลงทางลาดยาวที่สร้างขึ้นบนไหล่เขาสูงชันและเป็นหิน เบื้องล่างของพวกเขาคือฟาร์มที่ตั้งอยู่ในหุบเหวแคบยาว บ้านพักอยู่ใกล้พวกเขามากที่สุด เป็นบ้านชั้นเดียว สีขาว กว้างขวาง มีเฉลียงกว้างและหน้าต่างบานใหญ่ ไกลลงไปในหุบเหว บริเวณเชิงเขาที่ลาดชัน มีโรงเก็บของคอกสัตว์ทรงกลมสูง และกองหญ้า ประตูไม้กระดานขนาดใหญ่กระจายอยู่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ ในขณะที่รั้วลวดหนามทอดยาวออกไปในทุกทิศทาง ลำธารเล็กๆ ริมน้ำมีต้นคอตตอนวูดและต้นหลิวที่แคระแกร็น ไหลคดเคี้ยวไร้จุดหมายไปตามหุบเหว

"เจ.จี. ดูเหมือนจะไม่มีวิธีจัดการอะไรมากนัก" มิสวิทมอร์พูดหลังจากสำรวจอย่างพิจารณา "จุดประสงค์ของกระท่อมไม้ซุงที่กระจัดกระจายอยู่บนเนินเขาเหล่านั้นคืออะไรน่ะ? มันดูเหมือนกับว่าเจ.จี. มีกระท่อมไม้ซุงที่เขาไม่ต้องการเต็มกำมือ แล้วก็แค่โยนมันลงไปแถวๆ คอกม้า และปล่อยให้มันตั้งอยู่ตรงนั้น บนที่ที่มันบังเอิญตกลงมา"

"ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ" ชิปยอมรับ "พวกมันเป็นแคมป์ที่พักของคนงาน .. พวกเราอยู่กันที่นั่น เป็นที่กินข้าว แล้วก็มีเพิงตีเหล็ก กับกระท่อมเล็กๆ ที่เราเก็บสิ่งของสารพัดอย่างไว้..และ—"

"อะไร .. ใน .. โลกา-า–า—"

เสียงตะโกนและเสียงปืนดังสนั่นมาจากเบื้องล่าง กลุ่มคนขี่ม้าที่วิ่งวุ่นอย่างยุ่งเหยิงก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเนินเขาหลังบ้าน พวกเขาควบม้าลงมาครึ่งทางลาด แล้ววกไปโอบล้อมแคมป์ที่พักคนงานด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าขนลุก ชิปชะลอความเร็วของทีมม้าคู่สีครีมลง เหลือเป็นเพียงแค่จังหวะการย่างเท้าเดินและลอบแอบมองเพื่อนร่วมทางของเขาอย่างรวดเร็ว - ดวงตาของมิสวิทมอร์เบิกกว้างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจอกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น เธอประหลาดใจอย่างสุดประมาณซึ่งชิปไม่อาจตัดสินได้ว่าเธอกลัวมันด้วยหรือเปล่า

เสียงตะโกนข่มขู่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเนินเขาดูเหมือนจะหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว มิสวิทมอร์หายใจติดขัดกะทันหันเมื่อร่างอันอ่อนปวกเปียกถูกลากออกมาจากกระท่อม แล้วถูกยกไปไว้บนหลังเจ้าม้าโพนีที่กำลังฟ่อเสียงฟืดฟาด

"พวกเขาเอาเชือกผูกคอผู้ชายคนนั้นไว้นี่" เธอหายใจรวยรินด้วยความสยดสยอง "พวกเขาจะ ..แ-ข-ว-น.. เขาเหรอ?"

"ดูจากตรงนี้ มันเหมือนจะเป็นแบบนั้นแหละ" ชิปพูด แอบรู้สึกละอายอยู่ในใจ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องร้ายกาจและขี้ขลาดที่พยายามทำให้ผู้หญิงที่เดินทางมาไกลท่ามกลางคนแปลกหน้า แถมริมฝีปากของเธอยังเผยอแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยอย่างอ่อนล้าเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องยุติธรรม มันเป็นการโกง ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญากับพวกหนุ่มๆ เขาก็คงจะบอกความจริงกับเธอตั้งแต่ตอนนั้นไปแล้ว

แต่มิสวิทมอร์ก็ไม่ใช่ผู้หญิงโง่เขลา แม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงออกอะไรเลย แต่มันก็บอกทุกอย่างที่เธอจำเป็นต้องรู้ - เธอละสายตาจากกลุ่มคนที่กำลังโวยวายประกอบท่าทางและม้าที่กระวนกระวาย เธอหันมาจ้องหน้าชิปอย่างแหลมคม เขามองสบตาเธออย่างจริงจัง วูบหนึ่งที่ความสยดสยองเลือนหายไปจากเธอ เหลือเพียงความขุ่นเคืองปนขบขันที่พวกเขาพยายามหลอกลวงเธอเช่นนั้น

"รีบเร็วสิ" เธอสั่ง "จะได้ไปดูตอนจบ จำไว้ ฉันเป็นหมอนะ พวกเขากำลังมัดเขาไว้กับม้า และดูเหมือนว่าเขาจะตายเพราะความกลัวไปแล้วครึ่งหนึ่ง"

ในใจเธอเสริม: ‘เขาทำมากเกินไปในส่วนนี้อย่างโอเวอร์จริงๆ’

ขบวนม้าเล็กๆ ในหุบเหวระดมยิงปืนขึ้นฟ้าอย่างน่าตื่นตา แล้วก็พุ่งลงเนินเขาไปเหมือนลมกรดในฤดูแล้ง พวกเขาทะยานผ่านประตูใหญ่ และขึ้นถนนเลียบไปทางคอกม้า นักโทษถูกมัดมือมัดเท้าสิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา

แล้วบางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นเมื่อ ‘ริเวอร์ เพรส’ กระดาษหนังสือพิมพ์ที่กางออกโบกสะบัดอยู่บนกิ่งของต้นหลิวโดยคาวบอยเวียรี่ที่ดึงดูดสายตาของ‘แบนโจ’ ม้าขนสีน้ำตาลอ่อน บนหน้าผากมีแถบสีขาวเล็กน้อยที่แบกนักโทษเอาไว้ มันย่อตัวลง ก้มถอยหลังอย่างกะทันหันจนเชือกบังเหียนหลุดออกจากนิ้วมือของสลิม แล้วลดหัวลงระหว่างขาหน้าสีขาวของมันอีกหน .. ซึ่งผู้ขี่ของมันดูโง่เกินกว่าที่แบนโจเคยเจอมา .. และมันก็เคยเจอมาแล้วหลายคน มันฟ่อเสียงขู่และพุ่งตัวออกไป ก่อนที่กลุ่มคนผู้มุทะโมนจะรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา - นักโทษโซเซไปมาบนอานม้าอย่างเมามาย และในการกระโดดครั้งที่สาม หมวกของเขาก็หลุดออก เผยให้เห็นปลายท่อนแหลมคมของไม้สองท่อนทรงสี่เหลี่ยม

หนุ่มๆ ชาว 'ครอบครัวสุขสันต์' ครางออกมาเหมือนเป็นคนเดียวกัน แล้วก็รีบพุ่งออกไปไล่ตามผู้หลบหนี

ด้วยความร้ายกาจที่แทบจะเหมือนมนุษย์ของเจ้าแบนโจ มันกำลังวิ่งขึ้นถนน ตรงไปทางชิปและคุณหมอผู้หญิง .. และเธอน่าจะเป็นหมอที่แย่จริงๆ แถมยังน่าจะน่าเวทนามากด้วยถ้าเธอไม่สังเกตความผิดปกติที่กะโหลกศีรษะของเจ้าโจรขโมยม้า

แคล เอมเม็ทท์ขยับสเปอร์กระตุ้นม้าของเขา แล้วแซงหน้าสลิมไปเหมือนรถจักร ตะโกนคำหยาบคายไปด้วยขณะที่เขาวิ่งม้าไป

"ต้อนมันลงไปในลำธาร" แฮปปี้แจ็คตะโกน แล้วโน้มตัวลงต่ำเหนือคอของม้าสีออกน้ำตาลแดงของเขา

เวียรี่ลุกขึ้นยืนบนโกลน โบกหมวกพัดวีให้เจ้ากลอรี ม้าของเขา "เย้ ..ยะ-เฮ้! ไปเลย แบนโจ! ไอ้หนุ่มน้อย! ดูนายขี่สิ จะดูมั้ย? เขาเป็นคนขี่ม้าที่บังคับม้าป่าตัวฉกาจมานานแล้ว" ซึ่งเวียรี่เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ดูเหมือนจะสนุกกับสถานการณ์นี้

"ถ้าชิปมีสติปัญญาที่จะชะลอความเร็วลงและให้โอกาสพวกเราบ้าง .. หรือไม่ก็ผลักหญิงชราคนนั้นตกจากคันดินลงไปซะ!" แจ็ค เบทส์คราง แล้วก็ฟาดแส้และกระตุ้นม้าด้วยสเปอร์เพื่อที่จะแซงม้าที่วิ่งหนี

ตอนนี้ นักโทษกำลังขี่ม้าคว่ำหน้า หัวทิ่มลง ภาพนั้นทำเอาเจ้าแบนโจตกใจแทบสิ้นสติ สิ่งที่มันเริ่มต้นด้วยการหยอกเย้าอย่างโหดเหี้ยม ตอนนี้มันดำเนินต่อไปอย่างจริงจัง สิ่งมีชีวิตพิลึกกึกกือที่คล้ายกับคาวบอยผู้ขี่ม้าที่มันไม่สามารถโยนเขาลงมาจากหลังของมันได้ แต่กลับเกาะติดอยู่กับอานม้าของมันอย่างไม่มั่นคง มันไม่มีความคิดที่จะควบวิ่งอย่างซุกซนอีกต่อไป มันกำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ตาคู่โตๆ ของมันเบิกกว้างแทบจะถลนและเอาแต่จ้องมองไปข้างหน้า

ทันใดนั้น ชิปก็เห็นอันตรายแฝงอยู่ใต้ความสนุกสนานนั้น เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อจับสายบังเหียนอีกครั้ง แล้วหยิบแส้ขึ้นมา: "เกาะให้แน่นนะ ผมจะตีหลังม้าตัวนั้นให้ไปถึงสันหมู"

ชิปหยุดหัวเราะ มิสวิทมอร์เองที่น้ำตาไหลเต็มตาในตอนนี้ก็หยุดหัวเราะและเกร็งตัวเองด้วยสัญชาตญาณโดยอัตโนมัติ; แต่นั่นคือก่อนที่เจ้าแบนโจจะพุ่งเข้าถนนบนเนินเขา ควบหนีไปอย่างบ้าคลั่งจากความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ขี่อยู่บนอานม้าของมัน

แส้หวดไปบนหลังอันวาววับของม้าคู่สีครีมอย่างรวดเร็ว ม้าทั้งสองตัวก็วิ่งพรวดพราด รถบักกี้ยังใหม่และแข็งแรง ถ้าพวกเขาอยู่บนถนน ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย .. เว้นแต่พวกเขาจะเจอกับเจ้าแบนโจบนสันเขาแคบๆ ระหว่างเนินเขาสองลูกที่มียอดกว้าง ซึ่งเรียกว่าสันหมูอีกครั้ง และม้าคู่สีครีมก็วิ่งเร็วราวกับกวาง ล้อข้างหนึ่งทับไปบนก้อนหินและรถบักกี้ก็กระโจนอย่างรุนแรง

"อ๊ะ! หยุดสิ หมาป่าของฉันมันหล่นลงไปแล้ว!" มิสวิทมอร์ร้องขึ้น ขณะที่วัตถุสีเทาเลื่อนไหลลงไปใต้ล้อหลัง

"เกาะไว้แน่นๆ ไม่งั้นคุณจะหล่นเป็นคนต่อไป" นั่นคือทั้งหมดที่เธอได้รับเป็นการปลอบประโลม ขณะที่ชิปเตรียมตัวรับมือกับการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขามาถึงสันหมูแล้ว แต่แบนโจกำลังวิ่งขึ้นเนินเขาเบื้องหลัง รูจมูกของมันแดงก่ำและพ่นออกมา ด้านข้างของมันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ และที่เบื้องหลังของมัน เหล่าคาวบอยแห่งฟลายอิ้งยูวิ่งไล่ตามมันมาอย่างสิ้นหวัง เพื่อที่จะพยายามต้อนมันกลับลงไปในหุบเขาก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น

ชิปสูดหายใจเข้าอย่างแรงเมื่อม้าคู่สีครีมหันเหออกไปบนยอดเขาที่กว้างขวาง ขณะที่แบนโจวิ่งโครมครามผ่านไปโดยไม่มีอะไรเหลืออยู่บนตัวผู้ขี่นอกจากขา แถมขาก็ยังดูผอมเพรียวลงไปเพราะฟางที่ร่วงหล่นลงมาเกลื่อนอยู่บนถนน

อันตรายใหม่ปรากฏขึ้นในสำนึกต่อหน้าของชิปอย่างรวดเร็ว: ม้าคู่สีครีมที่คลั่งไปกับความตื่นเต้นกำลังวิ่งหนี ชิปบังคับพวกมันให้อยู่บนถนนอย่างเคร่งครัด และปล่อยให้โชคชะตาเป็นฝ่ายหยุดพวกมัน ในใจก็ขอบคุณพระคุณเจ้าที่มิสวิทมอร์ดูเหมือนจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ชอบกรี๊ด

'พวกนอกกฎหมาย' รีบเบี่ยงออกจากถนนและแล่นลงไปตามร่องน้ำจนพ้นสายตา ขณะที่ม้าคู่สีครีมพุ่งตัวลงจากเนินที่ชันและข้ามลำธารตื้น โชคดีที่ประตูบานใหญ่หน้าคอกม้าเปิดกว้างอยู่ พวกมันพาพวกเขาวิ่งทะลุประตูขึ้นไปตามทางลาดยาวและชันสู่ตัวบ้านและควบคุมตัวเองได้มากขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งด้วยความพยายามอย่างสูงสุด ชิปจึงนำพวกมันที่หายใจหอบแรงมาหยุดอยู่หน้าระเบียงบ้านหลังใหญ่ ซึ่งมีเจมส์ จี. ยืนเดือดพล่านด้วยความวิตกกังวล .. เจมส์ จี. วิทมอร์ ไม่ใช่ผู้ชายที่รับมือกับเรื่องต่างๆ อย่างใจเย็นนักหรอก - ถ้าเขาเป็นผู้หญิง คงจะถูกเรียกว่ายัยคนจู้จี้จุกจิก

"นี่นายกำลังจะเอาทางลาดไปทำสนามแข่งม้าอะไรกันวะเนี่ย!" เจมส์ จี. ตะโกนคำถามหลังจากที่เขาฝากจูบอย่างรวดเร็วไว้ข้างจมูกของน้องสาวของเขาแล้ว

ชิปวางหีบเดินทางใบใหญ่ลงบนระเบียงแล้วหยิบกีตาร์ก่อนที่จะตอบว่า

"ผมแค่ลองสปริงใหม่ของรถบักกี้เฉยๆ"

"มันน่าตื่นเต้นมากเลยล่ะ" มิสวิทมอร์พูดอย่างร่าเริง "ฉันยิงหมาป่าได้ด้วยแหละ เจ.จี. แต่เราทำมันหล่นหายไปตอนลงเนิน คนของคุณกำลังเล่นเกมตลกๆ อยู่ - มันดูเหมือนกับ 'กระต่ายกับสุนัข' อ๊ะ! หรือว่าพวกเขากำลังฝึกม้าตัวใหม่?"

นายใหญ่มองไปที่ชิป แววฉลาดเฉลียวปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มที่จริงจังของเขา เขารู้ว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เขาหลับอยู่ตอนที่ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้น และกระเด้งตัวมาถึงประตูทันทีที่เห็นม้าคู่สีครีมพุ่งลงเนินมาเหมือนกับดาวตกในตอนกลางวัน

"ฉันเดาว่าพวกเขาคงจะกำลังฝึกม้าป่า" เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ของเยอะแยะเหมือนจะเดินทางรอบโลกเลยนะ เดลล์ ฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่ยาพิเศษสำหรับพวกเราคนโชคร้ายหรอกนะ; เอ่อ บอกชอร์ตี้ให้หน่อยว่าฉันอยากเจอเขานะ ชิป"

ชิปดึงบังเหียนออกจากมือของนายใหญ่ กระโดดขึ้นรถแล้วขับกลับลงเนินไปที่คอกม้า

'คณะกรรมการต้อนรับ' ที่ชิปตั้งชื่อให้พวกเขาอย่างเหน็บแนมไปไล่จับม้าที่เตลิดหนีกลับมาได้แล้ว และแอบย่องกลับไปยังฟาร์มโดยใช้เส้นทางใต้หุบเหว ด้วยถ้อยคำหยาบคายมากมาย พวกเขาถอดอานม้าและกางเกงรัดรูปที่รุ่มร่ามออกจากเจ้าแบนโจ ม้าผู้น่าสงสารและเสื่อมเสียชื่อเสียง และเตะมันออกจากคอกม้าไป

"แผนการของแจ็ค มันก็ออกมาแบบนี้แหละ" สลิมบ่น "ให้ตายสิ! นายจะไม่ให้ฉันเข้าไปพัวพันกับเรื่องแย่ๆ แบบนี้อีกนะ!"

"นายอาจจะอธิบายได้นะว่าทำไมปล่อยให้ไอ้เวรตะไล ม้าป่าตัวนั้นหนีไปได้!" แจ็คโต้ตอบอย่างหงุดหงิด "ถ้านายทำหน้าที่ของตัวเอง เรื่องทุกอย่างมันก็จะราบรื่นเหมือนกับผ้าไหม"

"สงสัยว่าหญิงชราจะคิดยังไงนะ" เวียรี่แทรกขึ้นมา ตั้งใจจะรักษาความสงบสุขในกลุ่มครอบครัวสุขสันต์

"เธอคงไม่ทันจะเห็นพวกเราเลยด้วยซ้ำ!" แคลหัวเราะ "เจ้าเสี้ยนไม้คงทำเอาคุณหมอแทบแย่แน่ๆ แค่เกาะรถไว้ก็แย่แล้ว! ทางลาดชันที่พวกเขาวิ่งลงมานี่ไม่ช้าเลยนะ พวกเขาเกือบจะวิ่งชนกับเจ้าแบนโจบนเนินเขาสันหมูไปอย่างเฉียดฉิวเลยเชียว นี่ถ้ามันชนกันจริงๆ คุณหมอผู้หญิงก็คงแย่ไป ชิปเองก็คงแย่ไปด้วย - โอ้โห! มันหวุดหวิดแทบตายเลยนะ!"

"เออ" แฮปปี้แจ็คพูดขึ้นอย่างเศร้าโศก "ถ้าพวกเราไม่โดนไล่ออกเพราะเรื่องนี้ก็คงน่าแปลกใจเลยแหละ มันเป็นเรื่องแย่ที่สุดที่พวกเราเคยทำเลยนะ"

"นอกเสียจากครั้งโน้นที่เราเอาสังกะสีผูกกับหางวัวจรจัดตัวนั้น ช่วงฤดูหนาวที่แล้ว" เวียรี่แก้ไขข้อความ หัวเราะคิกคักไปกับความทรงจำขณะที่เขาปิดประตูบานใหญ่ไว้ด้านหลังพวกเขา

"เออ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งแผนโง่ๆ ของแจ็ค" สลิมผู้จริงจังกับชีวิตเสริม "เอากระป๋องสังกะสีไปผูกกับหางวัวหนุ่มสี่ขวบ แล้วปล่อยให้มันวิ่งไล่ตามนายใหญ่และพาเขาไปจนแต้มที่โรงเลี้ยงลูกวัว และเจมส์ จี. ก็โมโหสุดๆ - ให้ตายเหอะ! มันไม่ได้ช่วยโรคข้อเสื่อมของเขาเลยสักนิด"

"นายโดนไล่ออกแน่ๆ เรื่องนี้" แฮปปี้แจ็คยืนยันอีกครั้งด้วยความมั่นใจอย่างโศกเศร้า 

"นั่นไง เจ้าเสี้ยนไม้อยู่ที่แคมป์พักคนงาน - กำลังวาดรูปพวกเราอยู่ ฉันพนันเป็นดอลลาร์เลยก็ได้ - เฮ้ ชิป! เป็นไงบ้าง พักฟื้นเรียบร้อยหรือยัง?" เวียรี่ตะโกนออกมา เสียงอันแจ่มใสของเขาที่แสดงอารมณ์ว่า ไม่ว่าภัยพิบัติอะไรก็ไม่อาจจะมาเลอะเปรอะเปื้อนมันได้

ชิปมองพวกเขาแว่บหนึ่งแล้วก็ก้มอ่านเนื้อหาจากนิตยสารเก่าเล่มล่าสุดที่เขาหยิบมาจากร้านตัดผมที่ดรายเลค: แคล เอมเม็ทท์ เดินตรงเข้ามาแล้วคว้าหมวกสีเทาใบย้วยออกจากหัวของเขา และเริ่มใช้มันเป็นลูกฟุตบอล

"นี่! เอาหมวกคืนมา!" ชิปสั่งการพร้อมกับหัวเราะ "อย่าเอาจอห์น บี. สเต็ทสันใบใหม่ของฉันไปทำเป็นเศษผ้าเช็ดจานเลย แคล มันจะใส่ไปงานเต้นรำไม่ได้นะ"

"โห! มันก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากเศษผ้าเช็ดจานอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นคนตัดสินนะ ตอนนี้! โอ คุณพระคุณเจ้า!" เขาถือหมวกไว้ระยะแขนแล้วมองดูมันด้วยท่าทีเยาะเย้ย

"เอ่อ หมวกมันใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว" ชิปอธิบาย พยายามคว้าหมวกกลับคืนมาอย่างไม่สำเร็จ

แคลโยนหมวกคืนให้ชิปแล้วเดินมานั่งลงบนส้นเท้า สอดส่ายสายตาข้ามแขนของชิปไปที่นิตยสาร

"คุณหมอหญิงเป็นยังไงบ้าง?" แจ็ค เบทส์ถาม เอนตัวพิงประตูขณะที่เขาคลึงบุหรี่

"กลัวแทบตายเลย ฉันเลยทิ้งซากเธอไว้ในอ้อมแขนของเจมส์ จี. "

"เธอตกใจจริงๆ เหรอ?" แคลเลิกสนใจนิตยสาร 'สาวสวยประเภทต่างๆ'

"เธอว่าอะไรมั้ยตอนที่เราหนีออกมา?" แจ็คขีดไม้ขีดกับท่อนซุงอย่างแรงๆ

"ไม่มีอะไร; เออ เธอถามว่า ‘พวกเขาจะ .. แ-ข-ว-น .. เขาเหรอ?" เสียงของชิปเลียนเสียงแหลมปรี๊ด สั่นเครือกับคำพูดนั้น

"โธ่เอ๊ย! เธอพูดแบบนั้นจริงๆ เหรอ!" แจ็คหัวเราะอย่างพอใจ

"เธอพูดอะไรตอนที่นายเร่งม้าคู่สีครีมขึ้นไปน่ะ? ฉันไม่คิดว่าหญิงชราจะรู้ความจริงที่ว่านายได้ช่วยชีวิตเธอไว้ตอนนั้นหรอก .. แต่นายช่วยชีวิตเธอไว้จริงๆ นะ นายเก่งมาก ชิป" แคลยกมือตบเข่าชิปด้วยความชื่นชม

ชิปหน้าแดงก่ำเพราะคำชม รีบตอบเพียงคำถามแรกเริ่ม

"เธอตะโกนออกมาว่า ‘หยุดสิ! หมาป่าของฉันมันหล่นลงไปแล้ว! ’"

"หมาป่าของเธอ?"

"หมาป่าของเธอเหรอ?"

"เธอเอาหมาป่ามาทำอะไร?"

พวกครอบครัวสุขสันต์ยืนตะลึง พอๆ กับที่เห็นแววหัวเราะในดวงตาของชิป

"หมาป่าของเธอ - พวกนายคนไหนเคยเห็นหมาป่าตัวที่ตายแล้วอยู่บนทางลาดบ้างไหม? เพราะถ้านายเคยเห็น นั่นแหละ มันเป็นของหมอผู้หญิงนะ"

เวียรี่เดินตรงเข้ามาอย่างตั้งใจ จับที่ไหล่ของชิปแล้วดึงเขาให้ลุกขึ้นด้วยการกระชากเพียงครั้งเดียว

"อย่าพยายามปาภาระอะไรมาใส่พวกเรานะ ไอ้เจ้าหนุ่มน้อย ตอบฉันตามความจริง .. ขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยนายด้วยแล้วกัน คุณป้าคนนั้นได้หมาป่ามายังไง .. ตัวที่ตายแล้วน่ะเหรอ?"

ชิปดิ้นหลุดแล้วหยิบซองบุหรี่ของเขา 

"เธอเป็นคนยิงมัน" เขาตอบอย่างใจเย็น แต่ริมฝีปากกระตุก

"ยิงมัน!" ห้าเสียงประสานกันเป็นเสียงสะท้อนด้วยความไม่เชื่อ

"ยิงด้วยอะไร?" เวียรี่ถาม เมื่อเขากลับมาหายใจได้ในจังหวะปกติอีกครั้ง

"ด้วยปืนไรเฟิลของฉัน ฉันเอามันมาจากเมืองวันนี้ เบิร์ท โรเจอร์สเอามันมาฝากไว้ที่ร้านตัดผมให้ฉัน"

"โห! แล้วม้าคู่สีครีมน่ะ เกลียดปืนเหมือนยาพิษเลยนะ! เธอไม่ได้ยิงมันจากบนรถบักกี้หรอก ใช่ไหม?"

"ใช่" ชิปพูด "เธออยู่บนรถบักกี้ ครั้งแรกเธอไม่ได้รู้ดีกว่านั้น .. และครั้งที่สองเธอโมโหที่ฉันพูดเป็นนัยว่าเธอกลัว เธอก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กที่มีจิตใจนักสู้อย่างยิบตาที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ และตอนนี้เธอกำลังยุ่งอยู่กับการเกลียดฉัน ที่ฉันขับรถพุ่งจี๋ลงเนิน .. โดยคิดว่าฉันทำมันเพื่อทำให้เธอหวาดกลัว ฉันเดาว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ผู้หญิงโง่ๆ บางคนคิด"

"ถ้าอย่างนั้นเธอก็เป็นพวกชอบล่าสัตว์ตัวยุ่งเหยิง!" แคลคราง เขาคือผู้ชายที่ชอบผู้หญิงหวานแหววมากกว่า

"ไม่หรอก .. ฉันมองว่าเธอเป็นม้าที่ไม่ยอมอยู่ในฝูง"

"เธอเป็นยังไง?"

"เธออายุเท่าไหร่?"

"ฉันไม่เคยถามอายุเธอเลย" ชิปตอบ รอยยิ้มฉายแว่บๆ บนใบหน้าของเขา "สำหรับรูปลักษณ์ของเธอ เธอไม่ได้ตาเหล่ และเธอไม่ได้สายตาสั้น แค่นั้นแหละที่ฉันสังเกตเห็น" หลังจากการโกหกหน้าตายคำโตนี้แล้ว เขาก็หันไปยุ่งกับบุหรี่ของเขา "เอานิตยสารนั้นมาให้ฉันซิ แคล ฉันยังอ่านไม่จบ"


บทที่ 3
เจ้าซิลเวอร์

เดลลา วิทมอร์ยืนมองไปยังกระท่อมที่พักคนงานบนเนินเขาด้วยความคิดใคร่ครวญ เธอรู้ว่าผู้ชายทุกคนกำลังทำงานอยู่ เธอได้ยินเจ.จี. บอกให้คนสองคน ‘ขี่รั้ว’ ด้วยความสงสัยอย่างประหลาดใจ เธอสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มกำยำสองคนถึงถูกสั่งให้ไปขี่รั้ว ในขณะที่แน่นอนว่ามีม้าที่ต้องการออกกำลังกายและต้องการมันอย่างมาก โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของพวกมัน - อย่างไรก็ตาม เธอตั้งใจจะถาม เจ.จี. เรื่องนี้ในโอกาสแรกแน่ๆ

คนอื่นๆ อยู่ที่ด้านล่างของคอกเพื่อปั๊มตราลูกวัวไม่กี่ตัวที่เป็นตัวหลักของฟาร์ม ซึ่งเธอประกาศความตั้งใจว่าจะไปดู แต่พี่ชายของเธอรู้ดีว่าผู้ชายจะมองการปรากฏตัวของเธอยังไง และเขาบอกเธอตรงๆ ด้วยว่าพวกเขาไม่ต้องการเธอ เขายังบอกอีกว่ามันไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้หญิง จากนั้นเขาก็ใส่ชุดเอี๊ยมที่มอมแมมและรีบลงไปช่วยเหลือ เพราะเขาเองไม่เหนือไปกว่าการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเมื่อมีงานพิเศษที่ต้องทำ

เดลลา วิทมอร์จัดห้องครัวและปัดฝุ่นห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น ด้วยมือที่ว่างเปล่าอย่างซุกซนและความอยากรู้อยากเห็นแบบผู้หญิง เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปตรวจสอบกระท่อมที่พักคนงานของพี่ชายของเธอ

เจ.จี. คงจะบอกเธอเหมือนกันว่ากระท่อมที่พักคนงานไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้หญิง แต่ เจ.จี. ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นความเห็นของเขาก็ไม่สำคัญอะไรกับเธอ เธออยู่ที่ฟาร์มฟลายอิ้งยูมาทั้งสัปดาห์แล้ว และเริ่มรู้สึกว่าแหล่งบันเทิงที่นี่(นอกเหนือจากหนุ่มๆ ซึ่งก็น่าสนใจอยู่บ้าง)เริ่มหมดลงแล้ว - เธอเคยออกไปปีนหน้าผาชันที่โอบล้อมร่องเขาสองข้าง โดยเลือกม้าผูกอานคู่ใจตัวเล็กสีออกแดงอมน้ำตาลชื่อ ‘คอนโซ’ และผูกมิตรกับแพทซี คนครัว เธอใช้เสน่ห์ของเธอทำให้แคล เอมเม็ทท์หลงใหล และหาโอกาสแสดงให้ชิปเห็นว่าเธอคิดยังไงกับเขา; ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ไม่น่าพอใจเลย เพราะชิปเพิกเฉยต่อเธออย่างสงบเสงี่ยมทุกครั้งที่มารยาทพื้นฐานอนุญาต

เรื่องเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือ ปริศนาที่ยังไม่ได้สำรวจของกระท่อมหลังน้อยด้านล่างเนินเขา ซึ่งมีเสียงหัวเราะของผู้ชายดังออกมาในตอนเย็น เธอเฝ้ารอจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จากนั้นก็คว้าหมวกเก่าของเจ.จี. มาสวมบนหัว แล้ววิ่งลงเนินเขาไปอย่างช้าๆ แต่คล่องแคล่ว

เธอแตะลูกบิดประตูด้วยมือของเธอ สายตาของเธอมองอย่างพินิจพิจารณาไปตามผนังด้านนอก สรุปได้ว่า เมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยมีการทาสีขาว; เธอหมุนลูกบิดประตูอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหันไปมองข้างหลังเหมือนเด็กที่กำลังจะขโมยคุกกี้ ก้าวเข้าไปแล้วเกือบจะล้มหัวคะมำ เพราะเธอไม่ได้คาดหวังว่าพื้นของกระท่อมที่สร้างบนเนินเขาจะมีระดับที่ต่างกันออกไปซะด้วยสิ

"เอาล่ะ!" เธอตั้งหลักตัวเองแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สิ่งที่ทำให้เธอตกใจในตอนแรกคือ: ไม่มีเตียงสองชั้น แต่มีเตียงเหล็กธรรมดาสองเตียงและเตียงไม้สองเตียงที่ทำจากแผ่นไม้เนื้อหยาบ มีโต๊ะที่ดูตลกๆ ทำจากกล่องกาแฟคว่ำ ขาโต๊ะทำจากไม้ท่อนขนาด 2 x 4 นิ้ว และวางเกะกะอยู่กับของสะสมเล็กๆ น้อยๆ ตามสไตล์ชายโสด มีโคมไฟแก้วที่มีปล่องไฟรมควันดำคล้ำ ซองการ์ด ถุงยาสูบ และกล่องไม้ขีด มีกล่องดีบุกที่มีแกนด้ายที่หยาบมาก เข็มขนาดใหญ่ที่ดูหยาบพอๆ กัน และกรรไกรตัดกระดาษ นอกจากนี้ยังมี และมิสวิทมอร์ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นมัน กองนิตยสารที่มีผู้นิยมอ่านกันอย่างมากมายวางอยู่ โดยมีนิตยสารเล่มล่าสุดที่เธอชื่นชอบอยู่ด้านบน เธอเดินเข้าไปใกล้และตรวจดูพวกมัน และมองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาที่สงสัย มีเดือย, หวาย, แส้, กางเกงขี่ม้า และเศษเล็กๆ ที่ดูแปลกๆ อยู่บนผนัง มีก้นบุหรี่และเศษไม้ขีดไฟที่เผาไหม้จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นกระดานที่ขรุขระ และที่นี่ ในมือของเธอ เธอพลิกหน้านิตยสารเล่มโปรดของเธออย่างเลื่อนลอย และกระดาษแผ่นหนึ่งก็ปลิวออกมาตกลงบนพื้น คว่ำหน้า เธอโน้มตัวลงไปเก็บมันขึ้นมา มองแว่บเดียวก็ร้องด้วยความตกตะลึงจนหายใจไม่ออก

"เอ้า!"

มันเป็นเพียงภาพร่างดินสอวาดบนกระดาษโน้ตบุ๊กราคาถูกที่ไม่ได้มีเส้นขีดบรรทัด แต่ในใจของเธอก็สับสนวุ่นวายไปด้วยเครื่องหมายคำถามและเครื่องหมายอุทาน - ยิ่งดูนาน เครื่องหมายอุทานก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ 

รูปภาพนั้นมันเผยให้เห็นเนินเขาทื่อๆ และร่องน้ำตื้นๆ ซึ่งเธอก็จำได้อย่างแม่นยำ ในภาพเบื้องหน้า หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งสวมชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีต ยืนสำรวจหมาป่าโคโยตี้ที่ตายแล้วที่อยู่แทบเท้าของเธออย่างภาคภูมิใจ ที่มุมหนึ่งของภาพมีตอไม้ผุกร่อนและมีเศษไม้ยาวบางๆ วางอยู่ข้างๆ บนพื้นดิน ด้านล่างมีตัวอักษรที่สมดุลสวยงามเขียนว่า: "บัตรประจำตัวของสาวแก่" 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพนั้นเหมือนเธอยังกับแกะ แม้แต่หมวกสักหลาดทรงเฉียงเท่ๆ ที่เกิดจากลมและการวิ่งไล่ข้ามทุ่งอย่างบ้าคลั่ง ก็ยังถูกวาดถ่ายทอดไว้ด้วยความพิถีพิถัน บรรจง รอยจีบประหลาดบนแขนเสื้อของชุด ซึ่งความแม่นยำของรายละเอียดทุกสิ่งนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง "และฉันคิดว่าเขาคงไม่แม้แต่จะมองฉันสักแอะ!" เป็นความคิดที่สอดคล้องกันเป็นเรื่องเป็นราวเป็นประโยคแรกของเธอ 

มิสวิทมอร์เดือดดาลจนแทบควันออกหู ไม่มีผู้หญิงคนไหน (แม้จะอายุยี่สิบเอ็ดปี) อยากถูกเรียกว่า ‘สาวแก่’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชายหนุ่มหน้าคม คางเหลี่ยม และริมฝีปากที่มีรูปร่างโค้งเว้าชัดเจน และใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนี้วาดรูปเก่งขนาดนี้ - แถมยังสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างโดยไม่ต้องมองจริงๆ สักครั้ง เดลลารู้ว่าหมวกของเธอเอียงเพราะโดนลมปะทะแรงจนแทบจะพัดหัวหลุด แต่เขาก็ไม่ควร "...บัตรประจำตัวของสาวแก่!" .. ‘สาวแก่’ อะไรกัน! 

"เขาช่างกล้าอะไรเช่นนี้!"

"ขอโทษนะ?" 

มิสวิทมอร์รีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นโครมจนรู้สึกเหมือนมันกระเด็นขึ้นมาอยู่ที่คอ เธอเห็นชิปยืนอยู่ตรงประตู มองเธออย่างเย็นชา

"ฉันไม่ได้พูดอะไร" เธอพูดอย่างหยิ่งยโส ปฏิเสธทั้งๆ ที่ไร้ประโยชน์ 

แม้จะปฏิเสธคำพูดของตัวเองอย่างแข็งขัน แต่ชิปก็ไม่มีอะไรจะพูด เขาเดินไปที่เตียงเหล็กเตียงหนึ่ง ก้มลงแล้วดึงห่อของห่อหนึ่งออกมา ซึ่งถ้ามิสวิทมอร์ถามเขาว่ามันคืออะไร เขาคงจะเรียกมันว่า 'กระสอบสงคราม' เธอไม่ได้ถาม เธอยืนและเฝ้าดูเขา แม้ว่าสำนึกของเธอจะรับรองกับเธอว่ามันเป็นการเสียมารยาทที่ร้ายแรง และที่ของเธอควรจะอยู่ที่บ้าน แต่มิสวิทมอร์ก็มักจะขัดแย้งกับสำนึกของตัวเองอยู่เสมอ ครั้งนี้เธอยืนหยัดอยู่กับจุดยืนของเธอ โดยได้รับการสนับสนุนจากความจองหองของเธอซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของเธอในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้

เมื่อเขาดึงปืนพกลูกโม่ที่น่ากลัวราวกับอาชญากรออกมาจากซองหนัง และค่อยๆ บรรจุกระสุนเข้าไปทีละนัด มิสวิทมอร์ก็อดใจไม่ไหวที่จะไม่เอ่ยปาก 

"คุณ–กำลังจะ–ยิงอะไรบางอย่างเหรอ?" 

คำถามนั้นฟังดูไร้สาระอย่างมากสำหรับทั้งคู่ เมื่อเทียบกับการกระทำของเขา 

"ผมทำ" เขาตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง เขากดลูกโม่กลับเข้าที่เดิม ยัดมัดของกลับเข้าไปไว้ใต้เตียงแล้วลุกขึ้น เช็ดทำความสะอาดลำกล้องปืนด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม

แม้มิสวิทมอร์หวังว่าเขาจะไม่ฆ่าใคร แต่การกระทำที่สิ้นหวังของเขาก็ราวกับเขาพร้อมจะทำอะไรที่บ้าบิ่นก็ได้ 

"ใคร...คุณจะยิงอะไร?" จริงๆ แล้ว คำถามนี้มันถามขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ชิปเงยหน้าขึ้นมองแว่บหนึ่งซึ่งสายตาของเขาเหลือบไปเห็นภาพร่างดินสอที่อยู่ในมือของเธอ มิสวิทมอร์สังเกตเห็นว่าดวงตาของเขามีสีเข้มกว่าสีน้ำตาลอ่อนแกมทองมากกว่าเคย มันเกือบจะเป็นสีดำ และน่าแปลกที่ริมฝีปากของเขาจะไม่มีความโค้งมนเลย มันบาง ตรง และดูเข้มงวด

"ซิลเวอร์ มันขาหัก" 

"โอ้!" เสียงร้องของเดลลาเต็มไปด้วยความสยดสยองอย่างแท้จริง มิสวิทมอร์รู้เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับซิลเวอร์จากแพทซี คนช่างพูดพูดว่า ชิปเคยช่วยลูกม้าสีน้ำตาลแสนสวยตัวหนึ่งที่อดอยากใกล้ตายบนทุ่งหญ้า เขาซื้อมันมาจากเจ้าของ เลี้ยงดูและดูแลมันจนกระทั่งตอนนี้มันกลายเป็นหนึ่งในม้าอานขี่ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งในฟาร์ม มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีแผงคอและขนหางเป็นคลื่นสีขาวที่สวยงาม และมีเท้าสีขาว มิสวิทมอร์เพิ่งเคยเห็นชิปขี่มันลงไปตามทางเดินแถวร่องน้ำตื้นเมื่อวานนี้ และตอนนี้ หัวใจของเธอเจ็บปวดด้วยความสงสาร 

"มันเกิดขึ้นได้ยังไง?"

"ผมไม่รู้ มันอยู่ในทุ่งหญ้าเล็กๆ อาจจะโดนเตะก็ได้" ชิปกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงเกินความจำเป็น 

มิสวิทมอร์เดินตรงเข้าไปหาเขาอย่างหุนหันพลันแล่น ดวงตาของเธอไม่ค่อยแจ่มใส 

"อย่า อย่าเพิ่งไป! ปล่อยฉันไปดูมัน ถ้ากระดูกมันหักตรงๆ ฉันก็สามารถรักษากระดูกและช่วยชีวิตมันได้" 

ชิปผู้มืดมนในความทุกข์ยาก มองเธอผ่านไหล่สี่เหลี่ยม 

"คุณเป็นสัตวแพทย์หรือเปล่า ผมขอถามได้ไหม?" 

มิสวิทมอร์รู้สึกว่าแก้มของเธอร้อนขึ้น แต่เธอยังคงยืนหยัดได้

"ฉันไม่ใช่ แต่กระดูกที่หักก็คือกระดูกที่หัก ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์หรือของสัตว์ก็ตาม!" 

"อ๋อ, ใช่?"

วิธีการพูด "อ๋อ, ใช่?" ของชิปคือหนึ่งในอาวุธหลักในการทำลายล้างอันดับต้นๆ ของเขา เขาจะมีการออกเสียงที่แปลกประหลาดเชิงเยาะหยันเป็นครั้งคราวซึ่งทำให้เหยื่อมักจะขนลุกชันบนตัวได้ง่าย การที่จะบอกว่ามิสวิทมอร์ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยนั้น แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของเธอ เธอแค่หายใจลำบากราวกับโดนน้ำเย็นสาดใส่แบบไม่ทันตั้งตัว แล้วก็พูดต่อ 

"ฉันแน่ใจว่าฉันน่าจะช่วยมันไว้ได้ถ้าคุณยอมให้ฉันลอง หรือคุณอยากจะยิงมันจริงๆ เหรอ?"

กล้ามเนื้อของชิปหดตัว

กระตือรือร้นที่จะยิงมัน - เจ้าซิลเวอร์ สิ่งเดียวที่รักและเข้าใจเขาน่ะเหรอ? 

"คุณอาจจะมาดูมันก็มาดูได้ ถ้าคุณต้องการ" เขาพูดหลังจากหายใจเข้าหนึ่งหรือสองลมหายใจ

มิสวิทมอร์มองข้ามความอดทนของน้ำเสียงของเขาและก้าวไปเคียงข้างเขา คว้าภาพร่างนั้นไว้ในมือของเธอโดยไม่รู้ตัว เป็นชิปเองที่มองลงมาหาเธอจากความสูงเกินปกติของเขา ซึ่งเรียกความสนใจจากเธอ

"คุณกำลังคิดที่จะใช้มันเพื่อเป็นปลาสเตอร์เหรอ?" 

มิสวิทมอร์เริ่มหน้าแดง จากนั้นเชิดคางขึ้น:

"ถ้าฉันต้องการสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองอย่างรุนแรงละก็ ใช่!" เธอค่อยๆ ม้วนกระดาษเป็นหลอดเล็กๆ แล้วสอดมันไว้ที่ด้านหน้าของเอวเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนของเธอ เพราะเธอไม่มีกระเป๋า - และชิป ผู้เฝ้าดูเธออย่างซ่อนเร้นก็รู้สึกถึงอาการบีบอัดแปลกๆ ที่หน้าอกของเขา ซึ่งเขาคิดว่าควรวางความรู้สึกแปลกประหลาดนี้ลงตรงที่คิดว่ามันเป็นความโกรธจะดีกว่าที่สุด

พวกเขาเดินลงเนินอย่างเงียบๆ ไปยังที่ที่ซิลเวอร์นอนอยู่ แผงคอที่สวยงามและเป็นประกายของมันปัดไปตามใบหญ้าอ่อนสีเขียวสดใส มันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีก้าวของชิป และถอนหายใจอย่างโหยหา ชิปก้มลงมองมัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยม่านมืดแห่งความเจ็บปวด เดลลา วิทมอร์มองดู จากนั้นก็เพิ่งตระหนักเป็นครั้งแรกว่าความทุกข์ทรมานของม้านั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับความทุกข์ของเจ้านายของมัน สายตาของเธอเหลือบไปเห็นปืนที่บรรจุกระสุนที่นูนออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังของเขา และเธอก็ตัวสั่น แต่ไม่ใช่เพราะซิลเวอร์ เธอเดินเข้าไปใกล้แล้ววางมือบนแผงคอที่ส่องประกายแวววาว ม้าตัวนั้นพ่นเสียงอย่างประหม่าและพยายามลุกขึ้น

"มันไม่คุ้นเคยกับผู้หญิง" ชิปพูดด้วยสำเนียงแห่งความภาคภูมิใจ "ผมเดาว่านี่คือระยะที่ใกล้ที่สุดที่มันเคยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง คุณเห็นไหม มันไม่เคยมีใครจับมันเลยนอกจากผม"

"ถ้าอย่างนั้น มันคงไม่ใช่ม้าสำหรับผู้หญิงแน่นอน" มิสวิทมอร์กล่าวด้วยความร่าเริง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดท้าย ทัศนคติของเธอที่มีต่อชิปก็เปลี่ยนไปอย่างมาก "ลองทำให้มันยอมให้ฉันคลำดูรอยหักหน่อยสิ"

ด้วยการเกลี้ยกล่อมและคำปลอบโยนมากมาย ในที่สุดพวกเขาก็จัดการมันได้สำเร็จ โดยใช้เวลาไม่นานมากนัก เพราะเป็นขาหน้าที่หักและมันหักตรงเหนือข้อเท้าพอดี มิสวิทมอร์ลุกขึ้นและยิ้มให้กับดวงตาของชายหนุ่ม โดยตระหนักถึงความปรารถนาที่จะทำให้ริมฝีปากของเขากลับมาเป็นเส้นโค้งอีกครั้ง

"มันง่ายมาก" เธอประกาศอย่างร่าเริง "ฉันรู้ว่าฉันสามารถรักษามันได้ ที่บ้านเราเคยมีลูกม้าที่ขาหักในลักษณะเดียวกันเลย และมันก็หายดีสนิท และไม่แม้แต่จะเดินกะโผลกกะเผลกด้วยซ้ำ แน่นอน" เธอกล่าวเสริมอย่างจริงใจ "คุณลุงจอห์นเป็นคนรักษาให้มัน แต่ฉันก็ช่วยด้วย" 

ชิปดึงหลังมือที่สวมถุงมือป้ายเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาอย่างรวดเร็ว แล้วกลืนน้ำลายลงคอ 

"มิสวิทมอร์ ถ้าคุณสามารถช่วยซิลเวอร์ได้"

มิสวิทมอร์ แพทย์จบใหม่ผู้สงวนท่าที กะพริบตาถี่ๆ และพบความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเก็บผมสีน้ำตาลที่ปลิวตามลม โดยหันหลังให้กับคาวบอยตัวสูงใหญ่ผู้ที่เผลอทำหน้ากากหล่นโดยไม่รู้ตัวในทันที เธอถอดหมวกใบเก่าของเจ.จี. ออกจากศีรษะสวยๆ หมุนหมวกกลับไปกลับมาสองครั้งแล้วใส่กลับไว้เหมือนเดิมเป๊ะๆ เว้นแต่หมวกจะเอียงไปทางหูซ้ายของเธออย่างเด่นชัดกว่าเดิมนิดหน่อย - ปัดโถว์ - มีผู้หญิงคนไหนบ้างเหรอที่สามารถสวมหมวกให้ตรงบนศีรษะได้โดยไม่ต้องอาศัยกระจกช่วย! 

"เราต้องพามันขึ้นจากตรงนั้นแล้วพาไปไว้ที่คอกม้าแบบปิด ที่นั่นมีอันนึงไม่ใช่เหรอ?"

"อ๋อ, ใช่" ชิปลังเล "แต่ถึงแม้จะทำเพื่อซิลเวอร์ ผมก็จะไม่ขอให้ชายชรา พี่ชายของคุณใช้มันหรอก"

"ฉันจะไปขอเอง" เธอกล่าวตอบอย่างรวดเร็ว "ฉันไม่เคยรู้สึกลำบากใจกับการขอในสิ่งที่ฉันต้องการ ถ้าฉันไม่สามารถหามันมาได้ด้วยวิธีอื่น ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงอยากยิงมัน คุณน่าจะรู้ว่ากระดูกแบบนี้สามารถต่อได้"

"ผมไม่ได้อยาก–" ชิปก้มลงไปไล่แมลงวันออกจากไหล่ของซิลเวอร์ "เมื่อใดก็ตามที่ม้าของฟาร์มได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพิการ มันจะกลายเป็นเหยื่อของหมาป่าโคโยตี้ไปโดยปริยาย คาวบอยเงินเดือนสี่สิบเหรียญไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ดีไปกว่านี้สำหรับม้าของเขาเอง"

"มันจะหายดี ไม่ว่ามันจะคาดหวังอะไรก็ตาม ฉันแค่อยากหาอะไรมาฝึกฝนต่อไป และมันก็เป็นม้าที่สวยงามมาก ถ้าหากคุณสามารถพามันขึ้นไปได้ จูงมันไปที่คอกม้าในขณะที่ฉันไปบอก เจ.จี. และหาคนมาช่วย" เธอเดินออกไป

"ฉันจะไปตามใครดี?" เธอตะโกนกลับมา

"เวียรี่ ถ้าคุณหาเขาเจอนะ และสลิมก็เก่งเรื่องม้าเหมือนกัน"

"สลิม นั่นคือผู้ชายตัวสูงๆ ผอมๆ งั้นเหรอ?"

"ไม่ใช่ เขาเป็นคนตัวใหญ่ และสูงเหมือนยักษ์ นั่นแหละเขา .. ส่วนผู้ชายตัวผอม สูง ขาว เหมือนเสาถั่วต่างหากที่พวกเราเรียกเขาว่า: ชอร์ตี้"

เดลลา วิทมอร์บันทึกข้อมูลเหล่านี้ไว้ในความทรงจำอย่างมั่นคง และวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดที่มีฝุ่นและเสียงดังออกมาจากคอกม้าอีกด้านถัดไป เธอปีนขึ้นไปจนสามารถมองข้ามรั้วด้านบนได้อย่างสะดวก รั้วกั้นนั้นดูสูงมากจนน่ากลัวสำหรับเธอ ซึ่งเป็นการใช้เสาตรงที่แข็งแรงไปอย่างเปล่าประโยชน์โดยชัดเจนจริงๆ

"เจ.จี. -อี–อี—อี!"

"บลา-า–า" 

เสียงตอบกลับดังขึ้นมาจากแหล่งที่คาดไม่ถึงว่าจะมีวัวตัวใหญ่สีแดงพุ่งมาชนและโหม่งรั้วที่ใต้เท้าของเธออย่างแรงจนเกือบจะทำให้มิสวิทมอร์หลุดออกจากที่เกาะ วัวถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วก้มศีรษะลงอย่างเกรี้ยวกราด

"ชิ่ว! ไปไกลๆ! ออกไปซะยัยเฒ่าขี้โมโห! โอ๊ย! เจ.จี. -อี–อี—อี!"

เวียรี่ซึ่งกำลังคล้องเชือกอยู่เพื่อล้อมจับลูกวัวตัวหนึ่งขึ้นไปไว้ใกล้กองไฟ และกำลังจะทำห่วงเพื่อจับลูกวัวอีกตัวหนึ่ง ทันใดนั้น วัวตัวนั้นก็พุ่งเข้าใส่รั้วเป็นครั้งที่สอง เวียรี่รีบพุ่งไปข้างหน้าแม่วัวพลางควบม้าของเขาหนีรอดพ้นจากรอยแผลอันน่ากลัวจากเขาที่ยาวและชั่วร้ายของมันได้ทันอย่างหวุดหวิด แต่ขณะที่เขาหลบเลี่ยง เวียรี่ก็โยนเชือกของเขาด้วยการหมุนหลังมืออันเป็นเอกลักษณ์ของนักโยนเชือกผู้ชำนาญ พันไปที่หัวและเท้าหน้าข้างหนึ่งของยัยวัวเฒ่า เขาพุ่งตัวอีกครั้งไปอยู่ตรงข้ามของคอกม้า ไกลจนสุดปลายเชือกที่ยาวราวสี่สิบฟุตที่ผูกติดกับตะขอข้างอานม้าของเขา จากนั้น แม่วัวสีแดงล้มลงจนเสียงดังกระหึ่มไปทั่ว ซึ่งเพียงพอที่จะดับความปรารถนาจะก่อเรื่องวุ่นวายของมันไปได้ชั่วคราว ชอร์ตี้ คาวบอยหนุ่มตัวสูงก้าวเข้ามาปลดเชือกออกแล้วปีนขึ้นไปบนรั้ว แต่แม่วัวเพียงแค่ส่ายสีข้างที่ปวดเมื่อยและเดินกะโผลกกะเผลกไปยังอีกฟากหนึ่งของคอกม้าอย่างหงุดหงิด .. เจ.จี. และคนงานหนุ่มๆ ที่ต่างก็ปีนรั้วขึ้นไปหลบภัยเหมือนแมวตกใจปีนต้นไม้ไปก่อนแล้วเมื่อปัญหาเริ่มต้นขึ้น และเกาะติดกันเป็นแถวอยู่บนยอดรั้ว นายใหญ่เจมส์ จี. มองข้ามไหล่อย่างเหลอหลาไปสอดแนมภัยและหันไปเห็นน้องสาวของเขาเข้าพอดี ดวงตาสีควันคมกว้างเฝ้าดูผลลัพธ์กับการประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสมของคนก่อเรื่องโดยถนัดถนี่

"เดลล์! แกขึ้นไปทำอะไรบนรั้วฟ้าร้องนั่นฟะ!" เขาตะโกนข้ามคอกม้า

"พี่ต่างหากล่ะ ขึ้นไปทำฟ้าร้องอะไรบนรั้วนั่น เจ.จี.?" เธอสวนกลับไปหาเขา

นายใหญ่ผู้ถูกเรียกลับหลังว่าชายชราปีนลงมาอย่างไร้ซึ่งความสง่าผ่าเผย ตามมาด้วยหนุ่มๆ คนอื่นๆ

"เนี่ยเหรอ? ที่พี่เรียกว่า ‘ขี่รั้ว’" เธอถามอย่างอารมณ์ดี "ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว - มันหมายถึงการสำรวจทางบนรั้วด้านบนสุด"

"กลับไปที่บ้านแล้วอยู่ที่นั่นซะยัยจอมวุ่น!" เจ.จี. สั่งด้วยอาการหงุดหงิดเสียหน้า ขณะที่คนงานหนุ่มๆ เริ่มหัวเราะอย่างเห็นได้ชัดเจน และเสียงหัวเราะนั้นก็มุ่งเป้าไปที่นายใหญ่ของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด 

"โอ้ ไม่" เสียงของเธอดังขึ้นอย่างสงบและหวานราวน้ำผึ้ง "ช่วยต้อนวัวตัวนั้นมาทางนี้อีกครั้งได้ไหม คุณ-เวียรี่? ฉันชอบดู เจ.จี. ปีนรั้ว มันดีต่อสุขภาพของเขา ช่วยให้เขาคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้น และอีกอย่าง เจ.จี. พี่กำลังอ้วนขึ้นนะ รู้มั้ย?"

"รีบไปพาลูกวัวตัวนั้นมาเร็ว!" เจ.จี. วิทมอร์ตะโกน คว้าเหล็กตีตรากลับมาและหันหลังให้ผู้รังควาน

พวกหนุ่มๆ นอกเหนือจากการหัวเราะคิกคักกันอย่างลับๆ แล้วยังประพฤติตนโดยสามัคคีในการทำงานเป็นทีมที่น่ายกย่องมากอีกด้วย

"อ๊ะ! เจ.จี. "

"โอ๊ย! ยังไม่ไปอีกเหรอ? แกต้องการอะไร?"

"ขาของซิลเวอร์หักนะ พี่รู้มั้ย?"

"เออ! ฉันรู้ตั้งนานแล้ว ชิปไปยิงมันแล้ว แกกลับไปที่บ้านซะเหอะ อย่ามายุ่ง! แกจะทำให้วัวทุกตัวในคอกพร้อมที่จะต่อสู้ เพราะริบบิ้นสีแดงของแก"

"มันไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีชมพู สีชมพูอมแดงแสนหวานฉ่ำเลยต่างหาก ถ้าหากวัวของพี่ไม่ชอบมัน มันก็ต้องได้รับการอบรมจนกว่ามันจะชอบ และชิปก็จะไม่ยิงม้าตัวนั้นหรอก เจ.จี. ฉันจะทำการประคบขาของมันและรักษาให้หาย และฉันจะขังมันไว้ในคอกม้าแบบปิดของพี่สักอัน ตอนนี้นะ เข้าใจมั้ย!"

แคล เอ็มเม็ตต์ไออย่างกะทันหันและโน้มหน้าผากลงกับราวคอกอย่างอ่อนแรง ขณะที่เวียรี่โต้เถียงกับม้าของเขาอย่างไม่จำเป็นและรีบวิ่งข้ามไปที่ประตูคอก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไหล่ของเขาสั่น..อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวนั่นแหละ; แม้แต่นักขี่ม้าที่กล้าหาญที่สุดบางครั้งก็ได้รับผลกระทบเช่นนั้น ใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครหัวเราะเลยล่ะ (จริงจริ๊ง!) จริงอยู่ สลิมดูจริงจังอย่างผิดปกติจนแม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังสงสัย ในขณะที่ดวงตาแสนสวยของแจ็คผู้สุขสันต์ก็ยังดูเศร้าโศกในทางบวกอย่างเห็นได้ชัดเจน

"ฉันต้องการผู้ชายตัวใหญ่เหมือนตึกยักษ์คนนั้นไปช่วย" (สลิมรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่ถูกระบุตัวตนอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น) "และคุณเวียรี่ด้วย" เดลลา วิทมอร์อาจจะพูดด้วยความสง่างามมากขึ้นถ้าหากเธอไม่ได้เกาะอยู่บนยอดรั้ว โดยมีปลายเท้าเล็กๆ ในรองเท้าแตะสองข้างยัดอยู่ระหว่างรั้วไม่ไกลพื้นด้านล่างมากนัก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอดูเหมือนเด็กนักเรียนตัวน้อยที่น่ารักและเอาแต่ใจ

"อ้าว! กลายเป็นหมอม้าแล้วใช่ไหม ฮึ?" เจ.จี. วิทมอร์โน้มตัวลงบนเหล็กตีตราสินค้าของเขาแล้วหัวเราะ "เชื่อเถอะ! นั่นไม่ใช่ความคิดที่เลวร้าย ฉันมีคอกม้าแบบปิดอยู่สองอัน และมีม้าสีเทาตัวหนึ่งอยู่ในทุ่งหญ้า - ม้าเฒ่าสีเทาตัวเดียวกับที่ออกมาจากป่ารกร้าง มันเป็นโรคชักกระตุก เดี๋ยวฉันจะให้พวกเด็กๆ ไปจับมันมาแล้วแกก็เริ่มเปิดโรงพยาบาลม้าได้เลย!"

"นั่นคงเป็นเรื่องตลกใช่ไหมเจ.จี.? ฉันฟังไม่ออกสักทีว่าอะไรคือมุกตลกของพี่ ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันจะหัวเราะ ฉันจะใช้อะไรก็ตามที่ฉันต้องการ และพี่ก็สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีคุณ… เอ่อ ผู้ชายสองคนนั้น"

"โอ้ เอาไปเลย ม้าตัวนั้นไม่ได้เป็นของฉัน ดังนั้นฉันยินดีให้แกลองฝึกฝนฝีมือความเป็นหมอกับม้าสักพัก เฮ้ย! เดลล์! เอาของเหลวข้นๆ ที่แกเทให้ฉันกินตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาให้กับมันไปซะ บางทีมันอาจจะชอบรสชาติขมๆ แหวะๆ นั่นก็ได้ - ส่วนฉันไม่ชอบมันแน่นอน"

"ฉันเดาว่าพี่คงติดป้ายไว้ว่า: 'เรื่องตลก โปรดหัวเราะที่นี่' ใช่มั้ย?" มิสวิทมอร์ถอนหายใจอย่างอ่อนโยน ขณะปีนลงมาอย่างระมัดระวัง


บทที่ 4
ภาพในอุดมคติ

        

"วันนี้ฉันคงจะไปที่ไร่เดนสันดูหน่อย" เจ.จี. กล่าวที่โต๊ะอาหารเช้าวันหนึ่ง "บางทีเราอาจจะเก็บแม่ม่ายสาวสวยคนนั้นมาดูแลบ้านให้เราได้"

"ฉันไม่ต้องการแม่ม่ายสาวสวยคนไหนมาดูแลบ้านหรอก" เดลลาโวยวาย "ฉันอยู่ได้เองสบายมากตราบเท่าที่แพทซี่อบขนมปัง เนื้อ เค้ก และอื่นๆ มันก็เพียงพอแล้ว การดูแลบ้านมันสนุกดีนะ ปัญหาเดียวคือ ฉันแทบจะไม่มีอะไรให้ยุ่งเลย ฉันจะไปสอบใบรับรองการประกอบวิชาชีพแพทย์ ดังนั้นถ้ามีใครป่วย ฉันก็จะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง พี่บอกว่าการไปหาหมอที่ใกล้ที่สุดนั้นห่างไปห้าสิบไมล์ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องมีแม่ม่ายสาวสวยมาอยู่ด้วยหรอก ฉันดูแลบ้านได้ .. มันดูดีกว่าตอนที่มาอยู่ที่นี่ พี่ก็รู้" ซึ่งคำพูดนี้คงจะไปทำร้ายความรู้สึกของคาวบอยผู้มีน้ำใจดีหลายคน หากพวกเขามาได้ยิน

"อื้ม ฉันไม่ได้ตำหนิเรื่องการดูแลบ้านของแกหรอกนะ แกทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวสำหรับมือใหม่ แต่แพทซี่จะต้องไปต้อนวัวกับคนงานอื่นๆ เวลาที่มันเริ่มต้นฤดูกาล และผู้ชายที่ฉันจ้างไว้ในไร่ จะต้องมากินข้าวกับเรา นี่เป็นวิธีที่ฉันเคยชินในการจัดการเรื่องต่างๆ ฉันไม่เคยเก่งเกินกว่าที่จะกินที่โต๊ะเดียวกับลูกน้องของฉัน ถ้าพวกเขาไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร ฉันก็ไล่พวกเขาออกและหาคนที่เหมาะสมมาแทน ตอนนี้ฉันมีกลุ่มคนงานนี้ที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว แม้แกจะอยู่กับฉันคนเดียวก็ได้ แต่แกทำอาหารสำหรับผู้ชายสองสามคนไม่ได้หรอก แกทำอาหารไม่อร่อยพอ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องยากมากไปก็ตาม" เจ.จี. ก็มีวิธีพูดจาตรงไปตรงมาในการพูดถึงข้อเท็จจริงที่ไม่น่าฟังบ่อยครั้ง

"เอาเถอะ จ้างแม่ม่ายสาวสวยของพี่มาเลย" เธอโต้ตอบด้วยศักดิ์ศรีที่ไร้ประโยชน์ 

"เธอทำอาหารเก่ง เป็นแม่บ้านชั้นยอด และเธอจะทำให้แกไม่เหงา เธอเป็นเพื่อนที่ดีทีเดียวแหละ คุณหญิงม่ายน่ะ" เขาแย้มรอยยิ้มขณะพูด "ฉันจะให้ชิปควบคุมม้า และแกก็เตรียมตัวไปกับเรานะ มันจะเป็นโอกาสให้แกได้ประเมินเพื่อนบ้านแบบที่แกมีอยู่"

มีความสุขอย่างแท้จริงในการขับรถเร็วผ่านทุ่งหญ้า แดดฤดูใบไม้ผลิที่แสนหวาน และเดลลา วิทมอร์รู้สึกตื่นเต้นจนกระทั่งพวกเขาพุ่งลงไปในหุบเขาอันลึกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวเดนสัน

"ถนนเส้นนี้มันอันตรายจริงๆ!" เธออุทานออกมาเมื่อพวกเขามาถึงจุดที่ชันเป็นพิเศษ และชิปใช้แรงทั้งหมดของเขากับเบรก 

"ตอนกลับ เราจะให้คุณหญิงม่ายนั่งข้างๆ แก แล้วแกจะไม่กระแทกไปมาบนเบาะมากขนาดนี้ เธอแข็งแรงมาก - แค่เกาะติดเธอไว้ แกก็จะปลอดภัย" เจ.จี. กล่าว

"ถ้าฉันไม่ชอบหน้าเธอ - และฉันรู้ว่าฉันจะไม่ชอบ - ฉันจะขึ้นไปนั่งเบาะหน้า และพี่เองก็สามารถเกาะติดเธอไว้ได้ คุณเจ.จี. วิทมอร์"

ชิปผู้เงียบมาจนถึงตอนนี้ เหลือบมองที่ไหล่ของเขาอย่างรวดเร็ว

"ง่ายมากที่คุณจะเลือกเบาะหน้า" เขาตั้งข้อสังเกตอย่างเรียบง่าย

"เจ.จี. ถ้าพี่จ้างผู้หญิงแบบนั้น—"

"แบบไหน? โธ่เอ๊ย! มันเป็นนิสัยของผู้หญิงที่ชอบสรุปเอาเอง! คุณหญิงม่ายน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เธออาจจะขี้บ่นไปหน่อย"

"ผมจะบอกว่าผู้ชายคนหนึ่งก็ขี้บ่นเหมือนกัน!" ชิปแทรกขึ้นอย่างสั้นๆ

"เอาล่ะ แสดงให้ฉันเห็นผู้หญิงที่ไม่ขี้บ่นสิ! อย่าเพิ่งว้าวุ่นใจง่ายๆ เลยเดลล์ ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ชิปสนใจเลย คุณหญิงม่ายน่ะไม่เป็นไรหรอก และเธอก็ทำอาหารเก่งจริงๆ แม้ฉันจะยอมรับว่าเธอพูดมากไปหน่อย"

ชิปหัวเราะอย่างน่ากลัว เจมส์ จี. ก็เลยหยุดพูด

ที่บ้าน: ชายร่างเล็ก หนวดสีเหลืองส้มเดินลงมาที่ประตูเพื่อต้อนรับพวกเขา

"อ้าว! สวัสดี! ไม่รู้เลยว่าใครกำลังมา แต่แมรี่สังเกตเห็นม้า เลยรีบออกมาต้อนรับ เชิญลงมาเลยสิ แล้วเข้ามาข้างใน! พวกเราเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ แต่คิดว่าผู้หญิงเหล่านี้คงจะหาอะไรให้คุณทานได้นิดหน่อย นี่น้องสาวคุณเหรอ? เราได้ยินมาว่าเธออยู่ที่ฟาร์มของคุณ เธอใช่คนที่รักษาขาของม้าตัวหนึ่งของคุณมั้ย? บิล เขาเล่าให้ฟัง ฉันไม่รู้ว่าสัตวแพทย์ม้าผู้หญิงจะมีมากนักหรอก แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากม้าของฉันมีปัญหาที่เท้า ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไร ฉันอยากให้คุณช่วยดูมันสักหน่อยก่อนที่คุณจะจากไป แน่นอน ฉันคาดหวังว่าจะจ่ายเงินให้คุณ"

เดลลามองเจ.จี. อย่างอ้อนวอน ซึ่งเขาก็เข้ามาช่วยเหลืออีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาทำให้ตัวเองได้ยินนานพอที่จะอธิบายถึงธุระของพวกเขา และเน้นย้ำถึงความจริงที่ว่าพวกเขารีบร้อนมาก และได้กินข้าวเย็นมาแล้วก่อนออกเดินทางจากบ้าน ในความคิดเห็นของน้องสาว เขาพูดประโยคที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่นประโยคหนึ่งว่า: เขาต้องการจ้างน้องสาวของมิสซิสเดนสันมาทำงานช่วงฤดูร้อน และมิสซิสเดนสันก็ตะโกนเรียกหาหลุยส์ด้วยเสียงแหลมๆ ของเธอทันที

จากนั้นก็คือการปรากฏตัวของคุณหญิงม่าย ผู้ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ผอมเพรียวแต่ก็พอจะมีกล้ามเนื้ออยู่บ้าง เธอมีผิวสีซีด และมีท่าทีที่ประหม่า

‘เบาะหน้า..ไม่งั้นก็..เดิน!’ เดลลา วิทมอร์ประกาศกับตัวเองในใจหลังจากการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว และเริ่มสะสมคะแนนในการตำหนิเจ.จี. อย่างรุนแรง 

"หลุยส์ นี่คือ มิสวิทมอร์" มิสซิสเดนสันเริ่มต้นอย่างร่าเริง พร้อมด้วยอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดอีกครั้ง "พวกเขามาตามคุณไปดูแลบ้านให้พวกเขา และฉันเดาว่าคุณควรจะไป ดูสิ พวกเราทำความสะอาดบ้านเกือบหมดแล้ว ยกเว้นการทาสีขาวที่ห้องใต้ดินกับห้องเก็บนม และการทาสีน้ำที่ชั้นบน ฉันจะให้บิลทำเรื่องนั้น มันคงไม่ทำให้เขาเจ็บปวดสักนิด - พวกเขาจะให้คุณยี่สิบห้าดอลลาร์ต่อเดือน และดูแลคุณตลอดฤดูร้อน และนานขึ้นอีกตราบใดที่น้องสาวของเขายังอยู่ ฉันเดาว่าคุณอาจจะไป เพราะพวกเขาหาคนอื่นที่ดูแลทุกอย่างให้อยู่ในสภาพดีและเป็นเพื่อนกับน้องสาวของเขาไม่ได้ และฉันเชื่อในการช่วยเหลือเพื่อนบ้านเมื่อทำได้ คุณไปเก็บกระเป๋าของคุณเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะจัดการเอง ตอนนี้การทำความสะอาดบ้านใกล้จะเสร็จแล้ว" 

หลุยส์ก็พูดอยู่เหมือนกันแต่ดูเหมือนว่าพี่สาวของเธอจะมีปอดที่แข็งแรงกว่า และเสียงของเธอก็ลบล้างเสียงของคุณหญิงม่ายที่ถอยกลับไป 'เก็บข้าวของ'

นาฬิกาเดินไปช้าๆ ตามจังหวะของเรื่องราวประวัติศาสตร์ครอบครัวหลายบทที่ได้รับการตีความอย่างมากมายโดยมิสซิสเดนสัน; เดลลา วิทมอร์มักจะอวดเส้นประสาทที่ดีที่สุดมาตลอด แต่ในวันนี้เธอกลับมีอาการ 'กระวนกระวาย' อย่างแท้จริง 

ครั้งหนึ่ง ในขณะที่นางเดนสันหันหลัง และเมื่อเดลลาหันออกไปที่หน้าต่างข้างนอกเธอจึงเห็นใบหน้าของชิปที่หันมามองอย่างสงสัยพอดี เธอก็ส่งสัญญาณเพื่อสื่อถึงสภาพจิตใจของเธออย่างชัดเจนจนชิปถูกดึงเข้าสู่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในทันที เขาจัดเบาะที่นั่งด้านหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเขาได้รับรางวัลเป็นการพยักหน้าและยิ้มอย่างหนักแน่น(แม้มันจะแอบซ่อน) จากนั้นเขาก็เอนหลังอย่างสบายใจ ม้วนบุหรี่และสูบมันอย่างพึงพอใจ สงบทั้งตนเองและโลก ถึงแม้เขาจะไม่รู้เลยว่าทำไม

"และอย่างที่ฉันเคยบอกกับหลุยส์ ผู้คนต้องอดทนกับบางสิ่ง และไม่ควรออกไปหาเรื่องด้วยกระบองตีหัวตลอดเวลา หากพวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับความสะดวกสบายใดๆ ในชีวิตนี้ เท่าที่ฉันเห็นนะ พวกเราไม่ได้โชคดีที่สุด แต่เราก็อยู่กันไปได้ตลอด และเราไม่เคยป่วย ยกเว้น…"

เสียงอึกทึกโวยวายดังขึ้นมาจากห้องด้านบนของพวกเขา ตามมาทันทีด้วยเสียงโครมครามและเสียงกระแทก เมื่อวัตถุสีชมพูขนาดเล็กพุ่งออกมาจากประตูห้องและกลิ้งลงมาอยู่กลางวงของพวกเขาอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นหนึ่งในเด็กๆ ของเดนสันซึ่งเตะด้วยเท้าทั้งสองข้างอย่างอ่อนแรงแล้วนอนนิ่ง

"คุณพระคุณเจ้าช่วย! เอลเลน ใครผลักซารี่ลงบันได พวกเขาฆ่าเธอตายแล้ว!"

เดลลากระโดดลุกขึ้น รีบเอามือลูบไปทั่วศีรษะและลำตัวอวบอ้วนของเด็กน้อย และเมื่อสำรวจเบื้องต้นว่าไม่มีบาดแผลและไม่มีกระดูกแตกหักแน่นอนเธอจึงอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขน

"ช่วยเอาน้ำเย็นมาให้หน่อยค่ะ มิสซิสเดนสัน ฉันคิดว่าเธอแค่สลบไปเท่านั้น" 

"โอ้! คุณช่างคล่องแคล่วเสียจริงๆ ทุกคนเห็นได้ชัดเลยว่าคุณรู้จักหน้าที่ของคุณ ฉันดีใจมากที่คุณอยู่ที่นี่ - นี่ลูก ไม่ร้องนะ - เอลเลน, จัสมิน, ซิบิลลี่ และก็..มาร์กริท พวกเธอลงมาหาแม่สิ!"

สี่สาวน้อยจมูกแดงและไม่เต็มใจ ถูกดึงอย่างน่าอับอายมายังกลางห้อง และสารภาพท่ามกลางน้ำตาและการตำหนิตัวเองมากมายว่าพวกเขามาแอบดู ‘แขก’ ผ่านรูลูกบิดต่างๆ บนพื้นห้อง; แต่เนื่องจากรูลูกบิดของซารี่อยู่ติดกับกำแพงมาก ดังนั้นขอบเขตการมองเห็นของเธอก็ถูกจำกัดอยู่ที่เส้นผมสีเงินยวงบนหัวและท้ายทอยของเจ.จี. ผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ แต่ซารี่ก็ปรารถนาที่จะเห็นหมอผู้หญิงที่รักษาม้า และเมื่อเธอพยายามเบียดเสียดเข้ามาและยึดจุดชมวิวของเอลเลน สงครามแห่งการประหัตประหารก็เกิดขึ้น ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการพ่ายแพ้ของซารี่อย่างแท้จริง

เมื่อถึงเวลาที่ศาลผู้ไต่สวนใต้ชุดผ้ากันเปื้อนนี้ถูกเลื่อนออกไป หลุยส์ก็ปรากฏตัวขึ้นและบอกว่าเธอเชื่อว่าเธอพร้อมแล้ว ซึ่งมิสวิทมอร์ได้หนีออกจากบ้านไปก่อนหน้าคนอื่นๆ ตั้งนานแล้ว - และพลังทางโทรจิตของชิปนั้นยอดเยี่ยมมากจนเขากระโดดลงมาโดยสมัครใจและช่วยเธอขึ้นมานั่งที่เบาะหน้าได้โดยไม่ต้องมีการพูดจาอะไรสักคำ!

หลังจากนั้นก็เป็นสัปดาห์ที่น่าเบื่อหน่ายที่ฟาร์ม มีคุณหญิงม่ายคอยขัดพื้น ปัดฝุ่นและทำความสะอาดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ขณะที่: ‘คุณหมอตัวน้อย’ อย่างที่บรรดาหนุ่มๆ ผู้อาศัยอยู่ที่กระท่อมสำหรับคนงานตั้งฉายาให้ วันนี้เธอไม่อยู่บ้าน เธอไปเข้าร่วมการสอบขอใบรับรองการประกอบวิชาชีพแพทย์ประจำรัฐที่เฮเลนน่า 

"เฮ้อ—" แคลถอนหายใจยาวในวันอาทิตย์ยามบ่าย "มันแปลกประหลาดจริงๆ ที่ไม่มีคุณหมอตัวน้อยอยู่แถวนี้ เธอชอบเถียงกับชายชรา และทำให้พวกเราทุกคนต้องเถียงกันประมาณวันละครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเลน อดัมส์"

"การเหวี่ยงเชือกม้าใส่คุณหมอตัวน้อยมันไม่ได้ผลหรอก" เวียรี่สวนขึ้นมา "เพราะดูจากทุกๆ อย่าง เธอน่าจะมีคนที่เธอคบหาด้วยอยู่แล้ว; มีผู้ชายสักคนทางตะวันออกที่ผูกมัดเธอไว้ด้วยเชือกเส้นยาว"

"นายมีหลักฐานอะไรยืนยันรึเปล่าล่ะ?" แคลเยาะเย้ย "คุณหมอตัวน้อยไม่ได้ทำตัวในแบบที่ฉันอยากให้ผู้หญิงของฉันทำ; สมมติว่าฉันอยู่ห่างจากเธอเป็นพันหรือหนึ่งพันห้าร้อยไมล์ เธอก็ไม่ได้เศร้าโศกอะไรหรอก ฉันกล้าบอกนายได้เลย"

"ถึงแม้เธอจะเขียนจดหมายเยอะมากก็ตามน่ะเหรอ? ฉันรับรองเลยว่าถ้าเราลองเช็คกันดูเดี๋ยวนี้ เราคงจะเห็นว่ามีจดหมายส่งออกไปหาคุณหมอเซซิล แกรนธัมที่กิลเลียนรอย รัฐโอไฮโอ ทุกสัปดาห์แน่"

"จริงนะ" แจ็ค เบสท์เห็นด้วย "ฉันเองก็เพิ่งแพ็คจดหมายส่งไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว"

"ฉันทำได้แย่กว่านั้นอีกนะ" เวียรี่พูดอย่างเหนื่อยล้า "ฉันยิงคำถามใส่เธออย่างตรงไปตรงมาหลังจากที่เธอส่งจดหมายฉบับที่สองให้ฉัน ฉันพูดด้วยความไร้เดียงสาว่า: 'ผมเดาว่า ถ้าผมทำจดหมายนี้หายไป คงจะมีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดขึ้นรถไฟขบวนต่อไป .. หูตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างถือปืนหกกระบอกมาตะโกนเรียกร้องขอคำอธิบายถึงการหายไปของมัน' - แล้วเธอก็ยิ้มแย้ม เผยรอยบุ๋มที่แก้ม และหรี่ตาสีเทากลมโตของเธอ และพูดว่า: 'แล้วแต่คุณจะดูแลมันให้ปลอดภัยสิ' หรืออะไรทำนองนั้น ฉันสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธว่าเจ้าหมอนั่นจะทำเช่นนั้นจริงๆ"

"หมอสองคนในครอบครัวเดียวกัน .. ว้าว!" แคลครุ่นคิด "ถ้าฉันไม่มีผู้หญิงคนเดียวที่คุณพระคุณเจ้าสร้างมาได้โดยสมบูรณ์แบบไว้ให้แล้ว ฉันคงจะลองสู้กับคุณหมอเซซิล แกรนธัมแห่งกิลเลียนรอย รัฐโอไฮโอ เพื่อแย่งชิงเธอดูก็ได้ ฉันจะย้ำกับเขาว่า ผู้ชายคนไหนที่ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ผู้หญิงที่แสนน่ารักและยอดเยี่ยมของเขาหนีออกมาตะลอนๆ และอยู่กับพวกคาวบอยอย่างเราเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ–ทุ่งหญ้า–นั่นเป็นความเสี่ยงต่อหายนะในความสัมพันธุ์อันใหญ่หลวง ผู้ชายคนนั้นคงต้องการการดูแล เขาไม่มีทางเรียนจบหรอก; แจ็คกี้ นายไม่มีผู้หญิงที่ไหนมาดึงหัวใจนายไปมาอยู่แล้วนี่ งั้นโชว์ฝีมือหน่อยสิ ว่านายทำอะไรได้บ้างในเรื่องนี้"

"ไม่เอาหรอก" แจ็ค เบสท์พูดสั้นๆ "หัวใจของฉันทำงานอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคงและเหมาะสม ฉันไม่อยากให้มันเตลิดเพราะผู้หญิงที่ไม่ต้องการฉันแน่ๆ ไม่ว่าจะด้วยราคาเท่าไหร่ ปล่อยให้สลิมลองดูเถอะ คุณหมอตัวน้อยก็ค่อนข้างจะสนิทสนมกับเขานิดหน่อยอยู่แล้ว"

ในขณะที่หนุ่มๆ สนุกสนานกับการโต้เถียงอย่างจริงจังกับสลิม ชิปเก็บแม็กกาซีนของเขาและเดินลงไปเยี่ยมเจ้าซิลเวอร์ในคอกม้า เขาดีใจที่พวกคาวบอยห่ามๆ ไม่ได้พยายามดึงเขาเข้าสู่การล้อเล่น พวกเขาไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นเลยแม้ว่าเขาจะถูกโยนเข้าไปร่วมกิจกรรมต่างๆ กับคุณหมอตัวน้อยมากกว่าคนอื่นๆ ก็ตาม ด้วยเหตุผลดีๆ หลายประการ; ประการแรก เขาฝึกม้าคู่สีครีมให้ชินกับการเทียมเกวียนและมักจะเป็นคนขับเสมอ เพราะเจมส์ จี. คิดว่ามันยากเกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว และประการที่สอง เจ้าซิลเวอร์มักมีการพูดคุยกันบ่อยครั้งเกี่ยวกับความคืบหน้าในการฟื้นตัวของมัน และมีการโต้เถียงกันบ้างเกี่ยวกับวิธีการรักษา - เพราะชิปมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองเกี่ยวกับม้า และไม่ลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นเหล่านั้นออกมาในบางโอกาส 

การที่คุณหมอตัวน้อยเขียนจดหมายถึงผู้ชายทางตะวันออกบ่อยๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา - มันจะเกี่ยวอะไรด้วยกันได้? ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ชายที่ไม่มีบ้านและไม่มีผู้หญิงสักคนที่สนใจเขาก็หนีไม่พ้นที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวในบางครั้ง และเขาสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องสนใจ? แน่นอน การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาสิบปีน่าจะฆ่าความโหยหาบ้านอย่างแฝงเร้นที่มันเคยทำให้เขานอนไม่หลับในยามค่ำคืนได้ แม้กระทั่งในช่วงหลังๆ เวลาที่เขาเฝ้าดูแลวัวในตอนกลางคืนแล้วนึกถึงเรื่องต่างๆ - โอ้ มันช่างเป็นนรกชะมัดที่ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้! 

แคลกับเวียรี่ พวกเขามีผู้หญิงที่รักพวกเขา และพวกเขาก็ยินดีที่จะมีพวกเธอ - แจ็ค เบสท์และแฮปปี้แจ๊คมีพี่สาวและแม่ - แม้กระทั่งสลิมก็ยังมีคุณป้าแก่ๆ ที่ถักเสื้อคลุมและถุงมือสีแดง-เขียวให้เขาเป็นของขวัญคริสต์มาสทุกปี; ชิปลูบกลุ่มขนสีขาวมันวาวของสัตว์เลี้ยงอย่างอัตโนมัติ คิดว่าเขาอาจจะพอใจได้แม้จะมีคุณป้าแก่ๆ สักคนหนึ่ง แต่เขาจะดูแลให้แน่ใจว่าเธอจะถักปลอกแขนเสื้อคลุมของเขาเป็นสีอื่นนอกเหนือจากสีที่มอบให้กับสลิมทุกปี

ส่วนคุณหมอตัวน้อยก็คงแปลกไม่น้อยถ้าเธอจะผ่านชีวิตไปโดยไม่มีใครสักคนแอบรักเธอ อาจจะมีคนอื่นอีกนอกเหนือจาก คุณหมอเซซิล แกรนธัม - อ่า ช่างเป็นชื่อที่น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ! เซซิล! อาจเป็นอดอล์ฟ หรือเรจิ หรือผู้ชายอยากจะตั้งชื่อแบบนั้นเพื่ออะไรกันเหรอ? อาจจะเป็นเพราะเขาน่าจะเป็นผู้ชายประเภทที่ชื่อฟังดูแล้วเป็นหนุ่มเจ้าสำอางที่มีแก้มสีชมพู

ชิปรู้ทันทีว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง ด้วยแรงบันดาลใจฉับพลันที่เข้ามาจู่โจมเขา เขาจึงนั่งลงบนรางหญ้า หยิบสมุดบันทึกออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านใน ลับคมดินสอที่เขาหาเจอจากอีกกระเป๋าอย่างระมัดระวัง ฉีกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากสมุด .. และด้วยซิลเวอร์ที่มองข้ามไหล่ของเขา เขาจึงวาดภาพในอุดมคติของ: คุณหมอเซซิล แกรนธัม


บทที่ 5
ในคอกของซิลเวอร์

"โอ๊ะโอ๋ คุณอยู่ที่นี่เหรอ? น่าแปลกใจที่คุณไม่ได้เอาเตียงของคุณมาไว้ที่นี่ ดังนั้นคุณจึงสามารถนอนใกล้ๆ ซิลเวอร์ได้ มันเป็นยังไงบ้างตั้งแต่ฉันออกไป?"

ชิปเพียงแค่นั่งนิ่งอยู่บนขอบรางหญ้าและจ้องมอง หมวกสีเทาของเขาถูกผลักไปด้านหลังบนศีรษะ และผมสีเข้มของเขาสยายและเป็นคลื่นและม้วนงอบนหน้าผาก คล้ายกับผมของผู้หญิงที่อาจจะเป็นได้ เขาไม่เคยรู้ตัวเองว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างและหน้าตาหล่อเหลาดูดีมากจริงๆ แต่บางทีคุณหมอตัวน้อยอาจจะรู้ เธอยิ้มและเดินเข้ามาตรวจขาของซิลเวอร์ ซึ่งลืมไปแล้วว่ามันเคยคัดค้านการอยู่ใกล้ๆ ของเธอ มันร้องทักทายเบาๆ และเอาจมูกวางไว้บนไหล่ของเธอ 

"คุณวาดรูปอยู่นี่เองเหรอ คราวนี้ใครเป็นเหยื่อของดินสอจอมเสียดสีของคุณกันน่ะ?" คุณหมอตัวน้อยยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ยึดภาพร่างนั้นมาได้อย่างสงบ นิ่งๆ ก่อนที่ชิปจะมีเวลาดึงมันกลับคืนมาถึงแม้ว่าเขาจะสนใจที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม แต่เขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการสงสัยว่าคุณหมอตัวน้อยมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไรในเวลานั้น และลืมรูปภาพไปเสียสนิท ซึ่งเขาเองยังวาดภาพไม่เสร็จพอที่จะเขียนชื่อกำกับไว้ 

"คุณหมอเซซิล" มิสวิทมอร์หน้าแดงขึ้นในตอนแรก จากนั้นก็หัวเราะออกมา "โอ๊ะ-ฮะ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ซิลเวอร์ แกไม่รู้หรอกว่าเจ้านายของแกคนนี้จะตลกขนาดไหน! ฮะ! ฮ่า! ฮ่า!" เธอเงยหน้าขึ้นจากคอของซิลเวอร์ที่วางพักอยู่และเช็ดตาของเธอ 

"คุณรู้เรื่องเซซิลได้ยังไง?" เธอเรียกร้องคำตอบจากชายหนุ่มที่ดูอึดอัดอย่างมากบนรางหญ้า

"ผมไม่รู้ .. และผมก็ไม่อยากรู้ด้วย ผมได้ยินพวกผู้ชายคุยกันและแซวเขาเล่นๆ ผมก็แค่ร่างภาพ ตามข้อสรุปของพวกเขาเอง" ชิปยิ้มเล็กน้อยแล้วเหน็บดินสอเหลาปลายของเขา และสงสัยว่าคำพูดนั้นมีการโกหกมากน้อยแค่ไหน

มิสวิทมอร์หน้าแดงอีกครั้ง และจบลงด้วยการหัวเราะอย่างเต็มที่มากกว่าตอนแรก

"ข้อสรุปของพวกเขาไม่ค่อยน่ายกย่องมากนัก" เธอพูด "ฉันไม่เชื่อว่า คุณหมอเซซิล จะรู้สึกปลื้มใจกับเรื่องนี้ ทำไมขาของเขาถึงโก่งแบบนั้นล่ะ ฉันขอถาม แล้วเหตุใดจึงมีหน้ายาว เพรียว และดูเหมือนคนไร้สารอาหารขนาดนั้นด้วย? ฉันขอแจ้งให้คุณทราบว่า คุณหมอเซซิล มีระบบย่อยอาหารที่ไม่หวั่นไหวกับนกกระทาที่กินปูปีศาจ และกินอาหารเผ็ดร้อนในตอนกลางดึกได้ เพราะฉันมีเหตุผลมากมายที่จะรู้ ฉันเคยเห็น คุณหมอเซซิล เตรียมกระต่ายเวลส์และกินมันด้วย เห็นได้ชัดมากว่ามีความเอร็ดอร่อยเพลิดเพลิน โอ้ ไม่ ข้อสรุปของพวกเขาค่อนข้างไม่ถูกต้อง มีรายละเอียดอื่นๆ ที่ฉันอาจจะพูดถึง เช่น ไม้เท้า แต่ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ ฉันคิดว่าฉันจะเก็บอันนี้ไว้เป็นเพื่อนกับ 'บัตรประจำตัวของสาวแก่'

"คุณมีนิสัยชอบรักษาทรัพย์สินของคนอื่นไว้เหรอ?" ชิปถามด้วยความขมขื่น

"ไม่มีอะไรนอกจากภาพล้อเลียนส่วนตัว และบางทีอาจจะเป็น..หัวใจ" คุณหมอตัวน้อยตอบอย่างอ่อนหวาน

"ผมไม่คิดว่าคอลเลกชั่นสุดท้ายที่มีชื่อแบบนั้นของคุณจะมีขนาดใหญ่มากนักหรอกนะ" ชิปโต้กลับ

"วันนี้ฉันยังเพิ่มเข้าไปในคอลเลกชั่นนี้ด้วย" มิสวิทมอร์พูดต่ออย่างใจเย็น "ฉันมากับรถไฟ และแบ่งเบาะนั่งกับหุ้นส่วนเงียบ(ที่เดลลาไม่คิดว่าเขาจะเงียบ)ของเจ.จี. คุณดันแคน วิทเทเกอร์ เขาจ้างทีมรถม้าในดรายเลคแล้วเราก็ออกจากเมืองเพื่อมาที่นี่ด้วยกัน และฉันเชื่อว่าฉันมีคำขอ: กรุณาอย่าพูดถึง คุณหมอเซซิล แกรนธัมให้เขาฟังจะได้ไหม?"

"งั้น ดั๊งค์เฒ่าก็กลับมาแล้วเหรอ?" ชิปปรารถนาอย่างรุนแรงว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ลักยิ้มเหล่านั้นจมบุ๋มอยู่บนแก้มของเธอ และเสียงหัวเราะก็หลบเข้าไปในดวงตาที่เป็นประกายของเธอแบบนั้น มันทำให้ผู้ชายคนหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกโกรธเธออย่างมาก หรืออาจจะเป็นเช่นนั้น ถ้าเธอยอมหยุดมองเขาแบบนั้นเสียที เขากำลังอยู่ในสภาวะของจิตใจที่ดูเหมือนว่าทางรอดทางเดียวของเขาก็คือการทะเลาะกับใครสักคนทันที "ถ้าหากคุณมีหัวใจของเขา คุณคงต้องตามล่ามันด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพราะมันมีขนาดเล็กกระจิ๋วหลิวมาก เกือบจะเล็กกระจิ๋วหลิวเท่ากับจิตวิญญาณของเขา ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีหัวใจ คุณคงจะต้องเอามันไปฝังไว้ในแหวนสักวง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ทำมันสูญหาย"

"ฉันไม่สวมเครื่องประดับปลอมหรอกนะ ขอบคุณ" มิสวิทมอร์พูด และชิปก็คิดว่าลักยิ้มก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

คุณหมอตัวน้อยกำลังถักขนคอสีขาวของซิลเวอร์ไว้รอบนิ้วมือสีขาวของเธอและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ชิปสงสัยว่าเธอกำลังคิดถึง คุณหมอเซซิล แกรนธัมอยู่หรือเปล่า

"คุณไปเรียนวาดรูปแบบนั้นมาจากไหน?" เธอหันมาหาเขาอย่างกะทันหันและถามทันที "คุณทำได้ดีกว่าฉันมากและฉันก็เรียนรู้จากครูที่ดีมาโดยตลอด คุณเคยลองวาดภาพสีบ้างไหม?"

ชิปหน้าแดงและละสายตาจากเธอไป: สิ่งนี้กำลังเข้าใกล้ตัวตนภายในที่ซ่อนเร้นอย่างลึกซึ้งของเขามาก 

"ผมไม่รู้หรอกว่าผมเรียนมาจากไหน ผมไม่เคยได้รับบทเรียนในชีวิตเลย ยกเว้นจากการสังเกตผู้คน ม้า และท้องทุ่ง และการจดจำเส้นสายที่พวกมันสร้างขึ้นไว้ คุณรู้ไหม ผมมักจะวาดรูปมาตลอดตั้งแต่จำความได้ แต่ผมไม่ค่อยได้ลองใช้สีมากนัก ผมไม่เคยมีโอกาส เพราะต้องทำงานอยู่ในค่ายวัวและฟาร์มปศุสัตว์ตลอดเวลาเลย" 

"ฉันอยากให้คุณลองดูภาพร่างและสิ่งของบางอย่างของฉัน และฉันก็มีทั้งสีและผืนผ้าใบ หากคุณสนใจจะลองทำแบบนั้น สักวันหนึ่งตอนเย็นๆ คุณลองขึ้นมาที่บ้านฉันสิ แล้วฉันจะให้คุณดูสีที่ฉันได้ป้ายๆ ไว้ ภาพพวกนั้นมันไม่มีอันไหนดีเท่ากับ 'บัตรประจำตัวของสาวแก่' หรอก"

"ผมหวังว่าคุณจะฉีกสิ่งนั้นทิ้งไปซะ!" ชิปพูดอย่างฉุนเฉียว 

"ทำไมล่ะ? มันเหมือนจริงอย่างสมบูรณ์แบบเลยนะ เหมือนกับว่าคุณเป็นดีไซเนอร์ให้กับนิตยสารแฟชั่น ด้วยวิธีที่คุณวาดรอยพับที่แขนเสื้อและเปียที่ถักบนปกเสื้อของฉัน .. และคุณก็น่าจะกรุณาบอกฉันสักหน่อยนะว่าหมวกของฉันเอียงอยู่ ฉันคิดว่า!"

มีเสียงกรอบแกรบในฟางที่หลุดร่วน เสียงกระแทกประตูคอกม้าดังปังไกลๆ, ชิปนั่งอยู่ตามลำพังกับม้าของเขา, เหลาปลายดินสออย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งใบมีดของเขาเสียดสีกับโลหะที่ยึดยางลบกับดินสอ


บทที่ 6
เสียงฮึมฮัมกับการเตรียมงาน

 

คุณหมอตัวน้อยวิ่งลงไปที่ร้านตีเหล็ก โบกกระดาษที่ดูเป็นทางการไว้ในมือ

"ฉันได้มันมาแล้วเจ.จี. !"

"ได้อะไร - ไข้ทรพิษเหรอ?" เจ.จี. วิทมอร์ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากเหล็กที่เขากำลังเชื่อม

"ไม่ใช่ ใบรับรองของฉันต่างหาก ตอนนี้ฉันเป็นหมอจริงๆ แล้วนะ และพี่ก็ไม่ต้องหัวเราะหรอก พี่บอกว่าพี่จะจัดงานเต้นรำถ้าฉันสอบผ่าน และฉันก็สอบผ่าน แฮปปี้แจ็คเพิ่งเอามาให้เมื่อกี้"

"เอางานเต้นรำมาให้เหรอ?" เจ.จี. ดึงเครื่องสูบลมจนเกิดประกายไฟพุ่งไปหาคุณหมอตัวจริง

"นำเอาใบอนุญาตมาให้ต่างหาก" เธออธิบายอย่างอดทน "พี่ดูเองสิ พวกเขาน่ารักกับฉันมาก - พวกเขาเหมือนจะคิดว่าหมอผู้หญิงเป็นเรื่องตลกอะไรบางอย่างที่นอกเมืองนี้ ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้มันง่ายขึ้นเลย พวกเขาทำเหมือนไม่ได้คาดหวังให้ฉันผ่าน—แต่ฉันก็ผ่านมันได้!"

เจมส์ จี. ลูบมือเปื้อนๆ ข้างหนึ่งไปที่ขากางเกงของเขาแล้วยื่นออกไปเพื่อรับเอกสารล้ำค่า 

"ให้ฉันดูหน่อยสิ" เขาพูด พยายามซ่อนความภาคภูมิใจในตัวเธอ

"ได้สิ แต่ฉันจะถือมันไว้เอง มือของพี่เต็มไปด้วยเขม่าดำปี๋" ดร. วิทมอร์มองมือของพี่ชายอย่างไม่เห็นด้วย

เจมส์ จี. อ่านมันอย่างช้าๆ และภาคภูมิใจมากขึ้นทุกบรรทัด

"ได้เลย เดลล์ - ฉันจะระคายเคืองถ้าแกไม่เก่ง แกไม่ต้องกังวลเรื่องงานเต้นรำ - ฉันจะดูแลให้ แกไปบอกคุณหญิงม่ายให้อบเค้กและขนมเยอะๆ แล้วฉันจะส่งหนุ่มๆ บางคนไปรอบๆ เพื่อบอกเพื่อนบ้าน คืนวันศุกร์น่าจะดีกว่านะ - ฉันจะเริ่มต้อนสัตว์ออกไปตั้งแต่ต้นสัปดาห์หน้า บ้าจริง! ฉันทำการเชื่อมพังไปแล้ว! พอที อย่ามายุ่งกับฉันอีก!"

สองนาทีต่อมา คุณหมอตัวน้อยก็กลับมา: หายใจหอบแฮก

"แล้วเรื่องดนตรีล่ะเจ.จี.? เราอยากได้ดนตรีเพราะๆ"

"เอาไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องนั้นเอง เฮ้ย! แกสามารถตกแต่งห้องนั้นออกจากห้องอาหารเป็นห้องทำงานของแกได้ - ฉันเดาว่าแกคงต้องมีห้องทำงาน แกลองทำรายการยาที่แกต้องการ - และแน่ใจว่าแกต้องมีพวกมันเยอะๆ หน่อยนะ ฉันมองเห็นหน้าร้อนที่ไม่สบายในหมู่คาวบอย อ่อ ถ้าฉันวินิจฉัยอาการได้ไม่ผิด ดั๊งค์คงมีอาการหัวใจเต้นรัวช่วงเวลานี้ และเป็นจริงเป็นจังด้วย!"

เจ.จี. หัวเราะกับตัวเองและหันกลับไปที่งานเชื่อมเหล็กของเขาต่อ

"โอ๊ะ หลุยส์!" คุณหมอตัวน้อยรีบไปหาคุณหญิงม่ายที่กำลังขัดขั้นบันไดครัวด้วยสบู่เหลว ทราย และพลังงานมหาศาล "เจ.จี. บอกว่าฉันอาจจะมีงานเต้นรำในคืนวันศุกร์หน้า ดังนั้นเราต้องรีบเร่งและปรับปรุงบ้าน - แต่ฉันไม่เห็นว่าต้องปรับปรุงอะไรมาก ทุกอย่างสะอาดมาก"

"โอ๊ย! ไม่มีห้องไหนในบ้านนี้ที่สะอาดพอให้กลุ่มคนเข้ามาเดินได้หรอก" คุณหญิงม่ายบ่นขณะที่เธอกำลังขัดพื้น "ฉันชอบที่จะเห็นบ้านสะอาดเมื่อมีคนมาเยี่ยม โดยคาดหวังว่าพวกเขาจะมาวิจารณ์และไม่พูดคุยกันลับหลังทันทีที่พวกเขาจากไป ถ้าผู้คนมีอะไรจะพูด ฉันค่อนข้างจะชอบให้พวกเขาพูดออกมาต่อหน้าฉันและพูดให้มันจบไป ดังที่ผู้คนกล่าวไว้ว่า; 'คุณอาจจะรู้จักหน้าตาของมนุษย์คนหนึ่งได้ แต่คุณไม่สามารถรู้หัวใจของเขา และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับผู้หญิง’ อย่างไรก็ตาม มันเป็นแบบเดียวกับนางเบ็คแมนเลยแหละ คุณอาจจะจดจำใบหน้าของเธอได้จากระยะไกลเป็นไมล์ แต่คุณไม่รู้หรอกว่าเธอจะเอาใครไปตำหนิเป็นคนต่อไป ดังที่ผู้คนกล่าวไว้ว่า: ‘ลิ้นของผู้หญิง สุดท้ายมันก็กัดเหมือนงู และเจ็บปวดเหมือนถูกพิษ’ และฉันเดาว่ามันเป็นเช่นนั้น ยังไงก็ตาม ลิ้นของนางเบ็คแมนก็เป็นเช่นนั้น ฉันเชื่อในวิญญาณของฉัน - เกิดอะไรขึ้นเหรอ เดลล์ คุณหัวเราะอะไรน่ะ?"

คุณหมอตัวน้อยพูดไม่ออกชั่วขณะนั้น และคุณหญิงม่ายก็ลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย มันไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อนว่าเธอจะเป็นต้นเหตุของอาการกระตุกเกร็งนั้นได้

"เอ่อ—เค้า—ช่างมันเถอะ เค้าไปแล้วล่ะ"

"ใครไปแล้ว?" คุณหญิงม่ายยืนกราน

"คุณคิดว่าเราควรจะมีเค้กแบบไหนดี?" คุณหมอตัวน้อยถามอย่างมีชั้นเชิง 

คุณหญิงม่ายทิ้งตัวลงบนเข่าและจุ่มสบู่สีเหลืองอำพันคล้ายเยลลี่จากเนยกระป๋องดีบุก

"ฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันเดาว่าผู้คนจะมองหาอะไรที่ดูแฟนซี เพราะเห็นว่าคุณกำลังจัดงานเต้นรำ นางเบ็คแมนตั้งตัวเองเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมเรื่องเค้ก และเธอจะมาเพื่อวิจารณ์และหาข้อผิดพลาดเท่านั้น ถ้าฉันไม่สามารถอบเค้กให้ดีที่สุดในวันดีที่สุดของเธอ ฉันจะเลิกทำอาหารทุกอย่าง ยกเว้นมันฝรั่งบด; เธอมีเยลลี่โรลที่เปียกแฉะที่สุดจนทำให้แมรี่ประหลาดใจเมื่อฤดูหนาวที่แล้ว ฉันรู้ว่ามันเป็นของเธอ ฉันเห็นเธอเอามันเข้ามา และฉันก็ไปแก้ไขมันทันที ฉันเดาว่ามันคงใจร้ายไปหน่อยนะ แต่ฉันไม่สน—อย่างที่ผู้คนกล่าวไว้ว่า: 'สิ่งที่ดีสำหรับห่านก็ดีสำหรับคนอื่นด้วยเช่นกัน' - และเธอก็คงจะทำแบบเดียวกันกับฉันในงานเซอร์ไพรส์ที่อดัมเซสเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว แต่เธอหาข้อบกพร่องของเค้กของฉันไม่ได้; และของเธอ—คุณสามารถถือมันในมือซ้ายแล้วตีควายล้มตายได้เลย! ถ้าแค่นั้นมันเป็นเค้กที่ดีที่สุดที่เธอทำได้ ฉันแนะนำให้เธอเก็บชุดต่อไปไว้กินเองที่บ้าน ที่ที่พวกมันคุ้นเคย ดังที่ผู้คนกล่าวไว้ว่า: 'สิ่งที่เป็นอาหารของคนหนึ่งอาจเป็นยาพิษสำหรับอีกคน' และฉันเดาว่ามันเพียงพอแล้ว บางที สมาชิก–เอ่อ–พวกเด็กๆ ของเบ็คแมนสามารถกินวัวดิบทั้งฝูงได้โดยไม่ต้องกินยาลดกรดในกระเพาะเป็นคันรถบรรทุกเพื่อที่ท้องจะไม่ต้องเจ็บป่วย แต่ฉันไม่อยากลองกินเองหรอก"

คุณหมอตัวน้อยหัวเราะครืดดดดด: (นี่เป็นโรคที่มหาวิทยาลัยทางการแพทย์ไม่ได้กล่าวถึง)

"เราจะวางโต๊ะตรงไหนดีล่ะ ถ้าเราจะเต้นรำในห้องอาหาร?" เธอถามหลังจากได้ยินเรื่องของชาวเบ็คแมนมากพอแล้วสำหรับตอนนี้

"ทำไมล่ะ? เราไม่จำเป็นต้องตั้งโต๊ะเลย ผู้คนมักจะทานอาหารบนตักเสมอในงานเต้นรำในไร่: ในงานปาร์ตี้เซอร์ไพรส์ของแมรี่—"

"อาหารบนตักคืออะไร?"

"เอาล่ะ ขอให้ดวงดาวของฉันยังกะพริบ! คุณถูกเลี้ยงดูมาภายใต้แสงตะวันอันเจิดจ้าที่ไหนกันน่ะ ถ้าคุณไม่เคยได้ยินเรื่องอาหารว่างบนตัก? อาหารว่างบนตักคือที่ที่คนนั่งรอบๆ กำแพง—หรือที่ใดก็ตามที่พวกเขาหาได้—และวางจานบนตักของพวกเขา แล้วคุณก็ส่งของให้พวกเขา เช่น แซนด์วิช—"

"คุณทำขนมปังได้สวยงามจริงๆ!" คุณหมอตัวน้อยพูดขัดจังหวะด้วยความจริงใจมาก

"เอาล่ะ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยโชคดีเท่าไหร่ แต่ฉันเดาว่ามันคงอร่อยกว่า ดีกว่า หลังจากเจอกับขนมปังที่คุณกินในตอนที่ฉันมาถึงที่นี่วันแรก: ‘แฉะ’ ไม่ใช่ชื่อที่เหมาะสำหรับ—"

"แพทซี่ทำขนมปังอันนั้น" มิสวิตมอร์แทรกแซงอย่างเร่งรีบ "เขาโชคร้าย และ—"

"ฉันเดาว่าเขาโชคไม่ดีจริงๆ!" คุณหญิงม่ายสะอื้นด้วยความดูถูก "อย่างที่ฉันบอกแมรี่ตอนที่มา—"

"ฉันสงสัยว่าเราจะต้องใช้เค้กกี่ก้อน?" (คุณจะสังเกตเห็นว่าคุณหมอตัวน้อยเรียนรู้ที่จะแทรกบทสนทนาเมื่อเธอมีอะไรจะพูด: มันเป็นวิธีเดียวที่จะดำเนินการกับใครก็ตามที่มาจากหุบเขาเดนสัน)

คุณหญิงม่ายขัดพื้นจนเสร็จแล้วลุกขึ้นอย่างตะกุกตะกัก และได้คว่ำกระป๋องสบู่ที่กลิ้งอย่างร่าเริงไปตามขั้นบันไดจนเหลือรอยสีเหลืองไว้ตามทาง

"เอาล่ะ นั่น ถ้ามันไม่ใช่กลอุบายอันชาญฉลาดของฉันแล้วล่ะก็ ดังที่ผู้คนกล่าวไว้: ‘ยิ่งคุณรีบมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งช้าลงมากเท่านั้น!’ นั่นเป็นตัวอย่าง; เราควรมีเค้กห้าชนิด และประมาณสี่ก้อน–เอ่อ–ต่อชนิด มันจะไม่ดีเลยถ้ามันมีไม่เพียงพอต่อแขกที่มาในงาน ไม่งั้นนางเบ็คแมนจะไม่ยอมให้ใครได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย; ที่บ้านของแมรี่—"

"เค้กยี่สิบชิ้น! คุณพระคุณเจ้า! ฉันต้องสั่งยามาตุน เพราะฉันคงจะมีคนไข้เต็มบ้านแน่ถ้าแขกกินเค้กยี่สิบชิ้น"

"เอาล่ะ ดังสุภาษิตที่ว่า: 'ความอดทนและความเพียรพยายามสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้เกือบทั้งหมด" คุณหญิงม่ายตั้งข้อสังเกตอย่างไร้เดียงสา

คุณหมอตัวน้อยหลบอยู่ข้างหลังผ้าเช็ดหน้าของเธอ;

"ขอให้ดวงดาวของฉันยังกะพริบ! ฉันเชื่อว่าขนมปังของฉันเริ่มจะไหม้แล้ว!" คุณหญิงม่ายตะโกนแล้ววิ่งไปดู คุณหมอตัวน้อยตามเธอเข้าไปข้างในแล้วนั่งลง

"เดลล์! เฮ้ย เดลล์! " เสียงของเจมส์ จี. ดังออกมาจากห้องนั่งเล่น

"ฉันอยู่ในครัว! " เธอตอบกลับ โดยยังคงอยู่ที่เดิม เขาเหยียบย่ำเสียงหนักๆ ผ่านบ้านมาหาเธอ

"ฉันจะส่งรถม้ามาพรุ่งนี้ ถ้ามีอะไรที่แกต้องการ" เขากล่าว "และถ้าแกจะทำรายการยาออกมา ฉันจะส่งคำสั่งไปที่ฟอลส์; นอกจากนี้ เรามีเลื่อยและสิ่วที่ว่างเว้นจากการใช้งานมากมายในโรงตีเหล็ก แกสามารถเลือกได้เลยว่าแกต้องการอะไร" เขาหลบหลีกและยิ้ม "มีเค้กบ้างไหมคุณหญิงม่าย?"

"เอาล่ะ แทบจะไม่มีอะไรปรุงสุกหรอก ฉันจะไม่อบอะไรหลังอาหารเย็นทันที นี่คือสปันจ์เค้ก–แต่มันไม่ค่อยเหมาะที่จะกินเลย ฉันให้เดลล์ดูในเตาอบ เพราะมือของฉันเต็มไปด้วยแป้ง และเธอก็ปิดประตูตู้อบแรงไปหน่อยมันเลยหล่นลงมา แต่คุณไม่สามารถคาดหวังได้ว่าคนๆ หนึ่งจะรู้ทุกอย่าง: ‘และเมื่อมีมือมากเกินไปก็ไม่สามารถทำสตูว์ที่อร่อยได้’ อย่างที่ว่ากัน และมันก็เหมือนกับเค้กนั่นแหละ"

นายใหญ่ขยิบตาให้คุณหมอตัวน้อยข้ามผ่านชิ้นเค้กแสนอร่อยด้วยความดีใจอันแสนสุข "ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติกับอันนี้เลย - นอกจากว่ามันหมดลงง่ายเกินไป" เขายืนยันกับคุณหญิงม่ายระหว่างการกัดเค้กคำโตๆ "จัดทำรายการของแกซะ เดลล์ และอย่ากังวลที่จะสั่งทุกสิ่งที่แกต้องการ ฉันจะออกเงินให้—"

เจ.จี. ผู้ที่คิดว่าจะกลับไปทำงาน และเหยียบเข้าไปในแอ่งน้ำสบู่เหลว ล้มลงนั่งจ้ำเบ้าบนขั้นบันไดอย่างแรง ก่อนจะไถลลงอย่างรวดเร็วไปจนถึงด้านล่าง รองเท้าแตะข้างหนึ่งกระเด็นผ่านประตูที่เปิดไว้ไปตกอยู่ในกะละมังล้างจาน อีกข้างหายไปอย่างลึกลับ ส่วนเค้กชิ้นนั้นถูกแม่ไก่สาวยอดนักสืบตะปบแย่งไปในทันที และคาบด้วยความภาคภูมิใจวิ่งรี่ไปให้ลูกๆ ของมัน

"คุณพระคุณเจ้า!" เจ.จี. ดิ้นรนจนเท้าของเขาเจ็บปวด "เดลล์ ใครวะเอาของพวกนั้นไปไว้ตรงนั้น! ดูเหมือนแกจะกระตือรือร้นเกินไปที่จะกังวลนิดหน่อยว่าจะมีใครมาฝึกฝนกับแกด้วยใช่หรือเปล่า และดูเหมือนว่ามันจะเป็นฉันใช่มั้ย?" เลือดสีสดหยดเล็กๆ ไหลเป็นทางที่ศีรษะสีเงินยวงของเขา

"พี่เจ็บหรือเปล่า เจ.จี.? เรา-เอ่อ-ฉันทำสบู่หก" คุณหมอตัวน้อยมองดูด้วยความห่วงใยจากประตู 

"ฮึ! ฉันเห็นว่าแกทำสบู่หก เอาล่ะ พอแล้ว ฉันยินดีที่จะเชื่อว่าแกทำโดยไม่ต้องมีคำสาบานเป็นลายลักษณ์อักษร ยอมรับเถอะว่าหนุ่มโสดไม่มีทางมีกับดักแบบนี้อยู่ในบ้านตัวเองหรอกนะ ฉันอาศัยอยู่ที่มอนทาน่ามาตั้งสิบสี่ปีแล้ว และฉันไม่เคยพลาดลื่นล้มที่หน้าประตูบ้านตัวเองเลยจนกระทั่งแกมาถึงที่นี่ ผู้หญิงนี่แหละที่ชอบวางของระเกะระกะ - เค้กของฉันอยู่ไหนฟะ?"

"ยายเฒ่าสปีชี่คาบไปไว้แถวกระท่อมที่พักคนงาน ฉันจะไปตามให้เอามั้ย?"

"ไม่ แกไม่จำเป็นต้องไปเลย น่ารำคาญชะมัด! การเดินลุยบ่อโคลนสบู่ลื่นๆ นี่มันต้องหยุดเสียที สังเกตมั้ย ตอนอยู่คนเดียว ฉันไม่เคยต้องทำแบบนี้เลย" เขาพยายามขูดสบู่ที่เปื้อนกางเกงออกด้วยเศษไม้ชิ้นโต

"ก็แน่สิ ผู้ชายโสดเขาไม่ใช้สบู่กันอยู่แล้ว" เดลลาโต้กลับ

"อ๋อ พวกเขาไม่ใช้สบู่เหรอ? นั่นคือทั้งหมดที่แกรู้เกี่ยวกับมันสินะ! พวกเขาไม่ใช้สบู่ลื่นๆ แย่ๆ แบบนี้หรอกนะ บอกให้รู้ไว้ซะเลย แกต้องการอะไรล่ะ เจ้าชิปเหรอ? โอ๊ะ แกต้องยิ้มด้วยเหรอ! เดลล์ ทำไมไม่ทำอะไรให้หัวฉันหน่อยล่ะ? ใบอนุญาตของแกมีประโยชน์อะไรฟะ ฉันอยากจะรู้? นายไม่เห็นใบรับรองของเดลล์เหรอเจ้าชิป? ไปหยิบมันมาโชว์ให้เขาดูสิ เดลล์ มันใช้ได้กับทุกอย่าง ยกเว้นการแต่งงาน—มันไม่มีทางรักษาโรคนี้ได้หรอก"


บทที่ 7
ความรักและที่ปั๊มกระเพาะ

        

กระแสไฟฟ้าแห่งความคาดหวังแผ่ซ่านไปทั่วบรรยากาศของฟาร์มฟลายอิ้งยู สองนักดนตรีซึ่งเป็นชายหนุ่มที่เก่งกาจ และมีประสิทธิภาพอย่างปฏิเสธไม่ได้จากเกรตฟอลส์ มาถึงแล้วเมื่อสองชั่วโมงก่อน และได้รับการต้อนรับอย่างสุภาพจากคุณหมอตัวน้อยที่บ้าน ขนมปังวางรออยู่ กาแฟพร้อมสำหรับน้ำเดือด และพื้นห้องอาหารเรียบลื่นราวกับขัดด้วยขี้ผึ้ง

ชิปรู้สึกหดหู่อย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ เขายังขู่ว่าจะอยู่แต่ในบ้านพักสองชั้นและบอกว่าเขาไม่รู้สึกอยากเต้นรำอะไรเลย แต่เขาก็ถูกโน้มน้าวด้วยจำนวนคนที่เหนือกว่า อย่างไรก็ตาม เขาเกลียดดิ๊ก บราวน์ เพราะหนวดสีเหลืองน่ารักของเขาที่ขดปลายเหมือนหางของเป็ด เจ้าหมอนั่นโดนเขาเมินใส่ตลอดทางออกจากเมืองและจัดการกับกีตาร์ของดิ๊กด้วยความประมาทที่ก่อให้เกิดหายนะ และวิธีที่ดิ๊กยิ้มเมื่อชายชราแนะนำให้เขารู้จักกับคุณหมอตัวน้อย ซึ่งหญิงสาวที่มีเพื่อนอยู่ทางตะวันออกก็ไม่ควรปล่อยให้ดวงตาของเธอยิ้มแบบนั้นกับเพื่อนตัวเล็กหัวเข็มหมุดอย่างดิ๊ก บราวน์อยู่ดี และเขา ชิป ได้มอบจดหมายประทับตราไปรษณีย์ให้เธออย่างโจ่งแจ้ง: ‘กิลรอย โอไฮโอ 22.30 น.’ แต่เธอก็ยุ่งอยู่กับนักดนตรีที่น่ารำคาญเหล่านั้นจนไม่ได้ขอบคุณเขาด้วยซ้ำ เธอเพียงแค่เหลือบมองจดหมายก่อนที่จะยัดมันไว้ในเข็มขัดของเธอ - บางทีเธออาจจะไม่อ่านมันจนกระทั่งหลังการเต้นรำ และเขาก็แอบสงสัยว่า คุณหมอเซซิล แกรนธัมจะใส่ใจไหม - โอ้ ให้ตายเถอะ แน่นอนว่าเขาใส่ใจสิ! นั่นคือ ถ้าเขามีความรู้สึกบ้างน่ะนะ แต่คุณหมอตัวน้อยเธอไม่ได้เจ้าชู้หรอก เขาสังเกตเห็นตลอดแหละ แต่ถ้าเขาตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งพระเจ้าห้าม เขาจะดูแลเธอเป็นอย่างดีจนไม่มีเวลาสร้างลักยิ้มและยิ้มให้กับผู้ชายคนอื่นที่เพียงแค่มองดูพวกมันก็เหมือนการได้ขึ้นสวรรค์

ที่นั่น นั่นคือเธอ หัวเราะเหมือนเช่นที่เธอหัวเราะอยู่เสมอ, มันทำให้เขานึกถึงต้นสนที่พยักหน้าในหุบเขา, ดูฉลาดและกระซิบสิ่งที่พวกเขาเคยเห็นและได้ยินก่อนที่คุณจะเกิด และยังมีเสียงของน้ำตกที่ตกลงบนก้อนหินด้วย บางทีมันก็แปลก, แต่มันเป็นอย่างนั้น, เขาสงสัยว่าดิ๊ก บราวน์พยายามพูดอะไรตลกๆ หรือเปล่า ตลอดชีวิตของเขา เขาไม่เข้าใจเลยว่าคุณหมอตัวน้อยจะหัวเราะกับเจ้าตุ๊กตาเลียนแบบคนตัวเล็กนั่นได้ยังไง ผู้หญิงน่ะ พวกเธอถูกทำให้พอใจได้ง่าย ส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น 

ในบ้านสองชั้น พวกหนุ่มๆ รีบเข้าไปใน ‘เสื้อคลุมสงคราม’ ของพวกเขา - ซึ่งแปลว่า: เสื้อผ้าที่ดีที่สุดของพวกเขา มีการแย่งชิงกันอย่างกระวนกระวายใจเหนือชิ้นส่วนกระจกที่แตกร้าว ซึ่งมีประวัติ-และเสียงตะโกนของคำว่า: "ออกไป!" , "ให้ฉันอยู่ตรงนั้นสักนาที ไม่ได้เหรอ?" และ "ลุกออกจากเสื้อโค้ตของฉัน!" เกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างน่าเจ็บปวด

แจ็คผู้สุขสันต์ต่อสู้กับเน็กไทสีแดงที่ดื้อดึงอย่างมืดบอด ซึ่งหน้าของเขาก็แข่งขันกับสีสันและความมันวาว เพราะเขาใช้สบู่มากเกินไป

เวียรี่ยึดครองกระจกไว้และกำลังโกนหนวดอย่างสบายใจราวกับว่านักชกวัวที่หงุดหงิดสี่คนไม่ได้รอให้ถึงคราวของพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ

"เพื่อเห็นแก่คุณพระคุณเจ้า เวียรี่!" แจ็ค เบทส์พูดเหมือนคนกำลังสำลัก "หนวดของนายยาวเร็วกว่าที่นายจะโกนมันออกได้ด้วยความเร็วที่เชื่องช้าขนาดนั้นนะ รีบหน่อยไม่ได้เหรอ?"

เวียรี่หันใบหน้าที่เปียกฟองสบู่มาหาแจ็คอย่างอ่อนหวาน "รีบเหรอ แจ็คกี้? แม่สาวของนายจะไม่อยู่ที่นั่นนะ และไม่มีสาวๆ ของคนอื่นที่จะมีเวลาดูว่านายโกนหนวดวันนี้หรือคริสต์มาสปีที่แล้ว นายคงไม่อยากกังวลเรื่องหน้าตามากนักหรอก ฉันเกลียดที่จะพูด แต่นายกลับทำตัวไร้สาระนะเด็กๆ ทุกคน และอย่างซื่อตรงเลย ฉันอายมาก ดูหน้าฉูดฉาดของเจ้าแฮปปี้สิ และเน็กไทของเขาก็แย่พอๆ กัน" เขาโกนมีดโกนด้วยความประณีตอย่างอารมณ์ดี หยุดเป็นระยะๆ เพื่อทดสอบความคมกับเส้นผมจากศีรษะสีน้ำตาลของเขาเอง

แฮปปี้แจ็คผู้ซึ่งสิ้นหวังกับเน็กไทของเขาและกลายเป็นสีม่วงเพราะคำพูดของเวียรี่ เขาเอียงคอไปพาดไหล่ของสุภาพบุรุษคนนั้นแล้วมองเข้าไปในกระจก เมื่อแฮปปี้ต้องการ เขาก็สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ธรรมดาๆ ของเขาให้กลายเป็นรอยยิ้มอย่างชั่วร้าย ซึ่งส่งคลื่นที่เต็มไปด้วยความน่าขนลุกให้คืบคลานไปตามกระดูกสันหลังของผู้พบเห็น

เวียรี่มองเห็นแล้วจ้อง ครึ่งหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้: 

"โรงตีเหล็กศักดิ์สิทธิ์! เลิกเถอะ แฮปปี้! แกดูเหมือนปีศาจโดนฟ้าผ่าเลย"

แฮปปี้มองดูแล้วก็จับมือที่ถือมีดโกนไว้ แคลก็เหมือนแมวกระโจนเข้าหากระจก และแจ็ค เบทส์ก็ชิงมีดโกนจากนิ้วของเวียรี่อย่างช่ำชอง

"ไชโย หนุ่มๆ! พวกนายจับเวียรี่มัดไว้กับพื้นสักหน่อยสิขณะที่ฉันโกนหนวด!" แคลร้องด้วยความยินดีต่อการกบฏ "เราจะได้ทำธุระในห้องน้ำนี้ให้เสร็จเร็วๆ"

ครั้นแล้วเวียรี่ก็ถูกพาลงไปคลุกที่พื้น มัดมือมัดเท้าด้วยผ้าเช็ดหน้าไหม แบกตัวไปและวางลงบนเตียงของเขา

"โอ๊ย ฉันต้องทำอะไรบางอย่างกับพวกนายเพื่อตอบโต้แน่นอน!" เขายืนยันอย่างมืดมน "จะไม่มีลูกหลานคนไหนของพวกนายได้เต้นรำกับครูใหญ่ตัวน้อยของฉันแน่ พวกนายจะได้เห็น!" เขายิ้มอย่างคนหยั่งรู้ หลับตาแล้วพูดพึมพำ "ปลุกฉันเร็วๆ นะ แม่คุณจ๋า" และทันใดนั้นก็หลับไปพร้อมกับเสียงกรนอย่างสงบสุข ขณะที่ฟองสบู่แห้งบนใบหน้าของเขา

"ปล่อยเวียรี่แล้วปลุกเขาให้ตื่นดีกว่านะชิป" แจ็ค เบทส์แนะนำในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ยัดฝาจุกปิดขวดโคโลญจน์แล้วเดินไปที่ประตู "ด้วยความเร็วที่รถม้าแล่นเข้ามา พวกเราทุกคนจะต้องเอาทีมม้าเข้าไปเก็บ" ประตูปิดปังตามหลังเขา เช่นเดียวกับที่มันทำข้างหลังคนอื่นๆ ขณะที่พวกเขารีบวิ่งออกไป

"นี่!" ชิปคลายเชือกมัดมือและเท้าของเวียรี่ออกแล้วจับที่ไหล่เขา "ตื่นสิ วิลลี่ ถ้านายอยากเป็นราชินีแห่งเดือนพฤษภาคม"

เวียรี่ลุกขึ้นนั่งและขยี้ตา "ขอให้ฉิบหายเหอะไอ้เจ้าแจ็คทั้งสองคนนั่น! นี่กี่โมงแล้ว?"

"สองทุ่มกว่าๆ .. พวกของนายยังไม่มา ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องกังวล ฉันเองก็ยังไม่ขึ้นไปอีกสักพัก"

"นายไม่สบายรึเปล่า? เอาล่ะ ตั้งสติไว้ แล้วรับมือกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เด็กน้อย" เวียรี่เตรียมตัวที่จะเสร็จสิ้นการ ‘เสริมสวย’ ที่ถูกขัดจังหวะของเขา

"ฉันจะจัดการกับขวดทั้งหมดนั่นเลย หากแก๊งค์ดรายเลคมาพร้อมวิสกี้พะรุงพะรังเหมือนที่พวกเขาเคยทำกัน เราควรจะยึดมันมาและเก็บซ่อนทุกหยดไว้ เวียรี่"

เวียรี่หันกลับมามองด้วยความประหลาดใจ 

"เมื่อไหร่ที่สมาคมสตรีแห่งศาสนาเพื่อความสุจริตวิ่งมาคว้าคอเสื้อนายไว้ได้วะ?" เขาถาม

"เอาน่ะ อย่าโง่สิ เวียรี่" ชิปโต้ตอบ "นายก็เห็นอยู่ว่ามันจะไม่ถูกต้องเลยถ้าเราปล่อยให้ผู้ชายคนใดคนหนึ่งเมาเต็มแก้วหรือครึ่งแก้ว เพราะนี่เป็นงานเต้นรำของคุณหมอตัวน้อย"

เวียรี่ขูดกรามซ้ายอย่างครุ่นคิด แล้วเช็ดฟองสบู่จากมีดโกนบนเศษกระดาษหนังสือพิมพ์

"เจ้าเสี้ยนไม้ พวกเราทำงานร่วมกันมาตั้งแต่พเนจรและเร่ร่อนมาที่ทุ่งหญ้าเดียวกัน และแน่นอนว่าฉันอยู่ข้างนาย แต่ - อย่ามองข้าม คุณหมอเซซิล แกรนทัม ฉันเกลียดเหมือนปีศาจที่จะเห็นนายโดนทิ้ง เพราะมันจะทำร้ายนายได้มากกว่าใครก็ตามที่ฉันรู้จัก"

ชิปค่อยๆ ร่อนยาสูบลงในกระดาษม้วนบุหรี่ ปากของเขาเป็นเส้นตรงมากและคิ้วของเขาก็อยู่ชิดกันมาก

"เป็นเรื่องดีอย่างร้ายกาจที่บังเอิญว่าเป็นนายที่พูดแบบนั้น เวียรี่" เขากล่าวอย่างใจเย็น "ถ้าเป็นคนอื่น ฉันจะชกหน้ามัน"

"เออ ใช่ และฉันก็จะช่วยนายด้วย" เวียรี่พูดเป็นคำๆ เนื่องจากเขาต้องเอียงปากไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อจะโกนหนวดอีกด้านได้ง่ายขึ้น "แต่นายอย่าเก็บไปคิดมากกับฉันเลยนะ ถึงแม้ว่าฉันจะเห็น—"

ประตูกระแทกปิดปังอย่างแรง ทำให้เวียรี่กรีดคางของเขาอย่างไม่สมควร แต่เขาไม่รู้สึกขุ่นเคืองต่อชิปเลย เขาค่อยๆ ติดกระดาษปิดแผลเพื่อหยุดเลือดอย่างใจเย็น และโกนหนวดต่อไป

ไม่นานหลังจากนั้น คุณหมอตัวน้อยก็เดินมาเจอ: ชิปจ้องมองดิ๊ก บราวน์ซึ่งกำลังดีดกีตาร์อย่างสบายๆ บนกล่องใส่สินค้าแห้งที่คว่ำไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของห้องอาหารที่ทอดยาว

"ฉันมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณ" เธอกล่าว "แต่ความกล้าของฉันล้นไหลหายไปตั้งแต่แรกเห็น"

"มันยากที่จะเชื่อว่าความกล้าหาญของคุณจะไหลหายไปโดยอะไรก็ตาม; มันคือการขอความช่วยเหลือเรื่องอะไรล่ะ?"

คุณหมอตัวน้อยก้มศีรษะและลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบที่เป็นความลับ ซึ่งดึงดูดเลือดของชิปและทำให้มันกระโดด

"ฉันอยากให้คุณมาช่วยฉันหมุนร้านยาของฉันให้หันหน้าไปที่ผนัง เดนสัน, พิลกรีน และเบ็คแมนรุ่นเด็กทั้งหมดได้เข้าครอบครองห้องทำงานของฉัน และดังที่คุณหญิงม่ายกล่าวว่า: ‘พวกเด็กเบ็คแมนพวกนี้เป็นปีศาจชัดๆ การประหยัดไม้เรียวและการตามใจเด็กทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้!’"

ชิปหัวเราะออกมาทันที: "เด็กเดนสันเลวร้ายกว่านั้นเยอะ ถ้าคุณรู้" เขากล่าวแล้วเดินตามเธอไปอย่างเต็มใจ

‘ห้องทำงาน’ ของคุณหมอตัวน้อยเป็นห้องเล็กๆ ที่ดูอบอุ่น มีโซฟา เก้าอี้โยกมอร์ริสที่เก่ากร่อนแต่ยังใช้งานได้ดี เก้าอี้หวายสองตัว และโต๊ะเล็กๆ สำหรับตกแต่งที่ไม่โอ่อ่า ดูสง่างามด้วยกองหนังสือทางการแพทย์ที่น่าเกรงขามในมุมหนึ่ง และ ‘ร้านขายยา’ ซึ่งเป็นตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยโหล ขวด กล่อง และบรรจุภัณฑ์ ทั้งหมดติดป้ายวางไว้ในแนวตั้งอย่างเรียบร้อย

ในห้องค่อนข้างเต็มไปด้วยเด็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่ดูเหมือนจะสนุกสนานกันมาก: ชาร์ล็อต, เมย์ พิลกรีนและซารี่ เดนสันโค้งตัวอย่างพร้อมเพรียงเหนือหนังสือเล่มหนึ่ง ขนลุกซู่ตัวสั่นด้วยความเพลิดเพลินเมื่อเห็นโครงกระดูกในภาพ ฝูงชนล้อมรอบร้านขายยา พร้อมกับประตูตู้กระจกที่เปิดค้างอยู่

คุณหมอตัวน้อยรีบวิ่งไปหากลุ่มเด็กน้อย; ผิวหน้าของเธอซีดด้วยความสยดสยอง

"ซีบิลลี่ได้กุญแจมาและ 'ปลดล็อคมัน' และเธอก็ให้ขนมนี้แก่เราด้วย!" เด็กผู้หญิงตระกูลพิลกรีนที่มีผมสีแดงมากและมีจมูกสั้นมากฟ้อง 

"ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นนะ! มันคือ จอซฟีน!"

"โอ๊ะ เจ้านักโกหกตัวเอ้! ฉันไม่เคยแตะมันเลยนะ!"

คุณหมอตัวน้อยคว้าแขนที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้จนกระทั่งเจ้าของส่งเสียงแหลมกรี๊ด

"กี่คนในพวกเธอที่กินของพวกนี้ไปแล้ว? บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้" พวกเด็กๆ ทะเลาะกันต่อหน้าความเข้มงวดของเธอ ก่อนจะก้มลงและสารภาพ ทั้งหมดบอกว่ามีเจ็ดคนที่กลืนเม็ดขนมหวานลงไปแล้ว โดยมีจำนวนตั้งแต่สองเม็ดไปจนถึงโหลกว่า

 "มันเป็นยาพิษเหรอ?" ชิปกระซิบคำถามข้างหูของคุณหมอตัวน้อยที่กำลังตกอกตกใจจนจะเป็นลม

"ไม่ใช่ค่ะ แต่มันจะทำให้พวกเขาอึดอัดอย่างมากสักพัก ฉันจะกำจัดพวกมันออกไป"

 "เจ๋ง! สมควรแก่พวกเขาแล้ว เด็ก…"

 "พวกเธอทุกคนที่ได้กินขนมนี้แล้ว - เอ่อ - ต้องมากับฉัน ส่วนที่เหลืออาจอยู่ที่นี่และเล่นได้ แต่เธอต้องไม่แตะต้องกล่องนี้"

 "อื้ม คุณจะจัดการพวกเขาเหรอ?" ซารี่ เดนสันจุ่มนิ้วเปียกชุ่มก่อนจะพลิกหน้ากระดาษเผยให้เห็นโครงกระดูกที่สวยงาม

"ไม่ต้องสนใจว่าฉันจะทำอะไรกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม เธออย่าก่อเรื่องเองก็พอ คุณเบนเน็ตต์ ฉันอยากให้คุณหาใครสักคนที่ไว้ใจได้ คนที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ทีหลัง เอากล่องนี้ไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัย แล้วมาหาฉันที่ห้องนอนด้านหลัง ห้องที่อยู่ติดกับครัว และบอกหลุยส์ด้วยว่าฉันต้องการเธอ จะได้ไหม?"

"ผมจะเอาเจ้าเฒ่าเวียรี่มา เออ... ผมจะส่งคุณหญิงม่ายไปนะ แต่คุณไม่คิดว่าเธอเป็นคนที่แย่มากที่จะเก็บความลับเหรอ?"

"ฉันก็รู้ แต่ฉันต้องการเธอ รีบไปเถอะ ได้โปรด!"

ด้วยความตกตะลึงกับดวงตาสีเทาโตๆ และการเรียกขอความช่วยเหลืออย่างลึกลับของเธอ เจ็ดผู้โชคร้ายจึงถูกควบคุมตัวให้เดินขบวนอย่างเงียบๆ ผ่านประตูด้านนอก รอบบ้าน ผ่านโรงเก็บถ่านหิน และเข้าไปในห้องนอนด้านหลัง โดยทั้งหมดไม่ได้ถูกสังเกตเห็นจากผู้ที่ร่าเริงซึ่งเขย่าบ้านจนถึงฐานรากด้วยคำสั่งอันร่าเริง: "ขวาสุด .. ซ้ายสุด แตะข้อศอก .. หมุนสองรอบ!" , "จับคู่เต้นรำ .. ทรงตัว .. หมุน!"

"ภายใต้แสงตะวัน นั่นมันเรื่องอะไรล่ะ เดลล์?" คุณหญิงม่ายที่หายใจไม่ออกจากการเต้นรำ พุ่งเข้าใส่กลุ่มเล็กๆ

"ไม่มีอะไรร้ายแรงมากหรอก หลุยส์ แม้ว่ามันจะค่อนข้างอึดอัดที่ถูกเรียกตัวมาจากการเต้นรำเพื่อมาสั่งยาแรงๆ แบบนี้ก็ตาม คุณช่วยประคองโจเซฟินไว้ได้ไหม ไม่รู้ว่าคนไหนนะ เท่าที่ฉันดู เธอน่าจะเป็นคนกินเยอะที่สุด"

"เธอไม่ได้กินยาพิษใช่ไหม? มันคืออะไร สตริชน์เหรอ? ฉันพนันได้เลยว่าพวกเด็กเบ็คแมนเป็นคนยุให้เธอทำแน่! คุณจะให้ยาแก้พิษกับเธอไหม?"

"ฉันจะใช้สิ่งนี้" คุณหมอตัวน้อยหยิบสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวชิ้นหนึ่งขึ้นมาโชว์ "อ้าปากของคุณซะ โจเซฟีน"

โจเซฟีนปฏิเสธ การปฏิเสธของเธอเด็ดขาดและหนักแน่นซึ่งประกอบด้วยการเตะรัวๆ ใส่ทุกคนที่เข้ามาใกล้ในระยะรัศมีเท้าเล็กๆ อันอ้วนท้วนของเธอ

"เรียกแมรี่มาก็ไม่มีประโยชน์ .. แมรี่จัดการเธอไม่ได้ดีกว่าฉันเลย .. อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ โจเซฟิน, เจ้าต้อง—"

"เอาล่ะ ถึงเวลาที่เราจะโชว์ฝีมือแล้ว" เสียงร่าเริงที่ไพเราะน่าฟังดังแทรกเข้ามาพอดี "ชิปกับผมไม่ได้ปล้ำกับม้าป่ามาทั้งชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ .. เรื่องนี้ง่ายมาก .. เหมือนการตีตราลูกวัวเลยแหละ .. เฮ้! ช่วยจับส้นเท้าเธอไว้หน่อยสิเจ้าเสี้ยนไม้ .. ดีมาก คุณหญิงม่าย คุณควรจะยืนพิงประตูไว้ดีกว่า .. เจ้าพวกตัวแสบเหล่านี้บางคนกำลังคิดที่จะแอบเข้ามาหาเรา .. และเราคงต้องเหนื่อยหน่อยเพื่อที่จะแยกพวกเขาออกมาจากกลุ่มใหญ่ข้างนอกนั่น และเดี๋ยวค่อยล้อมจับพวกเขากลับมาอีกครั้ง เสร็จแล้ว นี่ครับคุณหมอ .. ลุยเลย!"

ด้วยกำลังใจจากรอยยิ้มสดใสที่ไม่รู้จักโรยราของเวียรี่ และความมุ่งมั่นอันสงบนิ่งของชิป ผู้ไม่หวั่นไหวกับส้นเท้าที่โบยบินมายันและร่างกายที่ดิ้นรนนั่น ราวกับความวุ่นวายเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นคุณหมอตัวน้อยจึงลงมือทำงานของเธอได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และเป็นการส่งสารซึ่งสร้างความหวาดผวาให้กับหัวใจของผู้กระทำผิดทั้งเจ็ดอย่างหนักหน่วง

ไม่นาน .. อย่างที่เวียรี่พูดว่า มันเหมือนกับการตีตราวัวนั่นแหละ ทันทีที่เด็กคนหนึ่งถูกบังคับให้สำรอก แล้วถูกวางลงบนเตียงอย่างกะโผลกกะเผลกและสงบลง ชิปและเวียรี่ก็คว้าเด็กอีกคนอย่างคล่องแคล่วที่ส้นเท้าและศีรษะ คุณหญิงม่ายไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนเฝ้าประตู และทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลคุณหมอตัวน้อยผู้ไม่หวั่นไหว แต่เธอก็ทำหน้าที่ของเธอ และเก็บปากเธอไว้ได้หลังจากนั้น .. ซึ่งถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับเธอเลยทีเดียว

คุณหมอตัวน้อยนั่งลงบนเก้าอี้เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ดูค่อนข้างซีดเซียว ชิปขยับเข้าไปใกล้ แม้จะไม่มีอะไรที่เขาทำได้นอกจากยื่นแก้วน้ำให้เธอ ซึ่งเธอก็รับไว้ด้วยความซาบซึ้ง

เวียรี่ถือรางกระดาษเล็กๆ บรรจุยาสูบไว้ในนิ้วของเขา และดึงกระสอบยาสูบถูกที่ปิดลงด้วยฟันของเขา สายตาของเขาจับจ้องไปที่เตียง เขายัดกระสอบยาสูบลงในกระเป๋าโดยที่ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นๆ อยู่

"เธอตอบว่า: 'เราเจ็ดคน'" เขาพูดอย่างนุ่มนวลและเคร่งขรึม และคุณหมอตัวน้อยก็ลืมความอ่อนแอของเธอไปพร้อมกับหัวเราะอย่างเต็มที่

"พวกคุณสองคนกลับไปเต้นรำต่อเถอะ" เธอออกคำสั่งโดยปล่อยให้ลักยิ้มบุ๋มอยู่บนแก้มของเธอในแบบที่ชิปฝันถึงในภายหลัง "ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำอะไรถ้าไม่มีพวกคุณ นักชกวัวดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างถูกวิธี กรุณา อย่าเล่าให้ใครฟังได้ไหม?"

"ไม่มีวัน ไม่ต้องห่วงพวกเราเลยคุณหมอ ชิปกับผมไม่ได้นั่งคุยโม้โอ้อวด เราไม่เล่าความลับของเราให้ใครฟังนอกจากม้า .. และพวกมันก็ปลอดภัยแน่นอน"

"คุณไม่ต้องคิดว่าฉันจะเล่าเหมือนกัน" คุณหญิงม่ายพูดอย่างจริงจัง "ฉันยังไม่ลืมเลยว่าคุณรับผิดเรื่องสบู่เหลวอันนั้น เดลล์ ตามที่สำนวนว่า—"

เวียรี่ปิดประตูแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ยินสำนวนที่ดูเหมือนจะใช้ได้กับกรณีนี้โดยเฉพาะ แขนของเขาเกี่ยวกับแขนของชิป พาเขาเดินทะลุครัวและลงเนินไปยังคอกหญ้าแห้ง เมื่อพ้นสายตาจากการสังเกตแล้ว เขาก็โยนตัวเองลงไปบน ‘บลูจอยท์’ ที่มีกลิ่นหอมและหวาน แล้วหัวเราะไม่หยุด

ชิปไม่ต้องการคลายระบบประสาทด้วยเสียงหัวเราะ เขาเดินไปที่คอกของซิลเวอร์ และคลำหาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไปยังที่ซึ่งมีดวงจันทร์สีเขียวสองดวงส่องสว่างมาที่เขาท่ามกลางความมืด เขาลูบจมูกอันบอบบางเบาๆ และพันนิ้วของเขาเข้ากับแผงคอที่ส่องแสงสลัวอย่างที่เขาเคยเห็น ‘เธอ’ ทำ: นิ้วมือเล็กๆ สีชมพูแบบนั้น! เขาวางแก้มสีแทนของเขาลงบนตำแหน่งที่เขาจำได้ว่าพวกมันเคยพักอยู่

"เจ้าซิลเวอร์" เขากระซิบ "ถ้าฉันจะตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้! ฉันอยากให้เธอมีลักยิ้มบุ๋ม ตาโตสีเทา และเสียงหัวเราะแบบ—"


บทที่ 8
ใบสั่งยา

 

มันเป็นวันอาทิตย์วันที่สองหลังจากการเต้นรำ พวกผู้ชายต่างกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ เพราะวันนี้เป็นวันที่อากาศดีเหลือเกิน เป็นวันที่แสนหวานและอ่อนโยนซึ่งมาถึงเราในต้นเดือนพฤษภาคม ที่ร้านตีเหล็ก ชิปกำลังใส่ไม้พายอันใหม่เข้าไปในเดือยของเขา พลางผิวปากเบาๆ ให้ตัวเองฟังขณะที่เขาทำงาน

เช้าวันนั้นคุณหมอตัวน้อยไปกับเขาเพื่อเยี่ยมซิลเวอร์ และไม่ได้รีบไปไหน แต่กลับพิงกับราวรางหญ้าและฟังเขาเล่าถึงตอนที่เจ้าซิลเวอร์มันว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ ‘ขณะที่น้ำกำลังขึ้นสูง’ ติดตามเขาไปที่ค่ายโชนกิน เมื่อชิปคิดจะทิ้งมันไว้ที่บ้าน และพวกเขาหัวเราะด้วยกันด้วยเรื่องของเด็กเจ็ดขวบและความขุ่นเคืองในเวลาต่อมาของบรรดาแม่ๆ ซึ่งยกเว้น ‘แมรี่’ ที่ต่างก็พาเด็กๆ ของพวกเขากลับบ้านด้วยความโมโห จริงอยู่ พวกเขาไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ มีเพียงเรื่องราวจากเด็กๆ ที่กล่าวหาว่าคุณหมอตัวน้อยพยายามทำให้พวกเขากินยางพารา - "แค่เพราะเธอโกรธเรื่องลูกอมเก่าๆ นิดหน่อย" ความสับสนของคนอื่นๆ ในครอบครัวสุขสันต์ซึ่งได้กลิ่นของความลึกลับที่มีเรื่องตลกปะปนอยู่ แต่พวกเขาก็หมดหวังที่จะเค้นความจริงออกมาจากทั้งเวียรี่และชิป ซึ่งคุณหมอตัวน้อยยินดีกับเรื่องนี้มาก

โลกใบนี้เป็นโลกเก่าที่ดีและน่าอยู่ และชิปไม่เคยทะเลาะกับโชคชะตาหรือกับใครเลย .. นั่นคือเหตุผลที่เขาผิวปากเบาๆ 

จากนั้นเสียงพูดก็ลอยมาถึงเขาผ่านประตูที่เปิดอยู่ และเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะของเธอ ชิปยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้สาเหตุของความสนุกสนานของเธอเลยก็ตาม ขณะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามามากขึ้น น้ำเสียงค่อย เบา และน่ารำคาญของดั๊งค์ วิทเทคเกอร์ก็แยกออกจากเสียงหัวเราะของคุณหมอตัวน้อย ชิปหยุดผิวปาก ดั๊งค์มาอยู่นี่นานผิดปกติในครั้งนี้ ปกติแล้วเขามักจะมาวันนี้แล้วก็กลับไปในวันรุ่งขึ้น และไม่มีใครโศกเศร้ากับการจากไปของเขา

"แน่นอนว่าคุณจะพบว่าพวกเขาเป็นสายพันธุ์ใหม่โดยสิ้นเชิง แล้วคุณอยู่กับพวกเขาได้ยังไง?" ดั๊งค์พูด 

คุณหมอตัวน้อยตอบเขาอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน: "โอ้ สบายดีค่ะ เมื่อพิจารณาหลายๆ อย่าง พวกเขามอบความสนุกสนานให้ฉัน และฉันก็ให้สิ่งใหม่ๆ แก่พวกเขาได้พูดคุย ดังนั้นเราจึงต่างตอบแทนกัน พวกเขาเป็นคนใจดีนะ คุณรู้ไหม แต่มันโง่เขลามาก! ฉันไม่คิดว่า—"

คำพูดค่อยๆ เบาลงเป็นเสียงพึมพำที่ไม่ชัดเจน โดยมีเสียงหัวเราะลั่นที่น่ารำคาญของดั๊งค์คั่นกลาง

ชิปไม่ส่งเสียงผิวปากต่อ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะทำเช่นนั้นต่อก็ได้หากได้ยินมากกว่านี้หรือได้ยินน้อยกว่านี้ ตามความเป็นจริง บทสนทนาที่กำลังดำเนินอยู่นั้นมันคือเรื่องของครอบครัวเดนสัน ครอบครัวพิลกรีน และครอบครัวเบ็คแมน; ไม่ใช่เรื่องของคาวบอยของฟลายอิ้งยูอย่างที่ชิปเข้าใจ .. ซึ่งเขาไม่ยิ้มอย่างเห็นใจอีกต่อไป

"พวกเราสร้างความสนุกสนานให้เธอเหรอ? ดีมาก! เราเป็นคนจิตใจดีแต่กลับโง่เขลา! บ้าจริง!" เขาตอกหมุดย้ำๆ และแรงมากจนมันหักเดือยหนึ่งอันสั้นลง ซึ่งหมายความว่าเขาต้องเสียเงินสิบหรือสิบสองเหรียญสำหรับคู่ใหม่ แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะไม่ทำให้เขาลำบากใจมากนักในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม แต่มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้เพื่อใช้แสดงความหยาบคาย ดังนั้น บรรยากาศบริเวณร้านตีเหล็กจึงเต็มไปด้วยกลิ่นกำมะถัน และคงอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายนาที หลังจากนั้น คาวบอยตัวสูงที่โกรธจัดจึงสวมหมวกของเขา ดึงสายตาที่แค้นขุ่นใจให้ลงต่ำแล้วเดินออกจากร้านและเดินขึ้นไปตามทางมุ่งสู่บ้านสองชั้นที่ตอนนี้ร้างผู้คน

เขาไม่ปรากฏตัวจนกระทั่งเจมส์ จี. เรียกเขาให้ขี่ม้าลงไปที่บ้านเดนสัน เพื่อตามจับม้าตัวหนึ่งของฟลายอิ้งยูที่หลุดหายออกไปจากทุ่งหญ้า 

เดลลายืนมองจากหน้าต่าง ตอนที่ชิปขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขาตาม ‘เส้นทางคูลี’ ซึ่งผ่านใกล้บ้าน เธอเบื่อหน่ายกับคำพูดซ้ำซากของดั๊งค์ที่พยายามทำตัวให้มีเอกลักษณ์และขัดเกลาให้ดูดี แต่กลับล้มเหลวทั้งสองอย่างและส่งผลให้เธอรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่งอย่างเดียวเท่านั้น

"ชิปจะไปไหนน่ะ เจ.จี?" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นเจ้าของ

"ลงไปตามจับม้าที่เดนสัน" เจ.จี. พูดอย่างเกียจคร้านโดยไม่เอาไปป์ออกจากปาก

"อ๋อ ฉันอยากไปจัง ไม่รู้ชิปจะยอมไหมนะ?" คุณหมอตัวน้อยพูดอย่างหุนหันพลันแล่นตามนิสัยของเธอ

"แน่นอน เขาไม่ยอมหรอก เฮ้ย ชิป! รอแป๊บนึง!" เจ.จี. ยืนโบกไปป์อยู่ที่เข้าประตู

ชิปกระตุกม้าให้หยุดนิ่งและหันหลังกลับมากึ่งๆ บนอาน

"อะไร?"

"เดลล์อยากไปด้วย นายจะผูกอานเจ้าคองโชให้เธอไหม? ยังไงก็ไม่รีบร้อนอยู่แล้ว นายมีเวลาเหลือเฟือ เดลล์กลัวว่าเด็กคนใดคนหนึ่งอาจจะตกลงบันไดอีกครั้ง และเธอจะพลาดเคสนี้ไป"

"ฉันไม่ได้กลัวหรอก" คุณหมอตัวน้อยพูดขณะเดินไปยืนข้างพี่ชายเธอ "เป็นวันที่ดีเกินกว่าจะอยู่แต่ข้างในบ้าน และกล้ามเนื้อของฉันก็ต้องการความปวดเมื่อยเมื่อควบม้าไปบนเนินเขา"

ชิปไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ เขาไม่กล้า เขารู้สึกว่าถ้าเขาสบตาเธอที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มในนั้น เขาจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งในสองสิ่งที่ไม่พึงประสงค์: เขาจะยิ้มตอบเธออย่างอ่อนแอ โดยมองข้ามความหน้าซื่อใจคดในความเป็นมิตรของเธอ หรือเยาะเย้ยต่อรอยยิ้มของเธอ ซึ่งจะถือว่าเป็นการหยาบคายและไม่เป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก

"ถ้าคุณบอกว่าอยากขี่ม้า ผมยินดีที่จะไปเป็นเพื่อนคุณ" ดั๊งค์พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ เมื่อชิปขี่ม้ากลับไปที่คอกม้าอย่างหงุดหงิด

"ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ขอบคุณ" คุณหมอตัวน้อยพูดเบาๆ แล้วรีบออกไปสวมชุดขี่ม้าสีน้ำเงินของเธอพร้อมกับหมวกจ๊อกกี้สุดเก๋ ซึ่งเธอพบว่าเป็นหมวกกันน็อกอันเดียวที่จะสวมศีรษะของเธอได้ท่ามกลางแรงลมของมอนทาน่า และมันทำให้เธอดูน่าจูบ เธอยืนอยู่บนระเบียงและสวมถุงมือหนังเมื่อชิปกลับมา จูงคองโชด้วยบังเหียนของมัน

"ให้ผมช่วยคุณ" ดั๊งค์แตะที่ข้อศอกของเธอ อ้อนวอน หวังว่าเธอจะชวนเขาไปด้วยจนวินาทีสุดท้าย

คุณหมอตัวน้อยไม่รังเกียจที่จะซ่อนความขมของยาไว้ใต้น้ำตาลที่เคลือบไว้ เธอยิ้มหวานให้เขาเพื่อความเบิกบานของดั๊งค์และเพิ่มเติมความขมขื่นให้แก่ชิป ผู้กำลังเข้าใกล้สภาวะทางจิตใจซึ่งคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘พร้อมที่จะต่อสู้’ อย่างรวดเร็ว

‘ฉันคาดว่า เธอคงคิดว่าฉันจะทำให้เธอสนุกกว่านี้อีก!’ เขาคิดอย่างโกรธแค้น ขณะที่พวกเขาแล่นม้าออกไปในแสงแดดที่เต้นรำระยิบระยับ

ในช่วงสองไมล์แรก ถนนเรียบเสมอกัน และชิปก็กำหนดจังหวะซึ่งเร็วเกินกว่าจะพูดคุยกันมาก-ตามแผนที่เขาตั้งใจไว้ หลังจากนั้นเส้นทางก็ค่อยๆ ไต่ชันขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อออกจากหุบเขาฟลายอิ้งยู และม้าก็จำเป็นต้องถูกบังคับให้เดิน จากนั้น ความกล้าหาญในความเป็นอัศวินและการควบคุมตัวเองโดยธรรมชาติของชิปก็ถูกทดสอบ

เขาโหยหาการขี่ม้าตามลำพังอย่างเมื่อก่อน ซึ่งจะช่วยดึงความเจ็บปวดอันร้าวรานออกไปจากหัวใจของเขาไปมาก และทำให้เขามีชีวิตชีวาขึ้นกับชีวิตที่เขาต้องใช้ชีวิต ซึ่งกัดกร่อนจิตวิญญาณของเขามากกว่าที่เขาเคยรู้เสียอีก แทนที่จะได้รับความสบายใจแบบนั้น เขากลับถูกบังคับให้ขี่ม้าอยู่เคียงข้างผู้หญิงที่ทำร้ายเขาจนย่ำแย่ ใกล้ชิดจนบางครั้งเข่าของเขาปัดกับม้าของเธอ และต้องฟังเสียงพูดคุยที่เป็นมิตรของเธอและตอบกลับบ้างในบางครั้ง อย่างน้อยก็มีการแสดงความสุภาพ

เธอกำลังพูดถึงงานเต้นรำด้วยความหวนให้คิดถึงอดีต

"เจ.จี. มีวิจารณญาณที่ยอดเยี่ยมในการเลือกนักดนตรี ใช่ไหม?"

ชิปมองตรงไปข้างหน้า นี่คือการแตะจุดความเจ็บปวดในความทรงจำของเขา ภาพรอยยิ้มอันไร้สาระและหนวดเคราหางเป็ดของดิ๊ก บราวน์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา

"ผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจผู้ชายหรอก" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันเบาๆ

คุณหมอตัวน้อยมองเขาอย่างรวดเร็วด้วยความประหลาดใจและพูดต่อ

"ฉันชอบการเล่นของพวกเขามาก คุณบราวน์เก่งกีตาร์เป็นพิเศษ"

"อ๋อ, ใช่เหรอ?"

"แน่นอนสิ คุณรู้ด้วยตัวเองดี เขาเล่นดนตรีได้ไพเราะมาก"

"คาวบอยไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดหรอก" ชิปเกลียดตัวเองที่ตอบกลับแบบนั้น แต่มันเป็นการเย้ายวนใจที่เขาต้านทานไม่ได้

"ไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่เห็นว่าทำไมจะไม่ใช่"

ชิปข่มตัวเองไว้ ปิดปากแน่นเพื่อเก็บสิ่งที่ไม่สุภาพ

คุณหมอตัวน้อยทั้งงุนงงและฉุนเฉียว เธอจึงมุ่งตรงไปยังประเด็น

"ทำไมคุณถึงไม่ชอบการเล่นดนตรีของคุณบราวน์"

"ผมเคยบอกเหรอว่าผมไม่ชอบ?"

"อ๋อ ใช่, คุณ… ไม่ได้พูดออกมานะ แต่คุณสื่อว่าคุณไม่ชอบ"

"อ๋อ, ใช่เหรอ?"

คุณหมอตัวน้อยกระตุกบังเหียนม้าอย่างหงุดหงิด

"ใช่ ใช่! ใช่!"

ชิปไม่ตอบอะไร เขาคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรที่ไม่หยาบคายมากหรือน้อย

"ฉันคิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่น่ารักและเป็นกันเองมาก" เน้นหนักไปที่คำคุณศัพท์ที่สอง "ฉันชอบผู้ชายนิสัยดี"

เงียบ

"เขาจะลงมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงครั้งหน้า เจ.จี. เชิญเขา"

"เหรอ? เขาคาดหวังว่าจะเจออะไรล่ะ?"

"ก็ – แค่ทุกสิ่งที่สามารถล่าได้ ไก่และ… เอ่อ… กวาง"

"ถูกต้อง"

ระหว่างทางนี้พวกเขาก็ไปถึงที่ราบ ม้าทั้งสองก็ควบออกไปตามใจชอบด้วยความเร็ว ซึ่งช่วยบรรเทาความตึงเครียดในบรรยากาศทางจิตใจไปได้บ้าง บนเนินเขาลูกถัดไป คุณหมอตัวน้อยมองดูเพื่อนร่วมทางของเธออย่างพินิจพิเคราะห์

"คุณเบนเน็ต หน้าคุณดูซีดเซียวจัง ฉันจะสั่งยาให้คุณได้ไหม?"

"ผมไม่เห็นว่ามันจะเพิ่มความสนุกให้คุณได้ยังไง?"

"ฉันไม่ได้พยายามที่จะเพิ่มความสนุกสนานให้ตัวเอง"

"ไม่ใช่เหรอ?"

"ถ้าฉันทำ มันก็ไม่มีอะไรให้เล่นอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มขี้โมโหไม่เคยเป็นเรื่องตลกเลยสำหรับฉัน ฉันชอบ—"

"ชายหนุ่มที่เป็นมิตร เช่นดิ๊ก บราวน์"

"ฉันคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนบรรยากาศ คุณเบนเน็ตต์"

"อ๋อ, ใช่มั้ง? ช่วงนี้ผมรู้สึกได้ว่าอากาศทางตะวันออกไม่เหมาะกับร่างกายของผม"

แก้มของคุณหนูวิตมอร์เริ่มแดงก่ำและลุกลามไปถึงในดวงตา

"ฉันคิดว่ามารยาทแบบตะวันออกสักเล็กน้อยจะช่วยให้คุณปรับปรุงได้มาก" เธอกล่าวอย่างแหลมคม

"อ๋อ, คงใช่ มันต้องเป็นแค่ ‘เล็กน้อย’ เพราะว่ามันมีอยู่อย่างจำกัด"

คุณหมอตัวน้อยหน้าซีดและขาวขึ้นทั่วปาก รั้งสายบังเหียนของเจ้าคองโชแน่นมากจนมันเกือบหยุด

"ถ้าไม่อยากให้ฉันมาด้วย ทำไมไม่กล้าพูดแบบนั้นตั้งแต่แรกล่ะ? ฉันต้องบอกว่า ฉันไม่ค่อยชื่นชมคนที่มีอารมณ์ขี้โมโห - และมารยาทที่ไม่แน่นอน ฉันขอโทษที่ยัดเยียดตัวเองเข้ามาหาคุณ และฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก" เธอลังเล จากนั้นก็ยิงกระสุนนัดหนึ่งซึ่งแน่นอนว่าเป็นความอาฆาตแค้นอย่างสุดขั้ว "มีข้อดีอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้" เธอยิ้มอย่างขมขื่น "ฉันจะมีเรื่องน่าสนใจที่จะเขียนถึง คุณหมอเซซิล"

ด้วยคำพูดนั้น บนทางเดิน เธอก็หันคองโชผู้ประหลาดใจกลับอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชิปกระแทกสเปอร์ใส่เจ้าเปลวไฟอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกัน ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ขยายกว้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ชิปวิ่งออกไปเหนือทุ่งหญ้า เขาค้นพบจุดหักมุมใหม่ที่น่าสงสัยและสับสนในอารมณ์ของเขา เขาโกรธคุณหมอตัวน้อยที่ตามมา แต่ก็ไม่เท่ากับความโกรธที่เขารู้สึกเมื่อเธอกลับไป! เขาไม่ได้ยอมรับกับตัวเองว่าเขาอยากให้เธออยู่ข้างๆ เขาเพื่อเยาะเย้ยและทำร้ายเธอด้วยความหยาบคายของเขา แต่มันเป็นเรื่องจริงสำหรับเรื่องทั้งหมดนั้น และเขาก็เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาบูดบึ้งมากที่ขี่ม้าเข้าไปในคอกสัตว์ของเดนสันและโยนบ่วงไว้บนหัวของม้าที่หลบหนี


บทที่ 9
ก่อนการต้อนสัตว์

 

"หมอตัวน้อยอยากให้พวกเราทุกคนขึ้นไปที่ออฟฟิศเย็นวันนี้และฟังดนตรีกัน" แคลประกาศ โผล่เข้ามาในโรงนอนที่พวกผู้ชายกำลังคัดแยกและเก็บข้าวของของพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางกับเกวียนต้อนสัตว์ในตอนเช้า

แจ็ค เบทส์รีบยัดคอลเลกชั่นถุงเท้าและผ้าเช็ดหน้าสารพัดอย่างลงในถุงสงครามสะพายหลังของเขาและมุ่งไปยังกะละมังซักผ้า

"ฉันจะลองดูว่าเธอพูดจริงหรือเปล่า" เขากล่าวอย่างมุ่งมั่น

"มันไม่ใช่การหลอกลวงใดๆ หรอกน่า เธออยากให้พวกเราไป ไม่งั้นเธอคงไม่พูดแบบนั้น ฉันได้เรียนรู้มามากเกี่ยวกับเธอ นายน่าจะเห็นหน้าดั๊งค์ตอนมั่นใจตัวเอง! ฉันพนันได้เลยว่าเธอทำแบบนั้นแค่เพื่อกวนใจเขา และเธอก็ทำสำเร็จแน่ๆ ฉันอยากไปดูตอนนี้เลย แค่เพื่อดูเขาขยุกขยิก"

"ฉันสังเกตเห็นว่ามันทำให้เขารำคาญไม่ใช่น้อยที่เห็นคุณหมอตัวน้อยปฏิบัติกับพวกเราเหมือนคนชนชั้นสูง เขาเองก็กำลังพยายามจะเข้ามาอยู่ตรงนั้นด้วยตัวเอง ฉันพนันได้เลยว่าเขาจะโดนปฏิเสธอย่างแรง" เวียรี่พูดอย่างร่าเริง

"แน่ใจอยู่แล้วว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนขว้างยาคนนั้นในโอไฮโอ" แคลเสริม "พวกนายคนไหนที่จะไปตามคำเชิญของเธอบ้าง? ฉันจะไปคนเดียวในพริบตานี้แล้ว"

"ฉันไม่คิดว่านายจะไปคนเดียว" แจ็ค เบทส์ยืนยันพร้อมกับคว้าหมวกของเขา

สลิมหวีผมอย่างรวดเร็วสองสามทีแล้วบอกว่าเขาพร้อมแล้ว ชอร์ตี้ที่เพิ่งกลับมาจากการขี่ม้า ปลดตะขอสเปอร์ออกแล้วเตะมันไว้ใต้เตียง

"คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าเราจะได้ยินเสียงแมนโดลินของคุณหมอตัวน้อยอีกครั้ง" แฮปปี้แจ็คบ่น

"เอ้า! เงียบปากเหอะ!" แคลตักเตือน 

"ไปกันเถอะ ชิป" เวียรี่ตะโกนออกมา "นายสามารถทำลายกระดาษดีๆ ได้เมื่อนายทำอย่างอื่นไม่ได้ มาดูหน้าดั๊งค์สิว่ามันจะเป็นยังไงเมื่อเราจับจองเก้าอี้ตัวที่ดีที่สุดทั้งหมดได้ แล้วเทเครื่องหอมและความชื่นชมของเราให้กับคุณหมอตัวน้อย"

ชิปดึงบุหรี่ออกจากริมฝีปากและพ่นควันออกจากปอด 

"พวกนายไปกันเถอะ ฉันไม่ไป" เขาก้มลงอีกครั้งเพื่อวาดภาพอันชั่วนิรันดร์ของเขาต่อไปอย่างไม่ลดละ

"อะไรนะ! นายไม่ไปเหรอ?!" เวียรี่ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก 

ชิปไม่ได้พูดอะไรอีก ปีกหมวกสีเทาของเขาปิดบังใบหน้าของเขาจากการมองเห็น ยกเว้นริมฝีปากโค้งบางและคางที่กระชับ เวียรี่ศึกษาคางและริมฝีปากอย่างสงสัย และไม่ว่าเขาจะอ่านอะไรที่นั่น เขาก็งดเว้นจากการโต้แย้งเพิ่มเติม เขารู้จักชิปดีกว่าคนอื่นๆ มาก 

"อ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับนายวะ เจ้าเสี้ยนไม้! มาเร็ว; อย่าทำตัวไร้สาระ" แคลตะโกนมาจากทางเข้าประตู

"ฉันเดาว่านายจะปล่อยให้คนได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ ใช่ไหม?" ชิปถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง ตอนนั้นเขากำลังยุ่งอยู่มากกับการแรเงาบริเวณหัวไหล่ของม้าที่กำลังยืนชัน เพื่อจะได้เห็นกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด

"เกิดอะไรขึ้นวะ? นายกับคุณหมอตัวน้อยทะเลาะกันเหรอ?"

"ไม่เลวร้ายหรอก" น้ำเสียงของชิปเปิดกว้างต่อการตีความหลายแบบ แคลตีความว่ามันเป็นการปฏิเสธ

"ป่วยเหรอ?" เขาถามต่อ

"ใช่!" ชิปตอบสั้นๆ และไม่เป็นความจริง

"ถ้าอย่างนั้นเราจะเรียกหมอมานะ" แจ็ค เบทส์อาสา

"ฉันไม่คิดว่านายจะต้องเรียกมาหรอก เมื่อฉันป่วยมากพอ ฉันจะบอกให้นายรู้ ฉันจะไปนอน"

"เอาล่ะ ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเถอะ ฉันเดาว่าชิปดูแลตัวเองได้นะ" เวียรี่พูดอย่างมีเมตตาขณะเปิดประตูค้างไว้

พวกเขายกโขยงกันออกไป และคนสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงของแคลโดยตั้งข้อสังเกตว่า:

"โห! ฉันจะต้องเตรียมพร้อมเสียก่อนก่อนที่ฉันจะพลาดโอกาสนี้ที่จะทำให้ดั๊งทุกข์ยาก"

ชิปนั่งอยู่ที่เดิมที่พวกเขาปล่อยเขาไว้ จ้องมองลงไปที่ภาพร่างที่ยังไม่เสร็จโดยไม่รู้ตัว บุหรี่ของเขาดับไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ม้วนอันใหม่ ค้างไว้ด้วยบุหรี่ที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่งไว้ระหว่างริมฝีปากของเขาซึ่งขีดเป็นเส้นตรงที่ขมขื่น 

ทำไมเขาต้องสนใจว่าผู้หญิงคนหนึ่งคิดอย่างไรกับเขา? เขาไม่สนใจหรอก; เขามันแค่– ความคิดที่ว่านี้เขาไม่ได้ติดตามมันไปจนจบ แต่เริ่มต้นใหม่ทันที: เขาคิดว่าตัวเองคงจะโง่เขลาตามมาตรฐานตะวันออก เมื่อเทียบเคียงกับด็อกเตอร์เซซิล แกรนธัม ให้ตายเถอะ! เขาน่าจะดูน่าสมเพช ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาไม่เคยเห็นวิทยาลัยแม้แต่จากรั้วภายนอก ซึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซึมซับความรู้ภายในเลย เขาได้เรียนรู้ภูมิปัญญาบางอย่างที่ธรรมชาติสามารถจะสอนให้แก่ผู้ที่อ่านภาษาของมันได้ และเขาก็อ่านมันมาแล้วมากมาย โดยการนอนคว่ำหน้าอยู่ใต้ท้องฟ้าแห่งฤดูร้อน ขณะที่ฝูงวัวกำลังเล็มหญ้าอยู่รอบตัวเขา และม้าของเขาก็กำลังเล็มหญ้าแสนหวานในระยะที่เขาสามารถเอื้อมมือถึงได้ เขาสามารถท่องจำบทกวีของเชกสเปียร์, สก็อต และบ็อบบี้ เบิร์นส์ได้ทั้งหน้า เขาอยากจะลองอ่านบางหน้าของ คุณหมอเซซิล กับบทกวีเหล่านั้นบ้าง และดูซิว่าใครจะเหนือกว่ากัน ถึงกระนั้น เขาก็ยังโง่เขลา และไม่มีใครตระหนักได้ลึกซึ้งและขมขื่นมากไปกว่าชิป

เขาวางคางไว้บนกำปั้นมือและครุ่นคิดถึงอดีตที่เลวร้ายและอนาคตที่ไร้ความสุขของเขา เขาจำแม่ของเขาได้ และเขาไม่อยากจำพ่อของเขาซึ่งมีเมตตาต่อเขาน้อยกว่าคนแปลกหน้า นั่นคืออดีตของเขา และอนาคตล่ะ เขาจะต้องเป็นคนต้อนวัวตลอดไปเหรอ? เขามีความสามารถพิเศษในการวาดภาพ; ถ้าเขาสามารถศึกษาและฝึกฝนได้ บางทีแม้แต่คุณหมอตัวน้อยก็ไม่กล้าเรียกเขาว่าคนโง่เขลาด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเขาจะใส่ใจสิ่งที่เธอพูดหรือไม่พูดก็ตาม แต่คนเราย่อมอดไม่ได้ที่จะเกลียดชังการถูกเตือนให้นึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เขารู้ดีกว่าคนอื่นคนใด และนั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ไม่ว่าคุณจะพยายามปกปิดความน่าเกลียดของมันอย่างไรก็ตาม

ถ้า คุณหมอเซซิล แกรนธัม (ไอ้เวรตะไลนั่น!) ถูกเตะเข้ามาในโลกใบนี้และถูกบังคับให้ต่อสู้ชะตากรรมด้วยหมัดเล็กๆ ที่บอบบาง ซึ่งเพิ่งพ้นพวงแก้มยุ้ยๆ ของวัยทารกมาไม่นานเหมือนอย่างที่เขาเคยเป็น เขาจะมีค่าเท่ากับสิ่งใดหรือเปล่า? บางที คุณหมอเซซิล อาจจะเติบโตขึ้นมาเพียงคนธรรมดาสามัญและโง่เขลา และไม่เหมาะกับอะไรที่ดีไปกว่าการสร้างความบันเทิงให้กับแพทย์หญิงที่มีลักยิ้ม ตาโตสีเทา แถมยังมีเสียงหัวเราะแบบนั้น เขาอยากจะแสดงให้ผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นรู้ว่าเธอยังไม่รู้จักเขาทั้งหมด มันยังไม่สายเกินไปหรอก เขาอายุเพียงยี่สิบสี่ปีซึ่งยังมีเวลามากพอที่จะเรียนรู้ ทำงาน และไต่อันดับขึ้นไปจนถึงจุดที่เธอต้องเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ใช่มองลงมาที่เขา..หากเธอใส่ใจมากพอที่จะมองดูเขาบ้าง มันยังไม่สายเกินไป เขาจะเลิกเล่นการพนันและเก็บเงินไว้ และในฤดูหนาวหน้า เขาจะมีเงินมากพอที่จะไปที่ไหนสักแห่งและเรียนรู้ที่จะวาดภาพที่เป็นชิ้นเป็นอันและมีมูลค่าเท่ากับบางสิ่งบางอย่าง เขาจะทำให้เธอเห็น! 

หลังจากย้ำคำมั่นในการตัดสินใจนี้อีกหลายครั้งอย่างหนักแน่น วิญญาณของชิปก็เบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มากเสียจนถึงขนาดที่เขาม้วนบุหรี่มวนใหม่และวาดภาพในมือของเขาจนเสร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ม้าป่าตัวร้ายกาจตัวหนึ่งได้โยนแจ็ค เบทส์ตกจากหลังมันลงมาในคอกม้าเมื่อเช้านี้

วันถัดมา ในช่วงบ่าย กลุ่มคนต้อนวัวก็ขึ้นไปที่เนินเขาและเริ่มต้นการเดินทางระยะไกล และหลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ฟาร์มก็ดูเงียบสงบและโดดเดี่ยวมากสำหรับคุณหมอตัวน้อยผู้แก้แค้นตัวเองด้วยการเมินเฉยต่อดั๊งค์อย่างไม่ปรานี จนเขาประกาศความตั้งใจที่จะขึ้นรถไฟขบวนต่อไปเพื่อไปยังเมืองบัตต์ ซึ่งเขาอาศัยอยู่กับความหรูหราของชีวิตโสดแบบร่ำรวย เนื่องจากคุณหมอตัวน้อยไม่แสดงอาการสำนึกผิดใดๆ เขาจึงขี่ม้าอย่างบูดบึ้งไปที่ดรายเลค และเธอใช้เวลาที่เหลือในช่วงบ่ายเขียนเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความลำเอียงอย่างแน่นอนส่งถึงด็อกเตอร์เซซิล เกี่ยวกับเรื่องที่เธอทะเลาะเบาะแว้งกับชิป ซึ่งเธอบอกว่าเธอค่อนข้างจะ—เกลียดเขามาก


บทที่ 10
เจ้าวิซเซอร์ทำอะไร!

        

"ผมเดาว่าแฮปปี้แจ็คคงจะสูญเสียม้าบางตัวไปแล้วเมื่อคืนนี้" สลิมพูดที่โต๊ะอาหารเช้าในเช้าวันรุ่งขึ้น สลิมถูกทิ้งไว้ที่ฟาร์มปศุสัตว์เพื่อดูแลรั้วและคูน้ำ และกำลังดื่มด่ำกับอาหารโดยฝีมือเชฟผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารอย่างคุณหญิงม่าย

"อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นเหรอ?" เจ.จี. ชายชราเล็งชิ้นสเต๊กทอดนุ่มๆ ที่ปลายส้อมของเขา

"พวกมันเกาะกันอยู่เป็นฝูงแถวๆ ด้านบนของรั้ว และก็มีเจ้าวิซเซอร์อยู่ในหมู่พวกมันด้วย ผมจดจำไอ้งูพิษขายาวตัวนั้นได้แม้มันจะอยู่ห่างออกไปสิบไมล์"

คุณหมอตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว เธอยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง ‘เจ้างูพิษขายาว’ มาก่อน แต่นั่นแหละ เธอก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักกับเจ้าวิซเซอร์เลย

"เอาล่ะ บางทีนายอาจจะต้อนพวกมันเข้าไปในคอกและขังพวกมันไว้จนกว่าชอร์ตี้จะส่งใครสักคนมารับพวกมันไป" นายใหญ่เจมส์ จี. แนะนำ

"ผมเพียงคนเดียวไม่เคยไล่มันเข้าคอกได้เลยสักครั้ง เวลาที่มีเจ้าวิซเซอร์อยู่ในฝูง" สลิมคัดค้าน "มันเป็นม้าป่าที่ดื้อรั้นที่สุดในดินแดนชูโต"

"สักวันหนึ่ง เจ้าวิซเซอร์จะกลายเป็นม้าขี่ที่ดีเยี่ยม เมื่อมันเชื่อง" เจ.จี. เถียง

"เหอะ! ผมไม่เคยนึกอิจฉาเจ้าชิปกับงานฝึกฝนไอ้ม้าปีศาจตัวนั้นเลย" สลิมบ่นขณะที่เขาเดินออกไปนอกประตู

หลังอาหารเช้า คุณหมอตัวน้อยไปเยี่ยมซิลเวอร์และป้อนน้ำตาลก้อนตามธรรมเนียมของมัน ก่อนจะไปช่วยคุณหญิงม่ายเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย และจากนั้นเธอก็ไม่รู้จะทำอะไรดี เธอยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง แดดอ่อนๆ ที่แผ่ความอบอุ่นไปทั่วบนเนินเขาและหุบเขา

"ฉันคิดว่าฉันจะขึ้นไปบนเนินเขาที่สูงกว่าแล้ววาดภาพฟาร์มปศุสัตว์" เธอพูดกับคุณหญิงม่าย และรีบรวบรวมอุปกรณ์ของเธอ

ลงไปตามลำห้วย มีกระต่ายป่า ‘หางสำลี’ ตัวหนึ่งกระโจนออกจากทางเดินของเธอและเตะตัวมันเองหายไปใต้ก้อนหิน คุณหมอตัวน้อยยืนดูจนมันหายตัวไปก่อนที่จะเดินต่อไปอีกครั้ง บนหน้าผาสูงชันขึ้นไป มีงูเหลือมตัวลายตัวหนึ่งซึ่งทำให้เธอตกใจจนตัวสั่นก่อนที่มันจะเลื้อยลัดเลาะหายไปใต้พุ่มหญ้าเซจ เธอข้ามทางเดินและปีนหน้าผาที่สูงชันขึ้นไปด้านหลัง เพื่อค้นหาสถานที่ทำงานที่สะดวกสบาย

สูงขึ้นไปอีกนิด เธอเข้ายึดครองก้อนหินสีเทาขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาราวกับโต๊ะยักษ์จากดินกรวด เธอเดินออกไปบนนั้นและมองลงไป ระยะความสูงชันห่างประมาณสิบหรือสิบสองฟุตที่ลงไปสู่เนินเขาสีเหลืองอันแห้งแล้งด้านล่าง

"ฉันว่ามันมั่นคงดี" เธอพูดคนเดียวและย่ำรองเท้าบูตเล็กๆ หนาๆ ข้างหนึ่งเพื่อดูว่าก้อนหินจะสั่นหรือไม่: ถ้าหากความรู้สึกของมนุษย์เป็นไปได้สำหรับหัวใจที่เป็นหิน หินก้อนนั้นคงจะขบขันกับการทดสอบนี้มาก มันตั้งตระหง่านดั่งเนินเขาที่อยู่ล้อมรอบ

เดลลานั่งลงและมองลงไปที่บ้าน; บ้านตุ๊กตา, คอกวัวของเล่น, โรงเก็บของและคอกม้าเล็กๆ สลิมมนุษย์ตัวยักษ์ที่กำลังเดินลงมาจากเนินเขากลายเป็นเพียงคนแคระยักษ์ตัวเล็ก เหมือนแมลงตัวเล็กที่เดินเตาะแตะต้วมเตี้ยม อย่างน้อยที่สุด สำหรับผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยชินกับการมองลงมาจากที่สูง วัตถุแต่ละชิ้นจึงดูกระจิดริดเกินไปอย่างน่าขำขัน หุบเขาฟลายอิ้งยูทอดยาวไปทางทิศตะวันตก โดยมีริบบิ้นสีเงินที่วาดอย่างเลินเล่อผ่านการบิดเป็นวงหลายวง ประดับด้วยสีเขียวอ่อนของใบไม้เล็กๆ เบื้องหลัง และไกลออกไป ปรากฏเป็นรอยเท้าหมีสีฟ้าอมม่วง และมีจุดด่างของเงาสีม่วงกระจายอยู่

สลิมที่กำลังเดินลงมาจากเนินเขาเป็นเพียงลูกหมูตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นแมลงตัวเตี้ยที่เดินเตาะแตะ

"ฉันไม่โทษเจ.จี. ที่รักสถานที่แห่งนี้" คุณหมอตัวน้อยคิด ดื่มด่ำกับความมึนเมาของตะวันตกทุกลมหายใจของเธอ

เธอเพิ่งหมกมุ่นอยู่กับงานของเธอเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นจากทางลาดด้านล่าง และม้าหลายสิบตัวที่นำโดยม้าสีน้ำตาลแดงตัวสูงผอม ซึ่งเธอคาดเดาว่าคือเจ้าวิซเซอร์ก็พุ่งลงมาจากเนิน เวียรี่และชิปตามมาติดๆ พวกเขาไม่ได้มองขึ้นไป ดังนั้นจึงผ่านไปโดยไม่เห็นเธอ พวกเขาคุยกันและหัวเราะอย่างอารมณ์ดี - ซึ่งคุณหมอตัวน้อยรู้สึกขุ่นเคืองโดยไม่ทราบสาเหตุที่อธิบายไม่ได้ เธอได้ยินพวกเขาเรียกสลิมให้เปิดประตูคอก และเห็นสลิมวิ่งไปทำตามคำร้องของพวกเขา เธอลืมภาพร่างของเธอและเฝ้าดูวิซเซอร์หลบและพุ่งกลับไป ส่วนชิปก็วิ่งทะลุลงไปที่ทางน้ำไหลของลำธารเพื่อไล่ตามมันไปด้วยการเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและแขนขา 

วิซเซอร์วิ่งกลับไปกลับมา รอบแล้วรอบเล่า วิ่งไปจนเกือบทะลุประตูคอกก่อนที่จะหักเลี้ยวอย่างกะทันหันและหลบหลีกผู้ไล่ล่าด้วยความง่ายดายที่เกือบจะเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ สลิมควบม้าเข้าร่วมการไล่ล่า เจ.จี. ก็ปีนขึ้นไปบนรั้วและตะโกนให้คำแนะนำที่ไม่มีใครได้ยินและจะไม่สนใจแม้ว่าพวกเขาจะได้ยินมันก็ตาม

เมื่อการไล่ล่าทวีความจริงจังและความตื่นเต้น ความเห็นอกเห็นใจของคุณหมอตัวน้อยก็มอบให้กับเจ้าวิซเซอร์อย่างไม่สงวนท่าที เมื่อใดก็ตามที่การหลบหลีกอันชาญฉลาดของมันทำให้ผู้ชายสบถสาปแช่ง เธอก็ตบมือแสดงความชื่นชมด้วยความจริงใจ แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินและไม่เห็นคุณค่าก็ตาม

"เด็กดี!" เธอตะโกนอย่างเห็นด้วยเมื่อมันหลบหลีกชิปและหมุนตัววิ่งผ่านประตูใหญ่ที่นายใหญ่เผลอเปิดทิ้งไว้ เจ.จี. โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างน่ากลัวและส่ายหมัดอย่างไร้ประโยชน์ วิซเซอร์ส่ายหัวและส้นเท้าสลับกัน และวิ่งขึ้นไปตามทางเดินไปจนถึงประตูห้องครัวเลยทีเดียว: ที่ซึ่งมันเหวี่ยงไปรอบๆ และมองลงไปตามเนินเขาพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างผู้กุมชัยชนะ

"ชู่ว— ไปไกลๆ!" คุณหญิงม่ายตะโกนลั่นด้วยเสียงแหลมๆ พร้อมกับสะบัดผ้าเช็ดจานใส่มัน

"ฮู่ อู๊ฟ-ฟ-ฟ—" มันตะคอกอย่างเหยียดหยาม และวิ่งเหยาะๆ ไปตามมุมบ้าน

ชิปควบม้าขึ้นไปบนเนินเขา ม้าของเขาวิ่งอย่างหนัก ตามหลังเขามาหนึ่งระยะคือเวียรี่ที่ใช้แส้และคำหยาบคายอย่างฟุ่มเฟือย ที่บ้าน พวกเขาแยกทางกันและมุ่งหน้าไปยังคอกม้าของผู้หลบหนี มันพุ่งทะลุผ่านประตูบานใหญ่ ยกส้นเท้าใส่เจ.จี. อย่างดุร้ายขณะที่มันผ่านไป วิ่งหมุนไปรอบๆ คอกม้า และวิ่งเหยาะๆ อย่างหยิ่งยโสผ่านสลิมเข้าไปในคอกของมันเอง ราวกับว่ามันตั้งใจจะทำเช่นนั้นมาตลอด

"ไม่อยากจะเชื่อเลย!" คุณหมอตัวน้อยอุทานด้วยความรังเกียจจากคอนของเธอ "วิซเซอร์ ฉันละอายใจในตัวแกจริงๆ! เป็นฉัน ฉันคงไม่ยอมแพ้แบบนั้น แต่แกก็ไล่ล่าพวกเขาไปแล้วใช่ไหมเจ้าคนสวยของฉัน?"

พวกผู้ชายทิ้งตัวลงจากหลังม้าที่เหนื่อยล้าของพวกเขาแล้วขึ้นไปที่บ้านเพื่อขออาหารกลางวันจากคุณหญิงม่าย และเดลลาก็หันมามุ่งมั่นกับการวาดภาพของเธออีกครั้ง 

เธอกำลังจะลืมไปแล้วว่าโลกนี้มีอะไรอื่นอีกนอกเหนือจากเงาอ่อนๆ ของแสงเรืองรองอันอบอุ่น และมุมมองที่พร่ามัว กระทั่งเสียงโกลาหลเบาๆ ดังขึ้นมาจากด้านล่าง เธอวาดเส้นที่ไม่แน่นอนสองสามเส้น ขมวดคิ้วและวางดินสอลงบนตักด้วยความจำยอม

"มันไม่มีประโยชน์อะไร ฉันไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าพวกคาวบอยจะพาตัวเองและม้าป่าของพวกเขาออกห่างจากฟาร์มไป และขอให้เป็นแบบนั้นเร็วๆ นี้!" เธอพูดกับตัวเองอย่างสิ้นหวังและไม่จริงใจนัก: แม้แต่คนดีที่สุดก็ไม่เหนือกว่าการพยายามหลอกตัวเองเป็นบางครั้ง

ในความเป็นจริง การปรากฏตัวในช่วงสั้นๆ ของพวกเขาตรงนั้นกลับทำให้ช่วงเวลาอันใกล้ในอนาคตดูเลื่อนลอย ไร้รสชาติ และไม่น่าสนใจสำหรับคุณหมอตัวน้อย มันชะล้างสีสันทั้งหมดออกไปจากภาพจนเหลือเพียงสีเทาหมองๆ เธอมองดูฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายอยู่ในคอกอย่างหงุดหงิด ที่ซึ่งเจ้าวิซเซอร์กำลังดิ้นรนเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้นจากบ่วงบาศที่ชิปโยนออกมาอย่างแม่นยำ สงบและใจเย็นเหมือนเช่นเคย: ไม่ว่าชิปจะทำอะไร เขาก็ทำอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่มีรายละเอียดใดที่ตกหล่นแม้แต่น้อย และม้าป่าจอมพยศอย่างวิซเซอร์ก็ดูเหมือนจะยอมรับว่าตัวมันเองถูกจับอย่างยุติธรรม

"โอ๊ะ เขาตามแกมาเร็วมากเลยนะ เจ้าคนสวยของฉัน!" คุณหมอตัวน้อยถอนหายใจอย่างโศกเศร้า "ทำไมแกไม่กระโดดข้ามรั้วไปล่ะ? ฉันคิดว่าแกข้ามได้นะ และวิ่ง..วิ่ง…สู่อิสรภาพ" เธอเริ่มมีอารมณ์ดราม่ามากขึ้นจากความอัปยศอดสูของม้าที่เธอเลือกให้เป็นตัวแทน และจ้องมองอย่างขุ่นเคืองเมื่อชิปโยนอานม้าของเขาลงบนหลังอันมันวาวโดยไร้ความอ่อนโยน และรัดสายรัดให้แน่นด้วยการดึงที่แข็งแกร่งและไม่ลดละสักเล็กน้อย

"ชิป คุณมันคนน่าเกลียดชังและใจร้าย .. ถูกต้องแล้ว วิซเซอร์! เตะเขาถ้าแกทำได้..ฉันจะอยู่เคียงข้างแก!" (ขอให้เข้าใจตรงกันว่า คำยืนยันนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น: คุณหมอตัวน้อยคงลังเลใจอยู่นานเชียวแหละก่อนที่จะพยายามทำมันจริงๆ น่ะ)

"เอาล่ะ วิซเซอร์ เมื่อเขาพยายามจะขี่แก อย่าปล่อยให้เขาทำได้นะ! เหวี่ยงเขาข้ามคอกม้าไปเลย ตรงนั้น!"

บางทีเจ้าวิซเซอร์อาจเข้าใจคำสั่งด้วยวิธีการลึกลับทางโทรจิต แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม มันมุ่งมั่นที่จะเชื่อฟังคำสั่งนั้นทันที และไม่มีแม้เงาแห่งความสงสัยใดๆ นอกจากว่ามันจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ชิปไม่ได้เลือกที่จะข้ามคอกม้า แทนที่จะทำเช่นนั้น เขายังคงนั่งอยู่บนอาน เปลี่ยนปลายแส้ไปอีกด้านและจบด้วยการกระโจนของเขาไปสู่ความโกรธอันรุนแรงของคุณหมอตัวน้อยที่เกือบจะร้องไห้

"โอ้ย เจ้าคนจองหองสารเลว! คุณมันปีศาจ! ฉันจะไม่คุยกับคุณอีกตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิต! โอ๊ย วิซเซอร์ เจ้าเพื่อนที่น่าสงสาร ทำไมแกยอมให้เขาทำร้ายแกอย่างนั้นล่ะ? ทำไมแกไม่เหวี่ยงเขาออกไปทำความสะอาดฟาร์มเลยล่ะ?"

นี่คือสิ่งที่วิซเซอร์พยายามทำให้ดีที่สุดจริงๆ และสิ่งที่ดีที่สุดของวิซเซอร์ก็แย่มากสำหรับนักขี่ของเขาโดยทั่วไป แต่ชิปปฏิเสธที่จะถูกโยนออกไปอย่างใจเย็น และวิซเซอร์ซึ่งไม่ใช่ม้าโง่เขลาก็เปลี่ยนแผนการทันที มีความสุภาพอ่อนโยนมากจนผู้สนับสนุนของมันบนหน้าผายังถูกล่อลวงให้รู้สึกดูหมิ่นมันที่ยอมจำนนต่อชายทรราชในกางเกงขายาวสีน้ำตาลและหมวกสีเทา (นี่คือการคัดลอกข้อเท็จจริงตามการตีความของคุณหมอตัวน้อยเท่านั้นนะ)

เธอมองดูอย่างหมองหม่น ขณะที่เจ้าวิซเซอร์ซึ่งไม่มีความคิดเรื่องการยอมจำนนซ่อนอยู่ในสมองกำลังวิ่งไปอย่างแน่วแน่ตามกลุ่มม้าที่สลิมรีบปล่อยตัวออกมาและรอเวลาอันเหมาะสมของมัน เธอคาดหวังที่ดีกว่า-แต่แย่กว่า-จากมันมากกว่านั้น เธอไม่เคยฝันว่ามันจะยอมแพ้อย่างง่ายดาย ขณะที่พวกมันข้ามเนินหลังหมู (เนินเขาที่คล้ายสันหลังหมู) และปีนขึ้นไปตามทางลาดชันที่อยู่ด้านล่างของเธอ เธอจ้องมองมันด้วยสายตาตำหนิและพูดอีกครั้ง:

"วิซเซอร์ ฉันอดสูใจในตัวแกจริงๆ!"

วิซเซอร์ดูเหมือนจะได้ยินและรู้สึกถึงความเจ็บใจจากคำตำหนินั้น; มันแสร้งทำเป็นสนอกสนใจกระต่ายป่าตัวน้อยตัวหนึ่งที่กระโจนออกมาจากร่มเงาของก้อนหินและกระเด้งลงเนินเขาไปเหมือนลูกบอลยาง ราวกับว่าเจ้าวิซเซอร์ไม่เคยเห็นกระต่ายป่ามาก่อน! เจ้าม้าป่าผู้ที่เกิดและเติบโตบนเทือกเขาท่ามกลางพวกมัน! มันเป็นข้อแก้ตัวที่อ่อนแออย่างยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตาม มันใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นอย่างเต็มที่และไม่เสียเวลาไปกับการค้นหาสิ่งที่ดีกว่า

มันหยุดอยู่จังหวะสั้นๆ จากนั้นก็เดินเคียงข้างม้าของเวียรี่ ชิปซึ่งอารมณ์ไม่ดีนักกับมัน กระตุกบังเหียนอย่างแรงและกระแทกมันด้วยเดือย วิซเซอร์ผู้รู้สึกโกรธเคืองกับการดูหมิ่น มันหมุนตัวและกระโดดสูงขึ้นไปบนอากาศ ถอยกลับไปตามระดับที่มันทำได้ด้วยการขืนหลังและการกระโดดที่สูง โขยกเขยกเป็นวงโค้ง ซึ่งม้าป่าตะวันตกเท่านั้นที่ทำได้ ขณะที่เวียรี่หันตัวเองในอานม้าและมองดูมันด้วยลมหายใจสั้นๆ ไม่มีอะไรอื่นนอกจากนั้นที่เขาสามารถทำได้

ชิปไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ทุกครั้งที่วิซเซอร์กระโดด แส้หนังเปลือยๆ ก็จะฟาดลงมาบนจมูกที่กว้างขึ้นของมัน และเดือยแหลมคมของชิปก็จะเกี่ยวซี่โครงสีน้ำตาลแดงตั้งแต่สายคาดอก ไปถึงสีข้าง ทิ้งลำธารสีแดงเข้มไว้เบื้องหลัง

วิซเซอร์โกรธแค้นคนเลี้ยงวัวตัวฉกาจที่เกาะแน่นซึ่งมันไม่อาจโยนเขาออกจากหลังของมันไปได้ ผู้ไล่ต่อยสีข้างและศีรษะของมันเหมือนตัวต่อตัวแตนในทุ่งหญ้า วิซเซอร์รวมพลังเพื่อกระโดดอย่างรุนแรงเมื่อมันไปถึงเนินเขาหลังหมู และราวกับสปริงเหล็กที่ถูกปล่อย มันพุ่งขึ้นไปในอากาศ สะบัดตัวด้วยความหวังครั้งสุดท้ายอันเลือนรางที่จะคว้าชัยชนะ แต่ไม่สำเร็จ มันล้มลงมาด้วยขาที่พับไม่ได้ และตีลังกากลิ้งไปหนึ่งตลบ

สักครู่ วิซเซอร์ก็พยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืนและเดินกะโผลกกะเผลกอย่างเจ็บปวด หนีไปด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

ชิปไม่ได้ต่อสู้: เขานอนทอดกายใต้สีน้ำตาลของกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตสีชมพู-ขาว และหมวกสีเทาตกอยู่ตรงที่เขาล้มลง

คุณหมอตัวน้อยจำไม่ได้เลยว่าตนเองถลาลงมาจากเนินนั้นได้อย่างไร และไวแค่ไหน และอุปกรณ์วาดรูปของเธอกลายเป็นของบันเทิงให้กระต่ายป่าและนก และแม้จะบินเร็วเพียงใด เวียรี่ก็อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว และประคองศีรษะของชิปไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง เธอคุกเข่าอยู่ข้างเขาท่ามกลางฝุ่นผง คล้ายกับนางฟ้าสีซีดเทาตัวเล็กๆ ผู้โศกเศร้า โฉบอยู่เหนือใบหน้าซีดขาวและร่างกายนิ่งงัน เวียรี่มองเธออย่างไร้ตัวตน ไม่มีใครพูดอะไรในช่วงเวลาแรกที่ลมหายใจต่างติดขัด ขณะที่คุณหมอตัวน้อยลงมือตรวจตราบาดแผลเบื้องต้นตามการฝึกฝนมาดีแล้วของเธออย่างเร่งรีบ

เจ.จี. . ผู้เป็นพยานเหตุการณ์อุบัติเหตุ กระหืดกระหอบขึ้นเนินมาอย่างยากลำบาก โดยใช้ทางลัดที่อยู่ตรงข้ามกับคอกม้า

"เขา—ตายแล้วเหรอ?" นายใหญ่ตะโกนขณะที่เขากำลังตะเกียกตะกายขึ้นมา

เวียรี่หันศีรษะมามองเจ้าของคำถามเพียงครู่เดียวด้วยสายตาเฉยเมยเช่นเดียวกับที่เขามอบให้คุณหมอตัวน้อย แต่เขาไม่ได้ตอบอะไร เขาตอบไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ และคุณหมอตัวน้อยที่หน้าไร้สีก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน

ตอนนี้ เจ.จี. . เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าและไปถึงพวกเขาด้วยอาการหอบแฮก 

"เขาตายแล้วเหรอ เดลล์?" เขาถามซ้ำด้วยน้ำเสียงประหวั่นพรั่นพรึง เขาหวั่นใจว่าเธอจะตอบว่า…ใช่

xxxx






สำหรับคนรุ่นใหม่ที่หลงไหลความคลาสสิก ทำไมไม่ลองอ่านนิยายรักสุดแสนโรแมนติกเรื่องนี้กันล่ะ?
🌐 พิกัด eBook: #คุณหมอตัวน้อยคุณคาวบอยยอดรัก.⋆。♞˚ โหลดนะ สุดปัง
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTE3NjAyMiI7czo3OiJib29rX2lkIjtpOjMxNzU4MTt9
📝 ผู้แปล: ก็ ณ ก่อนนั้น

#นิยาย #fiction #cowboy #classic | me #ebook @ #MEB

ตรึงใจบนหนทางอันสลัว

ความดึงดูดของเส้นทางอันสลัว โดย บี.เอ็ม. บาวเวอร์ เนื้อหา บทที่ ๑ ในการค้นหาโทนเสียงตะวันตก บทที่ 2 สีท้องถิ่นในดิบ บทที่ 3 ความประทับใจแรก ...